“ฉันอาจจะใช้เวทมนตร์ธาตุไม่เก่งเหมือนเธอก็จริง แต่ฉันก็ช่วยฟื้นฟูกับสนับสนุนได้ ไม่เหมือนเธอที่ทำได้แค่กำจัดกับทำลาย ฉันเป็นจอมเวทที่เก่งรอบด้านกว่า ถ้าเข้าใจแล้วก็รีบๆ ยอมรับความพ่ายแพ้ได้แล้ว ยัยบ้าเทียน่า”
“ฉันไม่แน่ใจว่าเข้าใจที่เธอพูดถูกหรือเปล่านะ นี่เธอเป็นจอมเวทอเนกประสงค์รอบด้านตั้งแต่เมื่อไหร่? รักษาได้นิดหน่อย? โจมตีได้นิดหน่อย? นั่นไม่เก่งรอบด้านหรอกนะ เขาเรียกว่าคุณภาพต่ำต่างหาก เธอนั่นแหละที่ควรยอมรับได้แล้วนะ ยัยเฟเรียไร้ประโยชน์”
“พูดอะไรน่ะดูปากตัวเองก่อนดีกว่านะ ฉันไม่สนหรอกว่าเธอจะเป็นไฮเอลฟ์หรือเปล่า แต่เธอก็เป็นแค่พวกนักเวทชั้นสองที่่ใช้เวทมนตร์โจมตีแค่ไหนก็สู้หลานตัวเองไม่ได้ เธอเป็นแค่สิ่งมีชีวิตกระจ้อยร่อยที่เล็กเกินกว่าจะมาพูดคุยกับฉันได้ซะอีก จริงมั้ยละ?”
“ฉันเคยได้ยินมาว่ามีผู้หญิงคนนึงไปท้าสู้กับหลานของฉันโดยไม่รู้จักเจียมตัว แถมแพ้ไปแบบที่ฝากรอยขีดข่วนกับเขาไม่ได้แม้แต่นิดเดียวนี่นะ อ้อใช่ คนๆ นั้นคือเธอนี่เอง ที่ยังอยู่แค่ลำดับที่ 6 ก็เพราะเป็นพวกปลายแถวที่ประเมินพลังของตัวเองกับคู่ต่อสู้ก็ยังไม่ได้ เข้าใจหรือยังล่ะ? แค่คิดจะสู้กับฉัน สำหรับพวกปลายแถวแบบเธอน่ะ มันยังเร็วไป 1,000 ปี”
“โห… นี่หยิบเรื่องลำดับขั้นมาพูดนี่ แสดงว่าจะเอาใช่มั้ย? ได้ ออกมาข้างนอกเลย!”
“ฉันรู้ว่ามันเปล่าประโยชน์ที่ต้องมาเสียเวลากับคนอย่างเธอ แต่การที่จะได้ทำให้ตำแหน่งของฉันชัดเจนนี่ก็ไม่เลว ถ้างั้นก็เริ่มได้เลยค่ะ ท่านลีน กรุณารอฉันสักครู่นะคะ”
“ฉันไม่อนุญาตค่ะ! ถึงฉันกลัวที่จะถามก็เถอะ แต่พวกคุณนี่ เกลียดกันขนาดไหนคะเนี่ย?!”
ฉันทำเต็มที่เพื่อหยุดการทะเลาะกันระหว่างดาร์กเอลฟ์กระหายการทะเลาะวิวาท กับเอลฟ์ที่รับการทะเลาะวิวาทนั้น
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ ท่านลีน น่าอายจังที่ต้องเห็นอะไรแบบนี้”
“ม- ไม่หรอกค่ะ… ฉันไม่คิดมากหรอก…”
จากนั้น คุณเฟเรียบอกฉันว่า “ถ้าอยู่กับเจ้าบ้านั่นต่อไป เธอก็ไม่เก่งขึ้นหรอก! มาหาฉันดีกว่านะ!” ก่อนจะจากไป
คุณเทียน่าก็พูดอะไรไม่จำเป็นตอบกลับไปว่า “เธอเก่งไม่พอหรอกค่ะ” ก่อนที่การทะเลาะรอบ 2 เกือบจะเกิดขึ้น ยังดีที่ฉันหยุดมันไว้ได้ก่อน ไม่เลวเลยสินะฉันเนี่ย
“อืม… คือ… คุณเทียน่าเองก็มีคนที่เกลียดเหมือนกันสินะคะ?”
“แน่นอนค่ะ ในฐานะสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา เรื่องเช่นนั้นก็เป็นเรื่องธรรมชาติค่ะ”
จะว่าใช่ก็ถูกนั่นแหละ แต่ฉันรู้สึกว่าคุณเทียน่ามีอะไรแปลกๆ อยู่
ก็ เธอแอบเป็นสาย S ด้วย จริงๆ ตอนนี้ฉันก็ยังกลัวเธออยู่เลย ฉันขอเดินห่างๆ นิดนึงละกัน
“…เอลฟ์กับดาร์กเอลฟ์นี่ไม่ถูกกันงั้นเหรอคะ?”
“ไม่ค่ะ ไม่เลย จริงๆ พวกเราทั้ง 2 เผ่าพันธุ์ก็มีความสัมพันธ์คู่กันมายาวนานแล้วค่ะ”
หากพูดแบบง่ายๆ ก็คงต้องใช้คำว่า ‘เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน’ สินะ
“เอลฟ์จะอาศัยอยู่ในป่า ส่วนดาร์กเอลฟ์จะสร้างที่อยู่อาศัยกันในเขตทุรกันดาร พวกเรามีความสัมพันธ์อย่างเป็นมิตรกันและมีการติดต่อแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ในขณะที่เราแทบจะไม่ติดต่อกับเผ่าพันธุ์อื่นๆ เลย พวกเราเองก็ไม่ได้มีความเกลียดชังกับพวกดาร์กเอลฟ์หรอกนะคะ เราให้ความชื่นชมและความเคารพกับพวกเขาด้วยซ้ำ ฉันแค่ไม่ชอบเฟเรียเท่านั้นเองค่ะ”
“ย- ยุ่งยากน่าดูเลยนะคะ…”
ฉันอยากรู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ฉันกลัวก็เลยไม่กล้าถามออกไป
เย็นวันหนึ่ง ประมาณ 1 อาทิตย์หลังจากการประชุมด่วนของเหล่าผู้บริหาร
ฉันกำลังฝึกการใช้เวทมนตร์ภายใต้การดูแลของคุณเทียน่าอยู่ตามปกติ
‘ลีน เทียน่า พวกเจ้าได้ยินเราหรือไม่?’
เอ๊ะ เดี๋ยวนะ นี่อะไรน่ะ?
‘ท่านจอมมาร มีอะไรให้รับใช้คะ?’
‘อืม มีเรื่องเล็กน้อย มาที่ห้องของเราเสียหน่อย โอ๊ะ ลีน นี่เป็นเพียงการแจ้งเตือนเท่านั้น ไม่ต้องกังวลไปหรอก’
ฉันเริ่มกังวลแล้วค่ะ
ทำให้ฉันนึกถึงเทพชั่วร้ายบางคนเลย
…เอาเถอะ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนแล้วกัน
ฉันเปิดประตูห้องเรียนออก และแน่นอน มันก็พาไปที่ห้องอื่นอีกแล้ว
แต่ครั้งนี้ ไม่ใช่ทั้งห้องของจอมมาร และก็ไม่ใช่ห้องประชุมโต๊ะกลม นี่เป็นห้องที่เล็กกว่านั้นเยอะเลย แต่ก็ยังใหญ่อยู่ดีนะ
ชั้นหนังสือ, ตู้เสื้อผ้า, โต๊ะหนังสือ แล้วก็เตียง
งั้นนี่คือห้องพักของท่านจอมมารงั้นเหรอ
ระหว่างที่ฉันมองไปรอบๆ ฉันก็เห็นท่านจอมมารนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา
“โอ้ มาถึงเร็วทีเดียวนะ เอาเถอะ นั่งลงได้”
ฉันทำตามนั้น และไปนั่งที่โซฟาฝั่งตรงข้ามกับท่านจอมมาร
ในห้องนั้นมีตัวฉันเอง คุณเทียน่า กับท่านจอมมาร และก็มีแขกอีก 1 คนอยู่ในห้องนี้ด้วย
“ไม่ได้เจอกันสัปดาห์นึงเลยสินะคะ ลีนจัง คุณเทียน่า ลีนจังยังฉันได้อยู่หรือเปล่าเอ่ย?”
จำได้ค่ะ ฉันจะลืมปีกกับเขาที่เด่นขนาดนั้นได้ยังไงกันละคะ?
“นางคือบุคลากรอันดับที่ 1 ของกองทัพจอมมาร กล่าวคือ ผู้บริหารลำดับที่ 1 ‘แม่ทัพจอมสังหาร’ วีเนล”
เธอคือผู้ช่วยที่ใกล้ชิดของท่านจอมมาร และเป็นกุนซือประจำกองทัพด้วย และอย่างที่ฉายา ‘แม่ทัพจอมสังหาร’ ของเธอบอก เธอคือตัวตนที่ฉลาดที่สุดในกองทัพ และเธอจะใช้กลยุทธ์ที่โหดร้ายอย่างไม่น่าเชื่อเพื่อกำจัดศัตรูอย่างราบคาบ
ผมสีน้ำเงินของเธอถูกรวบเป็นบันไว้ข้างหลัง เธอมีใบหน้าที่สวย พร้อมกับลักษณะที่ดูยุ่งเหยิง ถ้าพูดในแง่ดี เธอเป็นผู้หญิงที่ดูลึกลับ ถ้าพูดในแง่ร้าย เธอมีหน้าตาที่คาดเดาสิ่งที่เธอคิดอยู่ไม่ได้เลย
“โห คุณวีเนลอยู่ที่นี่ด้วยเหรอคะ? แล้วผู้บริหารคนอื่นล่ะคะ?”
“ฉันไม่ได้เชิญคนอื่นๆ มาด้วยค่ะ ก็ ถ้ามองในภาพใหญ่ นี่ก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ แต่สำหรับจอมมารแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่อาจมองข้ามได้เลย”
เข้าใจแล้วค่ะ
ฉันไม่เข้าใจอะไรเลย
“…พวกมนุษย์ได้สังหารเชลยศึกทั้งหมดไปแล้ว”
อ้อ แบบนี้นี่เอง ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจอมมารจะรู้สึกไม่เป็นสุขขนาดนี้
ไอ้พวกมนุษย์อีกแล้ว เจ้าพวกชั้นต่ำนี่!
“แต่เดิมแล้ว เรามีข้อตกลงจะทำการแลกเปลี่ยนตัวเชลยกัน ระหว่างพวกมนุษย์ที่พวกเราจับไว้ แลกกับพวกพ้องของเราที่ถูกพวกมันจับไว้”
แลกเปลี่ยนตัวเชลยงั้นเหรอ? โลกนี้มีของแบบนั้นอยู่ด้วยเหรอเนี่ย?
อืม แล้วมันไม่ใช่เป็นแผนที่ดีกว่าเหรอถ้าเราสู้กันโดยไม่ต้องสนใจเรื่องพวกเชลยน่ะ
“แต่สัญญาณชีพของเหล่าเชลยทั้งหมดหายไปแล้ว อย่างต่ำก็ประมาณ 100 ชีวิต… พับผ่าสิ”
“บางทีพวกมันอาจจะทำแบบนี้เพื่อเพิ่มความประสบการณ์ให้กับผู้กล้าก็ได้นะคะ ฉันคิดว่าเจ้าพวกนั้นคงตัดสินแล้วว่าการทิ้งพวกมนุษย์พวกนั้นไว้ที่ฝั่งเราและเสริมความแข็งแกร่งให้กับผู้กล้า มีประโยชน์กว่าการแลกพวกเชลยกลับไปก็ได้ค่ะ”
“อะไรนะคะ… พรรคพวกของเราต้องจากไปมากขนาดนั้น? …แล้วท่านจะทำยังไงกับเรื่องนี้เหรอคะ? ผู้กล้าฆ่าพรรคพ้องของพวกเราไป พวกเราจะต้องเปลี่ยนแผนอะไรหรือเปล่าคะ?”
“ไม่ แผนการจะดำเนินต่อดังที่วางเอาไว้ เราจะปกป้องผู้กล้า… เพราะไม่ว่าอย่างไร ผู้กล้านั้นก็ไม่ได้มีความผิดใดๆ นี่”
“ผู้กล้าในตอนนี้นั่นถูกทำเป็น [เครื่องมือ] ค่ะ เธอทำไปก็แค่เพราะเธอถูกบอกให้ทำแบบนั้นอย่างไม่สนโลก ไอ้คนที่เราจะไม่มีทางยกโทษให้นั่นคือพวกคนที่ออกคำสั่งต่างหากค่ะ”
…สุดยอดเลย
คนพวกนี้เขามีความคิดเป็นเหตุเป็นผลสุดๆ เลย
ปกติ เราคงโกรธจัดกับเหตุฆาตกรรมของเพื่อนพ้องและก็แบบ ‘ฉันจะต้องฆ่าผู้กล้าให้ได้!’ ฉันไม่แปลกใจเลยถ้าจะเกิดเหตุการณ์อะไรแบบนั้นเกิดขึ้นมา
“เอาเถิด สิ่งที่เราคิดอยู่ ณ ตอนนี้คือ เราจะจัดการกับพวกเชลยสงครามที่เราจับไว้อยู่อย่างไรดี เราให้ข้อมูลเท่าที่พวกมันควรจะได้รู้ไว้แล้ว และตอนนี้พวกเราก็จะฆ่าพวกมันซะ เพราะไม่มีประโยชน์ที่เราต้องเก็บพวกมันเอาไว้อีกต่อไป”
“ใช่ค่ะ ฉันเลยมีข้อเสนอ ฉันคิดว่าเอาเชลยพวกนั้นมาให้ลีนจังใช้ซ้อมต่อสู้ดีกว่า”
…เห?
“เรามีเชลยที่คุมขังไว้ประมาณ 1,000 คน แล้วก็นะ ลีน เจ้าจำเป็นต้องเพิ่มเลเวลนะ อีกอย่าง ถ้าเจ้าขาดประสบการณ์ในการต่อสู้จริงแล้วล่ะก็ ทักษะของเจ้าก็จะทื่อลง เราได้ความคิดนี้ขึ้นมาหลังจากที่ได้ยินเรื่อง [ล่า 21 ศพ] ในหมู่บ้านแวมไพร์น่ะ”
“…เข้าใจแล้วค่ะ พวกเราสามารถเพิ่มทักษะการต่อสู้จริงให้กับท่านลีน และเพิ่มเลเวลขึ้นได้ในเวลาเดียวกันเลย ที่สำคัญ มันมีประสิทธิภาพมากเพราะท่านลีนได้รับค่าประสบการณ์มากขึ้นเมื่อเธอได้ฆ่าเป้าหมายในการล้างแค้นด้วย แถมท่านลีนยังได้จัดการพวกมนุษย์และได้แก้แค้นอีกด้วย… ยิงปืนนัดเดียวได้นก 3 ตัวเลย”
เห็นด้วยเลยค่ะ การเพิ่มเลเวลคือเรื่องสำคัญที่สุดของฉันตอนนี้เลย
ยิ่งเลเวลของฉันเพิ่มขึ้น พลังเวทของฉันก็ยิ่งมากขึ้นด้วย ความคืบหน้าในการฝึกเวทมนตร์ของฉันจะได้เพิ่มขึ้นได้ และการฝึกการต่อสู้ระยะประชิดที่ฉันทำอยู่ตอนนี้ก็จะมีประโยชน์มากขึ้นด้วย
ฉันเป็นหนึ่งในไม่กี่คนในกองทัพจอมมารที่ใช้ชีวิตในเวลากลางคืนอย่างสมบูรณ์ ฉันจะตื่นตอนดึกแล้วก็เข้านอนตอนเช้า
ตั้งแต่ฉันเปลี่ยนเวลาในการใช้ชีวิตเพราะต้องร่วมฝึกกับคุณเทียน่าแล้ว ฉันก็ยังทำเรื่องต่างๆ ออกมาใช้ได้อยู่
เพราะแบบนั้น ฉันจำเป็นต้องเพิ่มเลเวลของฉัน และเพิ่มประสบการณ์ในการสู้จริงด้วย
“เช่นนั้นแล้ว เจ้าคิดเห็นอย่างไรบ้าง ลีน? เจ้าปฏิเสธได้หากไม่ต้องการจะทำ มันเป็นเรื่องแปลกจริงๆ เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่ควรให้เด็ก 5 ขวบลงมือทำเลย”
“… ไม่ค่ะ ฉันจะทำ โปรดให้ฉันด้วยเถอะนะคะ”
“คุคุคุ เรารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะทำ ไปเตรียมตัวให้พร้อมเสีย วีเนล เจ้าก็ไปเตรียมการให้เรียบร้อยด้วย”
“ค่ะ”
เอาล่ะ ไม่ได้ทำมานานแล้วซินะ ไปฆ่าล้างพวกมนุษย์กันดีกว่า~