ตอนที่ 604 เรียกท่านอาเยี่ยให้ฟังหน่อย
เมื่อได้ยินเสียงคนทยอยเดินตามกันมา จางซานเฟิงที่เดิมทีหลับตาก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ยังคงแสดงออกอย่างปกติธรรมดังเดิม
ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงก็เพิ่งสังเกตเห็นเช่นกันว่าวันนี้จางซานเฟิงแตกต่างจากในอดีตมาก ราวกับตัดสินใจแล้วว่าจะซ่อนเร้นฝีมือ ดังนั้นเขาจึงดูเหมือนชายชราธรรมดาคนหนึ่ง บนร่างกายไม่เผยความรู้สึกพิเศษ ราวกับว่าเขารวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติได้
ความแตกต่างที่ปรากฏให้เห็นบนตัวจางซานเฟิงนี้ ไม่รู้ว่ากำลังแสดงถึงศักยภาพที่ก้าวหน้าขึ้น หรือแสดงถึงสภาพร่างกายที่ย่ำแย่ลง เยี่ยเว่ยหมิงได้แต่คิดในใจเงียบๆ
หลังจากรับการคำนับจากลูกศิษย์และภรรยาของลูกศิษย์อย่างสงบนิ่งแล้ว สายตาของจางซานเฟิงก็ไปหยุดอยู่บนตัวเยี่ยเว่ยหมิงอีกครั้ง “จอมยุทธ์น้อยเยี่ย ตอนนี้คนมารวมตัวกันตามที่เจ้าบอกแล้ว เจ้ามีอะไรจะพูด ก็พูดตอนนี้ได้เลยใช่ไหม”
เยี่ยเว่ยหมิงกุมหมัดคารวะท่านนักพรตเม่า “ยังมิได้ขอรับ”
จางซานเฟิงไม่โกรธขุ่นเคือง ถามอีกครั้งว่า “เพราะเหตุใด”
เยี่ยเว่ยหมิงหันไปมองอินปู้คุยกับฉางซิงอวี่ปราดหนึ่ง ทั้งสองก้มหน้าลงโดยอัตโนมัติ สื่อว่าให้เขาตัดสินใจทุกอย่างเอง เขาถึงได้เก็บสายตากลับมาอย่างพอใจแล้วบอกจางซานเฟิงว่า “ก่อนที่จะพูดความจริงให้กระจ่าง ข้าหวังว่านักพรตจางจะรับปากข้าเรื่องหนึ่งก่อน”
“คำขอไม่ใช่น้อยๆ” จางซานเฟิงด่ากลั้วเสียงหัวเราะ “ว่ามาเถอะ”
เยี่ยเว่ยหมิงหัวเราะแห้ง บอกว่า “คืออย่างนี้นะ หลังจากผู้น้อยบอกเรื่องราวบางอย่างแล้ว หวังว่านักพรตจางจะควบคุมสถานการณ์ที่นี่ให้ดี ก่อนที่ข้าจะพูดทุกอย่างจบ ห้ามใครออกจากห้องนี้เด็ดขาด แล้วก็ต้องควบคุมทุกคนด้วย ห้ามให้พวกเขาทำอะไรเกินไปเด็ดขาด”
ขณะที่พูด บนมุมปากของเยี่ยเว่ยหมิงก็เผยรอยยิ้มมั่นใจอีกครั้ง “เรื่องนี้ นักพรตจางรับปากข้าได้หรือไม่”
“เรื่องนี้ยากตรงไหน” จางซานเฟิงตอบอย่างสบายใจมาก “ข้ารับปากเจ้าก็ได้”
หลังจากได้คำตอบที่พอใจจากจางซานเฟิงแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็หันไปมองอวี๋ไต้เหยียนที่รักษาตัวจนหายเป็นปกติแล้วทันที เอ่ยถามว่า “จอมยุทธ์อวี๋ ขออภัยที่ผู้น้อยเอ่ยเรื่องปวดใจเมื่อครั้งอดีตของท่านในเวลานี้ แต่เรื่องที่จะพูดตอนนี้สำคัญมาก จอมยุทธ์อวี๋โปรดพยายามนึกย้อนไปสักหน่อย ยังจำคนที่ได้รับมอบหมายจากสำนักคุ้มภัยหลงเหมินได้หรือไม่ ตอนนั้นผู้ที่ได้รับมอบหมายหน้าที่พูดอะไรไปบ้าง”
อวี๋ไต้เหยียนได้ยินแล้วขมวดคิ้ว แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดเยี่ยเว่ยหมิงจึงถามเช่นนี้ แต่ก็ยังตอบตามความจริง “เหตุใดต้องพยายามคิดให้ละเอียด คำพูดเหล่านั้นข้ายังจดจำไว้ในใจตลอดเวลา ตอนนั้นนางพูดเยอะมาก สามข้อที่พูดกับตูต้าจิ่น ข้าจำได้ชัดเจนที่สุด”
“ข้อหนึ่งต้องให้เจ้าสำนักคุ้มภัยตูมาคุ้มกันส่งด้วยตนเอง”
“ข้อสอง ส่งจากเมืองหลินอันไปยังเมืองเซียงหยางที่หูเป่ย ต้องเดินทางทั้งวันทั้งคืนโดยไม่หยุด ต้องถึงที่หมายภายในสิบวัน”
“ข้อสาม หากมีความผิดพลาดแม้แต่ครึ่งส่วน หึหึ อย่าว่าแต่เจ้าสำนักคุ้มภัยตูที่จะรักษาชีวิตเอาไว้ไม่ได้ ทั้งสำนักคุ้มภัยหลงเหมินของเจ้าจะไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว”
“ดีมาก เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว” เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นหันไปมองอินซู่ซู่ที่ยืนเผยสายตากระวนกระวายอยู่ข้างกายจางชุ่ยซานแล้วถามพร้อมรอยยิ้ม “สิ่งที่จอมยุทธ์สามกล่าวเมื่อครู่นี้ จางฮูหยินพูดซ้ำอีกทีได้หรือไม่”
พอได้ยินสิ่งที่เยี่ยเว่ยหมิงพูด กลุ่มคนของสำนักอู่ตังก็พากันเหงื่อแตก
อินซู่ซู่ก้าวขึ้นมาข้างหน้า ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ผู้คนร่ำลือกันว่าจอมยุทธ์น้อยเยี่ยตัดสินคดีได้ดั่งเทพ ดูท่าแล้วเรื่องราวในปีนั้นคงปิดบังท่านไม่ได้”
หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง อินซู่ซู่ก็หันกลับมาพูดกับอวี๋ไต้เหยียนว่า “พี่สาม จอมยุทธ์น้อยเยี่ยพูดไม่ผิด วันนั้นผู้ที่มอบหมายให้ตูต้าจิ่นจากสำนักคุ้มภัยหลงเหมินไปส่งท่านที่เขาอู่ตังก็คือน้องสาวคนนี้เอง ตอนหลังสำนักคุ้มภัยหลงเหมินทำพลาดระหว่างทาง ทำให้พี่สามลำบากเช่นนี้ ข้าจึงสังหารทุกคนในสำนักคุ้มภัยหมดแล้ว”
“ที่เจ้าทำกับข้าเช่นนี้มีเหตุผลอะไร ” อวี๋ไต้เหยียนถามเสียงเย็น
อินซู่ซู่สีหน้าหดหู่ ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่งแล้วบอกว่า “พี่สาม เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าก็จะไม่ปิดบังท่านอีก แต่ข้าต้องพูดให้กระจ่างก่อน เรื่องนี้ข้าปิดบังชุ่ยซานมาตลอด เพราะข้ากลัว…กลัวว่าหากเขารู้ความจริงแล้ว…จากนี้ไปเขาจะไม่สนใจข้าอีก”
“เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องพูดแล้ว” อวี๋ไต้เหยียนตัดบทเสียเลย “ตอนนี้สำนักอู่ตังมีศัตรูใหญ่มารออยู่ตรงหน้า เรื่องเร่งด่วนตอนนี้คือรับมือกับภายนอกก่อน เรื่องนี้ก็ให้จบลงตรงนี้แล้วกัน”
เนื่องจากก่อนหน้านี้เยี่ยเว่ยหมิงกับอินปู้คุยทำภารกิจตามหาหมอฝีมือดีและยาเทวดาสำเร็จ ตอนนี้อวี๋ไต้เหยียนจึงกลับมาเคลื่อนไหวได้ตามปกติแล้ว แม้มือเท้าจะยังเคลื่อนไหวได้ไม่ว่องไว แต่ก็ไม่นับว่าเป็นคนพิการแล้ว สภาพจิตใจแตกต่างกับตัวละครในต้นฉบับเดิมมาก
ก่อนหน้านี้จู่ๆ เขาก็นึกถึงความจริงได้ สีหน้าจึงเปลี่ยนไปอย่างควบคุมไม่อยู่ แต่ก็แยกแยะผลได้ผลเสียที่อยู่ในนั้นทันที ย่อมไม่อยากให้เรื่องของตนเองก่อปัญหาแทรกซ้อนยามที่สำนักกำลังเผชิญกับวิกฤตใหญ่
ส่วนความขมขื่นที่สะสมอยู่ในใจมาหลายปี เขาตัดสินใจว่าจะแบกรับมันไว้คนเดียวต่อไป
แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว อินซู่ซู่กลับรู้ว่าหลีกหนีไม่พ้นอีกต่อไป จึงกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “พี่สาม ที่จริงในใจท่านก็เดาได้แล้ว เพียงแต่เห็นแก่ความเป็นพี่น้องกับชุ่ยซานจึงอดทนไว้ไม่เอ่ยออกมา ไม่ผิดหรอก วันนั้นที่แม่น้ำเฉียนถัง คนที่หลบอยู่ในห้องโดยสารเรือแล้วใช้เข็มปากยุงทำร้ายท่านก็คือข้าเอง…”
จางชุ่ยซานตะคอกเสียงดัง “ซู่ซู่ เป็นเจ้าจริงหรือ เจ้า…เจ้า…เหตุใดเจ้าไม่บอกให้เร็วกว่านี้”
“ตัวการหลักที่ทำร้ายศิษย์พี่สามของท่าน ก็คือภรรยาของท่านเอง ข้าจะกล้าบอกท่านได้อย่างไร” อินซู่ซู่ถาม
นางหันไปทางอวี๋ไต้เหยียน “พี่สาม ตอนหลังผู้ที่ใช้ตะปูเจ็ดดาวทำร้ายท่าน หลอกเอาดาบฆ่ามังกรจากมือท่านไป ก็คืออินเหย่หวัง พี่ชายแท้ๆ ของข้า พรรคอินทรีฟ้าของเราไม่มีความแค้นกับสำนักอู่ตัง ในเมื่อได้ดาบฆ่ามังกรมาแล้ว ทั้งยังเคารพที่ท่านเป็นคนดี จึงเรียกให้สำนักคุ้มภัยหลงเหมินส่งท่านกลับเขาอู่ตัง ส่วนอุปสรรคที่เกิดขึ้นระหว่างทาง กลับเป็นสิ่งที่ข้าคาดไม่ถึง”
จางชุ่ยซานสั่นสะท้านไปทั้งตัว สายตาราวกับจะมีไฟพ่นออกมา เขาชี้หน้าอินซู่ซู่ “เจ้า…เจ้าหลอกข้าได้แนบเนียนนัก!”
อินซู่ซู่กลับชักกระบี่ออกมา กลับด้ามกระบี่แล้วยื่นให้จางชุ่ยซาน “พี่ห้า ท่านกับข้าเป็นสามีภรรยากันสิบปี ได้รับความรักที่ลึกซึ้งจากท่าน วันนี้แม้ตายก็ไม่แค้นเคือง หวังว่าท่านจะใช้กระบี่นี้สังหารข้าเพื่อแสดงคุณธรรมของเจ็ดจอมยุทธ์อู่ตัง”
เมื่อเห็นฉากนี้ จู่ๆ เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกเหมือนกำลังดูคนโอ้อวดความรัก ในใจถึงขั้นเริ่มคิดว่าหรือจะปล่อยเรื่องนี้ไป ไม่ต้องสนใจแล้ว ปล่อยให้ผัวเมียคู่นี้ปลิดชีพตนเองเหมือนต้นฉบับเดิม จากนั้นก็ให้กลายเป็นผีเสื้อบินไปด้วยกัน
แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้เขาทำได้เพียงคิดเท่านั้น
ในเมื่อเขาเปิดเผยเรื่องนี้แล้ว ก็ต้องรับผิดชอบจนถึงที่สุด ต้องแก้ไขเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่อย่างนั้นก็ยากจะประกันว่าทุกคนของสำนักอู่ตังจะไม่ผลักความผิดเรื่องนี้มาที่เขา ทั้งยังอาจจะกลายเป็นหนึ่งในศัตรูใหญ่ของจางอู๋จี้ พระเอกของเรื่องด้วย
นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
แม้ตามคาแรคเตอร์ที่เหลวไหลนั่น จางอู๋จี้จะต้องเลือกให้อภัยเขาแน่นอนก็ตาม…
ตอนนี้ หลังจากจางชุ่ยซานตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทั้งไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับภรรยา ทั้งไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับพี่สามของเขาอย่างไร
ทันใดนั้น การบีบบังคับที่ไร้รูปร่างก็แผ่คลุมทั่วทั้งห้อง ทำให้ทุกคนที่เดิมทีอยู่ในอารมณ์คุกรุ่นสงบลงทันที
จากนั้นก็ได้ยินจางซานเฟิงใช้น้ำเสียงที่ไม่ยอมให้ปฏิเสธเอ่ยว่า “พวกเจ้าเลิกวุ่นวายกันได้แล้ว ก่อนหน้านี้ข้ารับปากจอมยุทธ์น้อยเยี่ยไว้ว่าจะมอบอำนาจทั้งหมดให้เขาจัดการเรื่องนี้ ดังนั้นก่อนที่จอมยุทธ์น้อยเยี่ยจะพูดอะไร พวกเจ้าอย่าบุ่มบ่ามดีกว่า”
เมื่อพูดจบ สายตาก็กลับไปตกอยู่บนตัวเยี่ยเว่ยหมิงอีกครั้ง
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วพยักหน้าให้จางซานเฟิง จากนั้นหันกลับมาบอกกับทุกคนว่า “ขอบคุณในความไว้วางใจของนักพรตจาง ผู้น้อยจะพูดอะไรอีกสักหน่อย”
ระหว่างที่พูด สายตาก็ย้ายไปทางผู้ฟัง “ตอนนี้อาการบาดเจ็บของจอมยุทธ์อวี๋ก็ฟื้นตัวในระยะเริ่มต้นแล้ว คิดว่าคงไม่อยากให้เรื่องของตัวเองก่อโศกนาฎกรรมอีกเรื่องหนึ่งให้สำนักอู่ตัง…
…แต่เรื่องนี้เป็นจางฮูหยินที่ทำผิดก่อน แม้จอมยุทธ์อวี๋จะไม่ถือสาเอาความ แต่เกรงว่าพวกท่านสองสามีภรรยาคงใช้ชีวิตอยู่ต่อไปอย่างสงบใจไม่ได้อยู่ดี…
…เช่นนั้น…
…ในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้ว หากเทียบกับการหนี คิดหาทางชดเชยไม่ดีกว่าหรอกหรือ”
จางชุ่ยซานได้ยินแล้วฮึกเหิมทันที รีบซักไซ้ว่า “จะชดเชยอย่างไร”
เยี่ยเว่ยหมิงยิ้มบางๆ แล้วบอกกับทุกคนว่า “ก่อนอื่นต้องขอบอกข่าวดีกับทุกคน เลเวล ‘วิชาแพทย์’ ของข้าถึงระดับเก้าแล้ว! นอกจากนี้ ข้ายังเรียนสุดยอดวิชากำลังภายใน ‘คัมภีร์เทพสาดส่อง’ มาแล้วด้วย มีผลอัศจรรย์ต่อการเยียวยารักษา”
พอพูดจบ เขาก็มองอินหลีถิงอีก “ข้าเพิ่งบอกไปเมื่อครู่ อาการบาดเจ็บของจอมยุทธ์อวี๋ได้รับการเยียวยาขั้นต้นแล้ว ความหมายแฝงอีกชั้นก็คือเขายังไม่หายดีโดยสมบูรณ์ ด้วยเลเวลวิชาแพทย์และ ‘คัมภีร์เทพสาดส่อง’ ของข้าในปัจจุบัน ตอนนี้ยังไม่มีทางรักษาจอมยุทธ์อวี๋ให้หายสนิทได้ แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีความหวัง”
พอได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงพูดถึงตรงนี้ ในที่สุดอินปู้คุยกับฉางซิงอวี่ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกพร้อมกัน
เดิมทีตั้งแต่รู้ว่าเยี่ยเว่ยหมิงจะเปิดเผยเรื่องนี้ พวกเขาสองคนก็กังวลมาตลอดว่าเรื่องนี้จะวุ่นวายจนหาทางยุติไม่ได้
จนกระทั่งตอนนี้ ถึงได้เข้าใจแผนการที่แท้จริงของเยี่ยเว่ยหมิง
เมื่อเห็นสายตาของทุกคนมารวมอยู่ที่ตัวเอง เยี่ยเว่ยหมิงก็พูดต่อว่า “แต่ในด้านวิชาแพทย์แม้จะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ก็ใช้สมบัติล้ำค่ามาชดเชยได้ ในยุทธภพยังมียาเทวดาเหมือน ‘ยาลูกกลอนโชคลาภอมตะ’ อีก อีกทั้ง ‘คัมภีร์เทพสาดส่อง’ ของข้าก็ไม่มีทางอยู่ในเลเวลอย่างตอนนี้ตลอดไป…
…ดังนั้น อาการบาดเจ็บของจอมยุทธ์อวี๋ก็ยังมีหวังว่าจะรักษาได้” เยี่ยเว่ยหมิงบอกข้อมูลที่ทำให้สำนักอู่ตังเลือดในตัวพุ่งพล่าน “ตามที่ข้าประเมินไว้ ต่อให้เป็นการฟื้นฟูทักษะยุทธ์ในปีนั้นของจอมยุทธ์อวี๋ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ถึงกระนั้น ทักษะยุทธ์ของจอมยุทธ์อวี๋ก็เกรงว่าจะแข็งแกร่งเป็นอันดับสุดท้ายในบรรดาเจ็ดจอมยุทธ์อู่ตัง ถึงอย่างไรเวลาก็ผ่านมานานแล้ว แต่ก็ยังใช้ยาชดเชยส่วนนี้ได้”
เมื่อได้ยินข้อมูลนี้ แม้แต่จางซานเฟิงที่สุขุมเยือกเย็นก็บีบที่วางมือบนเก้าอี้แน่น ส่วนคนอื่นๆ ในบรรดาเจ็ดจอมยุทธ์อู่ตัง หากไม่ใช่เพราะมีจางซานเฟิงระงับอยู่ก็แทบจะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจตรงนั้นแล้ว
ทักษะยุทธ์ของอินหลีถิง ไม่น่าเชื่อว่ายังมีหวังจะฟื้นฟูได้?
ข่าวนี้เพียงพอที่จะปลุกเร้าใจให้ฮึกเหิม!
ส่วนเวลาที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์สิบกว่าปีเพราะอาการป่วย เรื่องนี้ไม่มีใครทำอะไรได้ทั้งนั้น พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดไปมากกว่านี้ด้วยซ้ำ
หากชดเชยเวลาที่เสียไปสิบกว่าปีได้ เช่นนั้นเกม ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ ก็ไม่ใช่โลกของจอมยุทธ์แล้ว แม้แต่แนวเทพเซียนก็ยังดันทุรังไม่ไหว!
หากเป็นยุคบรรพกาลก็อาจมีโอกาส?
ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงหันกลับไปพูดกับจางชุ่ยซานและฮูหยิน “ดังนั้น ต่อไปพวกเราก็แบ่งงานกันทำสักหน่อย”
“ข้ารับหน้าที่รีบฝึก ‘คัมภีร์เทพสาดส่อง’ ให้ถึงเลเวลสิบที่เป็นระดับสมบูรณ์…
…ส่วนพวกท่านสองคนก็หาทางตามหายาเทวดาที่เหมือน ‘ยาลูกกลอนโชคลาภอมตะ’…
…ขอเพียงพวกเราใช้ทั้งสองวิธี จอมยุทธ์อวี๋จะต้องหายดีแน่นอน”
เมื่อได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงกล่าวเช่นนี้ จางชุ่ยซานกับอินซู่ซู่ก็สบตากันแวบหนึ่ง ชั่วพริบตาเดียวทั้งสองก็ใช้สายตาสื่อสารจนได้ข้อตกลงร่วมกัน จากนั้นจางชุ่ยซานก็ดึงภรรยาให้คุกเข่าตรงหน้าเยี่ยเว่ยหมิงพร้อมกันกับเขา
การกระทำของสองสามีภรรยาคู่นี้ทำเอาเยี่ยเว่ยหมิงตกใจ รีบยื่นมือมาประคองทั้งสองให้ลุกขึ้น แต่กลับพบว่าสองคนนี้พลังก้าวหน้าขึ้นมากหลังจากอยู่บนเกาะน้ำแข็งอัคคีเป็นเวลาสิบกว่าปี เขาประคองให้ลุกขึ้นไม่ไหว
และเมื่ออยู่ต่อหน้าจางซานเฟิง เขาเองก็ไม่สะดวกจะใช้กำลังกับทั้งสองจริงๆ ทำได้เพียงกล่าวอย่างจนใจว่า “ทั้งสองทำเช่นนี้เท่ากับฆ่าผู้น้อย โปรดรีบลุกขึ้นเถิด”
จางชุ่ยซานกลับดึงดัน “จอมยุทธ์น้อยเยี่ย…ไม่สิ! สหายเยี่ย วันนี้ขอบคุณมากที่ช่วยให้พวกเราสมปรารถนา จางชุ่ยซานไม่มีอะไรจะตอบแทน หลังจากนี้ไป เจ้าก็คือสหายของข้าจางชุ่ยซาน จากนี้ไปหากมีเรื่องอะไร ต่อให้ต้องการศีรษะบนคอจางชุ่ยซาน ข้าก็จะไม่ขมวดคิ้วลังเลแม้แต่น้อย!”
เยี่ยเว่ยหมิงยังคิดจะพูดอะไรอีก แต่กลับได้ยินซ่งหย่วนเฉียวกล่าวอยู่ข้างๆ “เป็นสหายของชุ่ยซาน ก็เท่ากับเป็นสหายของซ่งหย่วนเฉียวด้วย”
“ข้าก็เห็นด้วย!” มั่วเซิงกู่กล่าว
อวี๋เหลียนโจวเสริม “ไม่ผิดหรอก พวกเราเจ็ดจอมยุทธ์อู่ตังเป็นหนึ่งเดียวกัน เรื่องที่ชุ่ยซานรับปาก ก็เท่ากับเป็นเรื่องที่พวกเราเจ็ดจอมยุทธ์อู่ตังรับปากร่วมกัน”
“ข้าก็เห็นด้วย!” มั่วเซิงกู่กล่าว
จางซงซีว่า “จอมยุทธ์น้อยเยี่ยเป็นผู้มีพระคุณของสำนักอู่ตังและเป็นดั่งพี่น้องแท้ๆ ของเจ็ดจอมยุทธ์อู่ตัง พวกเราเจ็ดจอมยุทธ์อู่ตังจะเป็นมิตรที่เหนียวแน่นที่สุดของจอมยุทธ์น้อยเยี่ยตลอดไป!”
มั่วเซิงกู่ “ข้าก็เห็นด้วย!”
อินหลีถิง “…”
……
ตอนนี้แม้แต่จางซานเฟิงก็แสดงท่าที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หลังจากนี้จอมยุทธ์น้อยเยี่ยก็ไปมาหาสู่กับพวกเขาด้วยลำดับอาวุโสเดียวกันเถิด หลังจากนี้สำนักอู่ตังกับสำนักมือปราบเทพจะร่วมทุกข์สุขกัน โดยเฉพาะกับจอมยุทธ์น้อยเยี่ย ข้าขอกล่าวไว้ตรงนี้” ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
ที่จริงแล้วก็ไม่แปลกที่สำนักอู่ตังมีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้ เพราะวิธีการของเยี่ยเว่ยหมิงรอบคอบมากจริงๆ
เยี่ยเว่ยหมิงเสนอว่าเขายินดีจะช่วยชีวิตคน ทั้งยังเตรียมภารกิจที่ดูเหมือนสำเร็จยากไว้ให้จางชุ่ยซานและฮูหยิน แต่ความจริงกลับเป็นการมอบโอกาสให้พวกเขาแก้ไขความขัดแย้งทางอารมณ์ทั้งหมดภายในสำนักแล้ว
ผลลัพธ์ของการทำแบบนี้ ดีกว่าให้เยี่ยเว่ยหมิงลงมือรักษาอวี๋ไต้เหยียนโดยตรงตั้งเยอะ!
หากเขาลงมือรักษาอวี๋ไต้เหยียนให้หายเองโดยตรง ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเขาจะยังแก้ไขปัญหาไม่ได้ในตอนนี้ ต่อให้แก้ได้แล้ว แต่นั่นก็เป็นผลงานของเยี่ยเว่ยหมิงทั้งหมด จางชุ่ยซานและฮูหยินก็ยังรู้สึกผิดกับอวี๋ไต้เหยียนเหมือนเดิม สองสามีภรรยาอาจเกิดรอยร้าวทางความรู้สึกเพราะเรื่องนี้ด้วย
แต่เยี่ยเว่ยหมิงให้พวกเขาไปช่วยหายามารักษา ยิ่งภารกิจนี้ยากเย็นเท่าไร ก็ยิ่งลดความรู้สึกผิดในใจพวกเขาได้เท่านั้น
นอกจากความรู้สึกระหว่างสามีภรรยาจะไม่ได้รับผลกระทบแล้ว หลังจากมีเป้าหมายร่วมกัน ระหว่างที่ร่วมแรงกันค้นหายารักษา ความสัมพันธ์อาจจะแนบแน่นขึ้นด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ภารกิจนี้มองเผินๆ เหมือนยาก แต่จอมยุทธ์ท่านอื่นของสำนักอู่ตังก็ไม่นิ่งดูดายเช่นกัน หากร่วมแรงกับเจ็ดจอมยุทธ์อู่ตัง ขอเพียงในโลกนี้มียาเทวดาระดับนั้นอยู่จริง พวกเขาจะต้องหาทางครอบครองมันได้แน่นอน
จากเดิมทีที่ตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกระหว่างมิตรภาพและความรัก ท่ามกลางคำพูดที่เรียบง่ายของเยี่ยเว่ยหมิง กลับทำให้เดินไปสู่บทสรุปที่น่าพึงพอใจ การที่สำนักอู่ตังปฏิบัติเช่นนี้กับเขาก็สมเหตุสมผลแล้ว
“ในเมื่อทุกคนเป็นพี่น้องมิตรสหายกัน พี่ห้าก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้แล้ว” เยี่ยเว่ยหมิงแสร้งทำตัวเกรงกลัว ประคองจางชุ่ยซานกับอินซู่ซู่ให้ลุกขึ้น “พี่ห้ากับพี่สะใภ้ห้ารีบลุกขึ้นมาคุยกันเถอะ ทำเช่นนี้น้องชายรับไม่ไหว”
ขณะเดียวกันก็ส่งข้อความในช่องทีมว่า [สหายอิน สหายฉาง เรียกท่านอาเยี่ยให้ฟังหน่อยสิ] เขาได้รับคำตอบเป็นอิโมติคอนชูนิ้วกลางสองตัว
เมื่อเห็นจางชุ่ยซานกับฮูหยินยืนขึ้นแล้ว ในที่สุดเยี่ยเว่ยหมิงก็กลับมาทำตัวเคร่งขรึมดังเดิม แล้วเปลี่ยนประเด็นสนทนา “ตอนนี้แก้ไขปัญหายภายในเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้น ต่อไปพวกเราก็ควรพิจารณาได้แล้วว่าจะรับมือกับศัตรูภายนอกอย่างไร”