บทที่ 898 มุ่งสู่เจ็ดล้านปี
“จะว่าไป มารมรรคาคู่ควรพอให้พวกเราสนใจจริงๆ ความแข็งแกร่งของมารมรรคาบางส่วนถึงขั้นที่เทียบกับอริยะมหามรรคได้เลย ที่อ่อนแอที่สุดก็มีตบะระดับจักรพรรดิเซียน”
หานทั่วเอ่ยอย่างเคร่งขรึม เทวทัณฑ์อีกสามคนพยักหน้าตาม ชัดเจนยิ่งนัก พวกเขาถูกมารมรรคาเคี่ยวกรำมาไม่น้อยเลย
เทพมหาทัณฑ์ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยไปว่า “เอาเช่นนี้เถอะ พวกเจ้าไปเตรียมตัวสำหรับงานชุมนุมฟ้าบุพกาลเสีย ข้าเป็นประธานจัดงานชุมนุมนี้ ผู้ติดตามย่อมต้องมีคนที่ติดทำเนียบสิบยอดฟ้าบุพกาลบ้าง เข้าใจหรือไม่”
ห้าเทวทัณฑ์ค้อมคำนับพร้อมกับขานรับ
เทพมหาทัณฑ์โบกแขนเสื้อเล็กน้อย ห้าเทวทัณฑ์ถอยออกไปทันที
รอจนห้าเทวทัณฑ์ออกไปแล้ว สีหน้าของเทพมหาทัณฑ์พลันเยียบเย็นลง
“มารมรรคา…ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่ ต้องการผงาดกลับมาจริงๆ…”
เทพมหาทัณฑ์พึมพำกับตัวเอง แววตาเปี่ยมด้วยความชิงชัง
เขาหลับตาลง ฝึกบำเพ็ญต่อ 艾琳小說
ตอนนี้เรื่องที่เขาให้ความสนใจที่สุดคืองานชุมนุมฟ้าบุพกาล จะต้องจัดการงานชุมนุมนี้ให้ดี นี่คือก้าวแรกของเขาในการเปลี่ยนแปลงฟ้าบุพกาล ห้าเทวทัณฑ์เพียงคอยกำกับดูแลเท่านั้น หากคิดจะเปลี่ยนแปลงฟ้าบุพกาลจริงๆ ยังคงต้องลงแรงมหาศาล
….
ในวังเยือนอริยะ
อริยะเทพอวี๋เจี้ยนและเจ้านิกายเทียนเจวี๋ยจ้องมองชิงเทียนเสวียนจีที่อยู่เบื้องหน้า
หลายแสนปีก่อน ชิงเทียนเสวียนจีสำเร็จเป็นอริยะมรรคาสวรรค์ จากนั้นก็เปรียบดั่งม้าป่าที่หลุดจากเชือกล่าม ควบคุมไม่ได้ ฝึกบำเพ็ญอย่างบ้าคลั่ง ยามนี้บรรลุถึงเซียนทองต้าหลัวเบิกฟ้าระยะปลายแล้ว
เวลานี้ ชิงเทียนเสวียนจีกำลังทะลวงสู่ระยะสมบูรณ์
เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยกล่าวอย่างสะท้อนใจ “ชนรุ่นหลังเก่งกาจนัก ครั้งนี้มรรคาสวรรค์ต้องสร้างความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในงานชุมนุมฟ้าบุพกาลได้แน่”
อริยะเทพอวี๋เจี้ยนเอ่ยว่า “คุณสมบัติของเด็กคนนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ ติดหนึ่งในสิบยอดฟ้าบุพกาลได้ไม่ยาก แต่เลิศล้ำหมื่นยุคนั้นว่ากันยาก”
เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยเอ่ยด้วยความแปลกใจ “มรรคาสวรรค์มีพัฒนาการที่สุดในฟ้าบุพกาล แม้ว่าในฟ้าบุพกาลจะมีบุตรแห่งสวรรค์มากมาย ก็ยากจะหาสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์เป็นเอกลักษณ์เช่นมรรคาสวรรค์ได้”
อริยะเทพอวี๋เจี้ยนส่ายหน้า กล่าวไปว่า “บางครั้งต่อให้มีคุณสมบัติดีพอ หรือสภาพแวดล้อมในมรรคาสวรรค์ยอดเยี่ยมเพียงใด ด้านมหามรรคก็ไม่อาจเทียบกันได้”
เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยเงียบไป
“ถึงแม้ข้าจะโอ้อวดเกี่ยวกับคุณสมบัติของตนอยู่บ่อยครั้ง แต่เส้นทางการเติบโตของข้าพบพานตัวตนเลิศล้ำที่มีคุณสมบัติสูงส่งกว่าข้ามามากมาย เพียงแต่พวกเขาชิงตายไปเสียก่อน แต่ข้ารอดมาได้ ยามนี้ฟ้าบุพกาลสงบสุข บุตรแห่งสวรรค์ยิ่งเติบโตได้ง่ายขึ้น บางทีอาจจะปรากฏตัวตนเลิศล้ำที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนขึ้น ชิงเทียนเสวียนจีก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ยากจะบอกได้ว่าเขาใช่คนที่เลิศล้ำที่สุดหรือไม่”
อริยะเทพอวี๋เจี้ยนเอ่ยอย่างสะท้อนใจ เขายังมีอีกประโยคหนึ่งที่ไม่ได้เอ่ยออกไป
ยกตัวอย่างเช่นอริยะสวรรค์เกรียงไกร!
ตบะของชิงเทียนเสวียนจีก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่นั่นเป็นเพียงพรสวรรค์ด้านการฝึกบำเพ็ญ พรสวรรค์ด้านการต่อสู้ก็สำคัญเช่นกัน อย่างเช่นอริยะสวรรค์เกรียงไกร ถึงจะอยู่ในระดับเดียวกัน แต่ก็รู้สึกว่าศัตรูมากมายเพียงใดก็มิใช่คู่ต่อสู้ของเขา
อริยะเทพอวี๋เจี้ยนไม่มีทางลืมฉากที่หานเจวี๋ยทำลายล้างสองหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ได้ในกระบี่เดียว!
เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยพยักหน้ารับ “พูดมีเหตุผล เพียงติดลำดับสิบยอดฟ้าบุพกาล ก็นับเป็นการนำเกียรติมาสู่มรรคาสวรรค์แล้ว”
อริยะเทพอวี๋เจี้ยนพยักหน้าให้อย่างเห็นด้วย
ชิงเทียนเสวียนจียังอยู่ระหว่างทะลวงขั้น ไม่ได้ยินบทสนทนาของพวกเขา
แม้ว่าจะอยู่ระหว่างทะลวงขั้น ชิงเทียนเสวียนจีก็ยังมีสีหน้าเย่อหยิ่ง ทรงภูมิงามสง่า
นี่เป็นเพียงฉากเล็กๆ เท่านั้น มิใช่แค่ในมรรคาสวรรค์ ทั่วทุกดินแดนในฟ้าบุพกาลล้วนเริ่มเตรียมตัวสำหรับงานชุมนุมฟ้าบุพกาลแล้ว
ด้วยการผลักดันของดวงจิตมหามรรค งานชุมนุมฟ้าบุพกาลกลายเป็นหัวข้อที่แพร่กระจายไปกว้างขวางที่สุดในฟ้าบุพกาล สิบยอดฟ้าบุพกาล เลิศล้ำหมื่นยุคเป็นตำแหน่งที่ไม่เคยมีปรากฏในฟ้าบุพกาลมาก่อน
….
ในดินแดนลึกลับแห่งหนึ่ง หมอกหนาปกคลุม
จอมเทพข่งเซวี่ยนั่งสมาธิอยู่หน้าหลักศิลาจารึกก้อนหนึ่ง รอบข้างโอบล้อมด้วยขุนเขา ถูกซ่อนเร้นไว้ใต้หมอกหนา ราวกับมียักษาหลายตนคอยเฝ้ายามอย่างเข้มงวด
เวลานี้ จอมเทพข่งเซวี่ยค่อยๆ ลืมตาขึ้น เอ่ยว่า “ตาเฒ่า เจ้าจะขังข้าไว้อีกนานแค่ไหน ข้าบอกเจ้าแล้วไง ข้ามีคนหนุนหลังอยู่!”
สายตาของเขามองไปยังหลักศิลาจารึกที่อยู่ด้านหน้า ศิลาจารึกก้อนนี้ดูราวกับขอนไม้ มีโลหิตไหลนองตามพื้นผิว ดูน่าสยองขวัญอย่างยิ่ง
ไม่มีเสียงใดตอบกลับมาหาเขา
จอมเทพข่งเซวี่ยโมโหสุดขีด แต่ก็ขยับเขยื้อนไม่ได้ ทำได้แต่ปล่อยไป
เขามีความคิดจะขอความช่วยเหลือจากเจ้าแดนต้องห้ามอันธการอีกครั้ง แต่พอนึกถึงว่าก่อนหน้านี้เจ้าแดนต้องห้ามอันธการเคยผิดหวังในตัวเขาไปแล้ว เขาก็ไม่กล้าทำอีก
เจ้าแดนต้องห้ามให้เขาฝึกบำเพ็ญดีๆ แต่เพื่อสร้างผลงาน เขาออกมาเสี่ยงอันตรายอีกแล้ว ต้องเดือดร้อนเจ้าแดนต้องห้ามอันธการอีก…
พอคิดได้เช่นนี้ จอมเทพข่งเซวี่ยก็ยิ่งหงุดหงิด นึกชังที่ตนไร้ความสามารถ
จู่ๆ เขาก็ตระหนักได้ว่า ชีวิตตนผ่านไปอย่างไร้แก่นสาร ก่อนหน้านี้ที่ระดับค้างเติ่งไม่บรรลุมหามรรคก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผล คุณสมบัติของเขาแกร่งกล้า แต่เขาเสียเวลาไปมากมายเหลือเกิน
ยิ่งคิดจอมเทพข่งเซวี่ยก็ยิ่งรู้สึกหดหู่
ตนล้มเหลวมากมายจริงๆ
ไม่ได้การแล้ว!
ข้าจะไม่ยอมเป็นเช่นนี้เด็ดขาด!
จอมเทพข่งเซวี่ยปรับอารมณ์ตน เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาฉายแววแน่วแน่อย่างยิ่ง
….
วันเวลาไหลผ่านไป
ใต้พฤกษาเก่าแก่ หานชิงเอ๋อร์ยืดตัวเล็กน้อย ลืมตาขึ้นก่อนเอ่ยว่า “ท่านแม่ ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วเจ้าคะ”
ชิงหลวนเอ๋อร์ลืมตาขึ้นเช่นกัน ตอบว่า “ครั้งนี้เจ้าปิดด่านไปเกือบแสนปีเลยกระมัง”
หานชิงเอ๋อร์ส่ายหน้ากล่าวว่า “ที่ข้าถามคือท่านพ่อปิดด่านนานแค่ไหนแล้วเจ้าคะ”
หลังจากหานเจวี๋ยถ่ายทอดฝ่ามือสวรรค์มหาเกรียงไกรให้นาง ก็ไม่ปรากฏตัวขึ้นอีกเลย หากไม่ใช่นางเข้าไปดูในอารามเต๋าหลายครั้งแล้วเห็นว่าหานเจวี๋ยยังอยู่ดี คงรู้สึกเป็นกังวลไปนานแล้ว
“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะใกล้ครบล้านปีแล้วกระมัง” ชิงหลวนเอ๋อร์ส่ายหน้าพลางตอบ
ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ นางพิสูจน์มรรคผลเบิกฟ้าแล้ว เมื่อผ่านไปนานเข้า นางก็เคยชินกับวิถีชีวิตบำเพ็ญแบบนี้แล้วเช่นกัน
ตอนนี้นางพอจะเข้าใจหานเจวี๋ยแล้ว หลังจากบรรลุอริยะ เวลาที่สูญเสียไปมีความหมายจริงๆ
หานชิงเอ๋อร์บ่นอุบอิบ “ครั้งนี้มันอย่างไรกัน แต่ก่อนท่านพ่อปิดด่านหนึ่งแสนปีตลอด เหตุใดนานขนาดนี้ได้ หรือว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นจริงๆ”
ชิงหลวนเอ๋อร์ได้ฟัง ก็อดกังวลไม่ได้เอ่ยถามไปว่า “ท่านพ่อเจ้าบอกอะไรเจ้าไว้หรือไม่”
“ไม่มีเจ้าค่ะ ข้าเพียงคาดเดาไปเท่านั้น ท่านแม่วางใจเถิด ท่านพ่อไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ ที่ข้าพูดหมายถึงอาจเผชิญเรื่องใดเข้าเท่านั้น ท่านพ่อของข้าเก่งกาจปานนั้น ไม่มีทางเกิดเรื่องขึ้นแน่ ข้าเพียงสงสัยว่าเหตุใดเขาถึงปิดด่านนานขนาดนี้ บางทีคงกำลังจะทะลวงระดับกระมัง”
หานชิงเอ๋อร์เอ่ยปลอบใจ นางทราบถึงฐานะตัวตนของหานเจวี๋ยดี สุดยอดผู้แข็งแกร่งแห่งฟ้าบุพกาล
ชิงหลวนเอ๋อร์ได้ฟัง ก็ทำได้เพียงผ่อนคลายจิตใจลง
ไม่นานนักสองแม่ลูกก็เข้าสู่สภาวะฝึกบำเพ็ญอีกครั้ง
ในเวลาเดียวกันนี้ ภายในอารามเต๋า หานเจวี๋ยยังคงจมจ่อมอยู่ในการฝึกบำเพ็ญ
เขาไม่เคยปิดด่านนานขนาดนี้มาก่อน โลกอนธการขยายตัวออกไปหลายเท่า ในปราณเทพมารเหล่านั้นปรากฏเงาร่างของตัวอ่อนแล้ว
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป วันหน้าหานเจวี๋ยไม่จำเป็นต้องใช้ศิลาก่อวิญญาณ ก็สามารถสร้างเทพมารฟ้าบุพกาลขึ้นมาได้
เทพมารฟ้าบุพกาลที่กำเนิดขึ้นจากศิลาก่อวิญญาณที่ได้มาเมื่อหกแสนปีก่อนยังคงอยู่ในโลกอนธการ
หานเจวี๋ยค่อยๆ ลืมตาขึ้น
ตบะของเขาเพิ่มขึ้นมากนัก แต่ถ้าคิดจะทะลวงขั้นก็ยังต้องใช้เวลา
เขาพบว่าเวลาผ่านไปแปดแสนกว่าปีแล้ว ใกล้จะครบเก้าแสนปีแล้ว
“ลูกเอ๋ย อีกแค่หนึ่งแสนปี เจ้าก็จะได้ลืมตาดูโลกแล้ว”
หานเจวี๋ยพึมพำกับตัวเอง ในใจเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
เพื่อบุตรชายของตนแล้ว เขาทุ่มเทมากจริงๆ
เขาตรวจสอบจอค่าความสัมพันธ์เล็กน้อย สหายใกล้ชิดล้วนยังอยู่ นั่นก็แปลว่าไม่มีเรื่องใด
เขาปิดด่านฝึกบำเพ็ญต่อ รอให้วันเกิดครบรอบเจ็ดล้านปีมาถึง
ระบบอ้างอิงจากอายุขัยดั้งเดิม ต่อให้กระตุ้นกฎเกณฑ์แห่งเวลา เร่งเวลาไปก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงอดทนรอ
………………………………………………………………