ตอนที่ 564 ค่ายโรนิน
“แค่กๆๆ!…”
พอได้ยินเชิญร่ำสุราให้การศึกษาเชิงอุดมการณ์แก่ปีศาจน้อยยุทธภพอย่างจริงใจ เยี่ยเว่ยหมิงที่นั่งดื่มน้ำอย่างสุขุมดุจท่านเทพอยู่ตรงนั้นก็ไม่ทันระวังจนสำลัก แม้จะมีร่างกายที่หมื่นพิษไม่กล้ำกราย แต่ก็ไออย่างรุนแรงทันที แทบจะหายใจไม่ทันแล้ว
แม่งเอ๊ย!
คำว่าคนไอ้จ้อนใหญ่กับคนไอ้จ้อนเล็กใครก็พูดได้ทั้งนั้น แต่พอคำนี้ออกจากปากสหายเชิญร่ำสุรา ก็ฟังดูแปลกเกินไป!
ใครมอบความกล้าหาญนี้ให้เจ้า ถึงกล้าเรียกตัวเองว่าคนไอ้จ้อนใหญ่ต่อหน้าคนนอก?
พอเห็นปฏิกิริยาแปลกๆ ของเยี่ยเว่ยหมิง เชิญร่ำสุราก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ ในดวงตาเผยแววดุร้ายจางๆ “สหายเยี่ย เจ้ามีความคิดเห็นอะไรกับวิธีการพูดของข้างั้นหรือ”
“ไม่มี ข้าก็แค่ดื่มน้ำแล้วไม่ระวังก็เลยสำลักน่ะ” จะว่าไปแล้ว เรื่องที่เชิญร่ำสุราฝึก ‘เคล็ดกระบี่พิชิตมาร’ สำเร็จ ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเยี่ยเว่ยหมิงเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรเสีย มูลเหตุที่ทำให้เกิดภารกิจปราบสำนักชิงเฉิงก็ล้วนมาจากการวางหมากอันแยบยลของเขา!
เนื่องจากรู้สึกผิดในใจนิดหน่อย รวมทั้งคำนึงถึงหลักการดูแลเอาใจใส่คนพิการ เยี่ยเว่ยหมิงไม่คิดจะนำเรื่องนี้มาท้าทายเขา จึงเปลี่ยนประเด็นสนทนาทันที “ที่จริงก็ไม่ใช่แค่รายละเอียดของดันเจี้ยนหรอก แม้แต่กติกาการประลองของระบบสะสมคะแนน ผู้เข้าร่วมประลองทุกคนก็จะได้รู้พร้อมกันหลังจากประกาศกติกาการประลองวันพรุ่งนี้…
…อย่างมากก็ดูที่ฝั่งสำนักฉวนเจินสิ คิวชู่จีมักเร่งให้เจ็ดคนนั้นฝึก ‘ค่ายกลฟ้าดาวเหนือ’ เท่านี้ก็ทำให้ผู้เล่นพอเดาได้แล้วว่าในการประลองใหญ่สนามนี้อาจจะมีต่อสู้เป็นทีม…
…แต่ถ้าอยากจะฝืนเดาว่าเป็นดันเจี้ยนอะไร ข้าว่ามีความเป็นไปได้สองอย่าง”
“อ้อ?” พอได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงคิดอะไรบางอย่างได้ เชิญร่ำสุราที่หายโมโหแล้วก็ถามทันที “ความเป็นไปได้อะไรบ้าง”
เยี่ยเว่ยหมิงแบมือ “หนึ่งคือเกี่ยวกับเนื้อเรื่องตามต้นฉบับเดิม สองคือไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องตามต้นฉบับเดิม อย่าถอนหายใจ ข้าไม่ได้พูดเหลวไหล”
หลังจากชะงักครู่หนึ่ง ก็กล่าวเสริมอีกว่า “ความเป็นไปได้ว่าแบบหลังไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว เพราะมีความเป็นไปได้ต่ำที่จะไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง แต่ถ้าเป็นอย่างแรก ข้าว่ามีความเป็นไปได้แปดส่วนว่าจะเป็นศัตรูที่เจ็ดประหลาดแห่งเจียงหนานและเจ็ดศิษย์แห่งสำนักฉวนเจินมีร่วมกัน บางทีอาจจะเป็นจวนอ๋องจ้าว พรรคพวกของโอวหยางเค่อ…
…แน่นอนว่านับโอวหยางเฟิงด้วยเช่นกัน แต่เจ้าหมอนั่นเลเวลสูงเกินไป ระบบไม่น่าจะนำเขาออกมากลั่นแกล้งพวกเรา”
พอพูดถึงตรงนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ยิ้มอย่างมั่นใจ “ถ้าตัดโอวหยางเฟิง หรือระดับลูกพี่ใหญ่อย่างฉิวเชียนเริ่นออก ศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดในดันเจี้ยนและเกี่ยวข้องกับต้นฉบับเดิม ก็อาจจะเป็นหลานชายของโอวหยางเฟิง โอวหยางเค่อไง…
…ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ยินดีกับทุกคนด้วย พวกเราชนะแน่นอน!”
“พูดแบบนี้ แสดงว่าบนตัวสหายเยี่ยมีอาวุธลับบางอย่างที่ใช้รับมือกับโอวหยางเค่อได้” เชิญร่ำสุรายิ้มพร้อมทำท่าครุ่นคิด จากนั้นก็ควบคุมจอฉายภาพขนาดใหญ่ในห้องประชุม เปิดช่องถ่ายทอดสดขึ้นมา “ในเมื่อสหายเยี่ยพูดเช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องวิเคราะห์แล้วล่ะ อีกประเดี๋ยวรอให้เริ่มการประลอง พวกเราก็ย่อมรู้ว่าต้องบุกดันเจี้ยนอะไร”
ขณะที่ทุกคนมองไปยังจอภายภาพขนาดใหญ่ เยี่ยเว่ยหมิงกลับอดตกตะลึงไม่ได้ เห็นสองคนที่เขารู้จักนั่งเคียงกันอยู่ในจอภาพ
คนหนึ่งคือขุนนางยศลู่ติ่งกงขั้นหนึ่งในราชสำนัก เหวยเสี่ยวเป่า ส่วนอีกคนคือสารานุกรมยุทธภพในร่างมนุษย์ หวังอวี่เยียน
คนที่พูดก่อนคือเหวยเสี่ยวเป่า ขุนนางขั้นหนึ่งอย่างเขายังคงรอยยิ้มทะเล้นไว้บนใบหน้า เป็นมิตรกับประชาชนมาก “สวัสดีทุกคน ข้าคือพิธีกรช่องถ่ายทอดสดการประลองใหญ่หอหมอกพิรุณที่เมืองจยาซิ่งครั้งนี้ ชาวยุทธขนานนามว่ามังกรขาวน้อยหน้าหยก เหวยเสี่ยวเป่า…
…ส่วนสาวงามข้างกายข้าท่านนี้ ก็ได้รับเชิญให้มาอธิบายรายการนี้โดยเฉพาะ หวังอวี่เยียนหรือแม่นางหวัง นางยังมีอีกฉายาที่ไพเราะมากด้วย นั่นก็คือพี่สาวเทพเวียน ทุกคนจะเรียกอย่างนี้ก็ได้เช่นกัน ฟังแล้วเหมาะสมมากใช่ไหมล่ะ”
ระหว่างที่พูด เขาก็ย้ายสายตาไปบนตัวหวังอวี่เยียนอย่างเป็นธรรมชาติ “แม่นางหวัง สำหรับการประลองยุทธ์ครั้งนี้ ท่านมองอย่างไร”
หวังอวี่เยียน “ก็ใช้ตามองน่ะสิ”
บรรยากาศอึดอัดหนึ่งวินาที…
แต่เหวยเสี่ยวเป่าเป็นใครกัน คนที่ทักษะยุทธ์คลุมเครืออย่างเขา ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านหรือเป็นขุนนางก็เจริญรุ่งเรือง ก็เพราะอาศัยความสามารถในการรับมือสถานการณ์บวกกับปากที่มีคารมคมคาย
ขณะกำลังทึ่งกับความฉลาดทางอารมณ์ที่น่ากังวลของหวังอวี่เยียน เขาก็เปลี่ยนประเด็นสนทนาทันที “คำพูดของแม่นางหวังแม้จะเรียบง่าย แต่กลับเป็นสัจธรรมของโลกใบนี้ มีหลายเรื่องที่อาศัยข้อมูลดิบอย่างเดียวคงมองไม่เห็นผลลัพธ์ เราข้ามช่วงการวิจารณ์ผู้ท้าชิงของทั้งสองฝ่ายไปเลยแล้วกัน แนะนำสนามประลองด่านแรกกันดีกว่า”
พอพูดถึงตรงนี้ เหวยเสี่ยวเป่ารู้ว่าหวังอวี่เยียนไม่มีทางพูดต่อบทกับเขา จึงตบโต๊ะและพูดต่อเสียเลยว่า “ใช่แล้ว! ท่านเดาไม่ผิดหรอก ข้ากำลังจะประกาศด่านแรกของการประลองใหญ่ครั้งนี้ เป็นแผนที่ดันเจี้ยนสำหรับท้าสู้!….
…แต่ก่อนจะประกาศแผนที่นี้ มีสิ่งหนึ่งที่ข้าต้องอธิบายสักหน่อย ผู้ท้าชิงสิบสี่คนที่เข้าร่วมประลองก็เหมือนกับทุกคน ไม่มีใครรู้ว่าดันเจี้ยนที่พวกเขาต้องท้าสู้คืออะไร ข้ารับประกันได้เลยว่ายังไม่มีใครเคยเห็นแผนที่ของดันเจี้ยนนี้มาก่อน…
…เพราะจนตอนนี้ ยังไม่เคยมีผู้เล่นคนไหนบุกดันเจี้ยนนี้เลย! สิ่งที่ผู้ท้าชิงสองทีมต้องเจอ ก็คือการท้าสู้โฉมใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครสัมผัสมาก่อน!”
พอฟังถึงตรงนี้ เชิญร่ำสุราที่อยู่ในห้องประชุมก็หันไปมองเยี่ยเว่ยหมิง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ดูท่าแล้ว สถานการณ์จริงคงจะเหมือนความเป็นไปได้ข้อที่สองที่เจ้าเดาไว้นะ”
เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าเล็กน้อย “เป็นไปตามคาด”
ทั้งสองไม่ถามคำถามที่ไม่มีประโยชน์อีก เพราะหลังจากเหวยเสี่ยวเป่าเกริ่นนำอย่างง่ายๆ ก็ถ่ายทอดสดฉายภาพบนแผนที่ดันเจี้ยนที่พวกเขากำลังจะเผชิญหน้าแล้ว
เป็นภาพป่าทึบแห่งหนึ่ง ระหว่างป่ามีถนนสายเล็กๆ ที่เริ่มจากฉากนั้นและทอดยาวเข้าไปสู่จุดลึกของป่า
ขณะเดียวกัน ด้านขวาของหน้าจอก็ปรากฏตัวอักษรขนาดใหญ่…ค่ายโรนิน!
ด้านข้างของชื่อแผนที่ รีเฟรชตัวอักษรจีนขึ้นมาทีละแถวอย่างช้าๆ ราวกับเปิดม้วนหนังสือออกทีละน้อย ขณะเดียวกัน ชายผู้ล้ำลึกและน่าดึงดูดก็อ่านเนื้อหาบนนั้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นสุขุม
“บรรดาดินแดนใต้อาณัติของญี่ปุ่นเข้ายึดครองดินแดนและแย่งชิงอำนาจกัน โทโยโตมิ ฮิเดโยชิซึ่งเป็นผู้นำมีชัยเหนือฝูงชน รวบรวมฝูซางเป็นหนึ่งเดียว ซามูไรและนินจาของดินแดนใต้อาณัติที่รบแพ้ส่วนหนึ่งไม่ยอมจำนน รวมตัวกันที่บริเวณมหาสมุทรฝั่งใต้ของเสินโจว รอวันฟื้นฟูชาติ…
…ในระหว่างนั้น ซามูไรและนินจาที่มาจากญี่ปุ่นแปลงร่างเป็นโจรก่อก่วนในพื้นที่ ถูกเรียกว่าโรนิน…
…และสถานที่ที่พวกเขารวมตัวกัน ก็ถูกเรียกว่า…ค่ายโรนิน!”
หลังจากข้อมูลแนะนำภูมิหลังปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เหวยเสี่ยวเป่าก็เริ่มแนะนำรูปแบบของดันเจี้ยนและสถานการณ์ของศัตรูที่ผู้เล่นต้องเผชิญตอนบุกด่านโดยละเอียดตามฉากที่ถูกผลักดันขึ้นมา
“ทั้งดันเจี้ยนมีถนนเล็กๆ หนึ่งสาย ทอดยาวจากด้านนอกเข้าไปในป่า ในระหว่างนั้นมีเขตแบ่งของศัตรูอยู่รอบๆ”
เมื่อเหวยเสี่ยวเป่าบรรยายจบ ภาพบนหน้าจอก็ถูกดึงให้เป็นภาพทิวทัศน์ไกลๆ มองจากมุมนี้จะเห็นได้ทั้งแผนที่ดันเจี้ยน
ในภาพนั้น ทุกคนเห็นพื้นที่ว่างเปล่าสี่แห่งซึ่งถูกเชื่อมโยงด้วยถนนสายเล็กที่ทอดเป็นแนวตรงระหว่างป่า เป็นเขตแบ่งของศัตรูสี่แห่งตามที่เหวยเสี่ยวเป่ากล่าว
“ที่แรกคือทางเข้าที่อยู่นอกค่ายโรนิน ทุกคนจะเห็นได้ว่าที่นี่มีโรนินรวมตัวกันสิบห้าคน ในจำนวนนั้นมีทั้งซามูไรและนินจา แต่รายละเอียดว่าคนไหนคือซามูไร คนไหนคือนินจา ผู้ร่วมประลองก็ทำได้เพียงแยกแยะเองแล้ว”
เมื่อได้ยินเหวยเสี่ยวเป่าพูดแบบนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็โค้งยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย
เจ้าหมอนี่คงแยกไม่ออกล่ะสิว่านินจากับซามูไรต่างกันยังไง ก็เลยจงใจพูดแบบนี้เพื่อกลบเกลื่อนความไม่รู้ของตัวเอง?
ตอนนี้กล้องเริ่มดึงระยะเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ย้ายจากทางเข้ามาข้างในดันเจี้ยนตลอด และไม่นานก็หยุดตรงเขตมอนสเตอร์ที่สองซึ่งอยู่ไม่ไกลจากทางเข้า “ตำแหน่งนี้คือด่านหน้าของค่ายโรนิน โดยทั่วไปเทียบเท่ากับดันเจี้ยนค่ายภูเขา มีพวกลูกสมุนยืนยามลาดตระเวน ศัตรูที่อยู่ตรงนี้มีทั้งหมดยี่สิบเอ็ดคน ในจำนวนนั้นนอกจากศัตรูธรรมดายี่สิบคน ยังมี BOSS เล็กๆ คนหนึ่งที่ชื่อว่า ฮิราคาวะ อิชชิน…
…ย้ายไปข้างหน้าอีก ก็จะเป็นด่านขนส่งของค่ายโรนิน ที่นี่มีโรนินทั่วไปทั้งหมดสามสิบคน รวมทั้ง BOSS ที่ชื่อว่าคะมิมุระ นิอิ”
ขณะฟังเหวยเสี่ยวเป่าอธิบาย ฉางซิงอวี่ที่อยู่ข้างๆ ก็อดแขวะไม่ได้ “แปลว่าคนสองใจ? จะว่าไปแล้ว BOSS ของดันเจี้ยนนี้ตั้งชื่อเรื่อยเปื่อยแบบนี้หมดเลยหรือ”
“รู้จักพอใจเถอะ นี่ถือเป็นวิธีตั้งชื่อที่จริงจังมากแล้ว” เยี่ยเว่ยหมิงดื่มน้ำให้ชุ่มคอ พร้อมอธิบายอย่างไม่ไม่ได้ใส่ใจ “ก่อนหน้านี้ข้ายังเคยเจอ BOSS ที่ชื่อหม่าเอ้อจิ้นซาน[1]เลย ตอนนั้นรู้สึกว่าบัดซบมาก”
ตอนนี้เอง ฉากในหน้าจอย้ายไปยังกระโจมแห่งหนึ่งที่มีคนอยู่เยอะ ด้านข้างเป็นลานกว้างขนาดใหญ่ที่มีลำธารไหลผ่าน เห็นได้ว่าโรนินที่รวมตัวกันอยู่บนลานกว้างแห่งนี้มีเยอะกว่าหลายจุดก่อนหน้านี้
พวกเขากำลังก่อไฟทำอาหาร บางคนก็กำลังดื่มสุราและเล่นเกมทายนิ้วนับเลข บางคนก็จับกลุ่มกันเล่นการพนัน บางกลุ่มกระโดดเต้นระบำปรบมืออยู่ข้างกองไฟ ดูมีความสุขกันมาก
ซึ่งเหวยเสี่ยวเป่ากล่าวแนะนำต่ออย่างเป็นขั้นเป็นตอน “ถ้าเดินต่อไปจนถึงปลายทาง ก็คือจุดหมายปลายทางสุดท้ายของดันเจี้ยนนี้ นั่นก็คือค่ายใหญ่ของค่ายโรนิน ทุกคนจะเห็นว่าตรงนี้วางกำลังไว้สามชั้น ชั้นแรกเป็นโรนินทั่วไปสี่สิบคน ชั้นที่สองเป็นโรนินระดับมอนสเตอร์อีลิทสิบคน สุดท้ายถึงจะเป็น โฮโจ BOSS ใหญ่ที่คุมค่ายนี้…
…ขณะเดียวกัน โฮโจคนนี้ก็เป็น BOSS ของดันเจี้ยนค่ายโรนินแห่งนี้เช่นกัน…
…ส่วนเลเวลของศัตรูพวกนี้ ข้าก็บอกให้ทุกคนรู้ล่วงหน้าได้เช่นกัน…
…โรนินทั่วไปล้วนเป็นมอนสเตอร์ดันเจี้ยนทั่วไปที่เลเวลห้าสิบห้า ฝีมือเทียบเท่ามอนสเตอร์อีลิทข้างนอก…
…เลเวลของมอนสเตอร์อีลิทก็คือหกสิบ ถ้าเทียบกับมอนสเตอร์อีลิทเลเวลเดียวกันที่อยู่ข้างนอกก็เก่งกว่านิดหน่อย…
…ส่วน BOSS ทั้งสามในดันเจี้ยน เลเวลแบ่งได้ดังนี้: ฮิราคาวะ อิชชิน เลเวล 65 คะมิมุระ นิอิเลเวล 70 โฮโจเลเวล 80! ส่วนทักษะยุทธ์ของพวกเขา…”
ตอนที่เหวยเสี่ยวเป่าพูดถึงตรงนี้ ก็จงใจลากเสียงยาว แต่กลับคาดไม่ถึงว่าหวังอวี่เยียนที่อยู่ข้างๆ จะพูดต่อจากเขา “ดูจากการเคลื่อนไหวและอาวุธของสามคนนี้ รวมทั้งท่าทางตอนจับอาวุธก็รู้แล้ว พวกเขาเป็นยากิว…”
“แม่นางหวัง ได้โปรดรอสักครู่” เหวยเสี่ยวเป่าไม่รอให้หวังอวี่เยียนพูดจบ ก็เอ่ยขัดจังหวะก่อน “ข้ารู้ว่าท่านเป็นผู้รอบรู้ แต่ฟังจากที่ท่านกล่าวเมื่อครู่นี้ เหมือนจะเข้าใจทักษะยุทธ์ของญี่ปุ่นมากเหมือนกันสินะ”
“เดิมทีก็ไม่ค่อยเข้าใจนักหรอก” หวังอวี่เยียนตอบตามความจริง “แต่ระบบต้องการให้ข้าอธิบายภารกิจครั้งนี้ให้ดียิ่งขึ้น ก่อนหน้านี้ไม่นานจึงให้ข้าเรียนรู้วิทยายุทธ์มากมายที่เกี่ยวข้องกับการประลองใหญ่ครั้งนี้ ในจำนวนนั้นย่อมมีจุดเด่นและแนวทางวิทยายุทธ์ของ BOSS ทั้งสามในดันเจี้ยนนี้เช่นกัน”
แม้หน้าจอถ่ายทอดสดจะยังเป็นภาพในดันเจี้ยน แต่เยี่ยเว่ยหมิงก็จินตนาการได้เลยว่าตอนนี้สีหน้าของเหวยเสี่ยวเป่าจนใจขนาดไหน
แต่ในฐานะคนฝีปากกล้าที่มีพื้นเพมาจากตลาด เหวยเสี่ยวเป่าย่อมรับมือกับสถานการณ์น่าอึดอัดได้อยู่แล้ว สำหรับสาวสวยใสซื่อที่ไร้เล่ห์เหลี่ยมอย่างหวังอวี่เยียน ท่าไม้ตายของเหวยเสี่ยวเป่าก็คือพูดความจริงเสียเลย “ที่จริงทักษะยุทธ์ของ BOSS ทั้งสามที่แม่นางหวังอธิบายก็ไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา เพื่อรักษาความยุติธรรมและความท้าทายของการประลอง พวกเราจะไม่เปิดเผยข้อมูล BOSS ในดันเจี้ยนให้ทั้งสองฝ่ายรู้เยอะกว่านี้แล้ว นี่ก็ถือเป็นบททดสอบความสามารถในการสังเกตการณ์ของทั้งสองฝ่ายด้วย”
หวังอวี่เยียนตอบอย่างใจเย็นมาก “หมายความว่าตอนนี้บอกไม่ได้แล้ว ข้าเข้าใจแล้ว”
“ผู้ประลองทั้งสองฝ่ายกรุณาเริ่มเตรียมตัว หลังจากเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว เลือก ‘เตรียมตัวพร้อมแล้ว’ ในช่องสนทนาที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอ อีกสักครู่หลังจากผู้เข้าแข่งขันของทั้งสองฝ่ายเข้าดันเจี้ยนหมดแล้ว แม่นางหวังก็จะบอกข้อมูลที่ตัวเองรู้ออกมาทั้งหมดได้ ให้ท่านผู้ชมได้รู้จัก BOSS ในดันเจี้ยนนี้อย่างตรงไปตรงมามากขึ้น”
หวังอวี่เยียนพยักหน้าสื่อว่าไม่มีปัญหา
ตอนที่พิธีกรและผู้บรรยายพูดคุยกันเรื่อยเปื่อย ตรงหน้าของผู้เข้าแข่งขันทั้งสิบสี่คนก็มีช่องสนทนาเด้งออกมา
[เตรียมตัวพร้อมแล้วใช่หรือไม่?]
[ใช่/ไม่ใช่]
ที่จริงแล้ว ที่จริงแล้วการเลือกแบบนี้ก็ไม่ได้มีความหมายต่อผู้เข้าแข่งขันทั้งสิบสี่คนมากนัก
เพราะตั้งแต่พวกเขาคุยกับผู้นำทางและถูกส่งตัวมายังห้องประชุมก่อนต่อสู้ ทุกคนก็เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้เรียบร้อยแล้ว!
ไม่นานผู้เข้าแข่งขันทั้งสิบสี่คนก็เลือก ‘ใช่’ บนหน้าจอปรากฏนาฬิกานับถอยหลังสิบวินาที หลังจากนับถอยหลังจบแล้ว ผู้เข้าแข่งขันทั้งสองทีมก็ต่างคนต่างถูกส่งเข้าไปในดันเจี้ยนดฮณ๊ฯดฯฌซ,
ทิวทัศน์ตรงหน้าเปลี่ยนไปในชั่วพริบตาเดียว สภาพแวดล้อมโดยรอบก็ยิ่งเปลี่ยนจากห้องประชุมที่กว้างขวางสะดวกสบายกลายเป็นป่าทึบที่เย็นครึ้มน่ากลัว มีกลิ่นคาวจางๆ โชยมา
แม้จะบอกว่าเป็นโรนินกลุ่มใหญ่ไร้งานทำมารวมตัวอยู่ด้วยกัน แถวนี้มีกลิ่นเหม็นแบบนี้โชยมาก็สมเหตุสมผล แต่เยี่ยเว่ยหมิงก็ยังรู้สึกแย่นิดหน่อย
เป็นแค่เกมเกมหนึ่ง แค่เลือกสถานที่ให้ดีแล้วมาปรับแต่งก็พอแล้ว ทำไมต้องเลือกสถานที่ที่ทำลายประสบการณ์การเล่นเกมให้สมจริงขนาดนี้ด้วย
เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้า รู้อยู่แก่ใจว่าเวลากระชั้นชิด จึงเลิกบ่นกับสิ่งที่ไร้ประโยชน์ โบกมือสั่งเสียเลยว่า “ลงมือเดี๋ยวนี้ รีบสู้รีบจบ!”
[1] หม่าเอ้อจิ้นซาน 马二进三 ศัพท์เฉพาะในเกมหมากล้อม