บทที่ 932 พลังเหนือฟ้าบุพกาล
ครืน…
ห้วงมิติฟ้าบุพกาลสั่นไหวรุนแรง บนนภาเหนือแดนบรรพกาล เหนือศีรษะมารมรรคานับร้อยๆ ล้าน อัสนีสีม่วงแลบแปลบปลาบ เสมือนสายฟ้าจะผ่าลงมา
จ้านฝัวมองมารมรรคานับแสนล้านตนที่อยู่เบื้องหน้า ยังมีกลิ่นอายน่าหวาดหวั่นชวนสิ้นหวังนั้นที่อยู่ที่ส่วนลึกของแดนบรรพกาลด้วย หัวใจเขาพลันเต้นกระหน่ำขึ้นมา
“ฝ่าบาท พลังและกองกำลังของดวงจิตบรรพกาลเหนือกว่าที่พวกเราคาดการณ์ไว้มากนัก ยังไม่ล่าถอยอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ หรือว่าฝ่าบาทประสงค์จะช่วยเหลือจนตัวตาย”
แม่ทัพฟ้าทมิฬที่ยืนด้านข้างจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายหรี่ตาลง เอ่ยว่า “เจ้านับเป็นตัวอะไร ไยจึงกล้าตัดสินเป็นตายแล้ว รอดูต่อไปเถอะ อริยะสวรรค์เกรียงไกรกล้าออกมา นั่นย่อมเป็นความน่ากลัวอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และเป็นเรื่องน่ากลัวสำหรับดวงจิตบรรพกาลด้วย!”
เขายกยิ้มมุมปาก ยิ้มอย่างมั่นใจในแบบที่คนอื่นไม่อาจเข้าใจได้
จ้านฝัวและแม่ทัพฟ้าทมิฬผงะไป
เหตุใดฝ่าบาทถึงเชื่อมั่นในตัวอริยะสวรรค์เกรียงไกรถึงเพียงนี้
ในเวลาเดียวกันนี้
หานเจวี๋ยเผชิญหน้ากับรัศมีอันแกร่งกล้าทรงพลังของดวงจิตบรรพกาลโดยที่สีหน้าไม่แปรเปลี่ยนเลย
ท่ามกลางแสงเทพส่องพร่างพราว อาภรณ์ของหานเจวี๋ยสะบัดไหว ดูราวกับราชันแห่งทวยเทพที่อยู่บนจุดสูงสุดตามตำนานโบราณ คลื่นมรสุมใดๆ ในห้วงกาลล้วนไม่อาจสั่นคลอนเขาได้
“ท่านพ่อ…”
หานฮวงยกมือขึ้นพลางเอ่ยเรียก ใบหน้าฉายแววกังวล
เสียงของหานเจวี๋ยแว่วดังขึ้นในหู มีเพียงเขาที่ได้ยิน
“คอยดูให้ดี วันนี้พ่อจะสอนบทเรียนอย่างหนึ่งให้เจ้า
“พ่อสามารถสังหารเขาได้ทันที แต่เหตุผลที่รอคอยเช่นนี้ ก็เพื่อให้มีชัยเหนือเขาอย่างเปิดเผยเป็นที่ประจักษ์ สั่นสะเทือนทั่วฟ้าบุพกาล ต้องปล่อยให้ศัตรูของเจ้าแสดงพลังออกมา ถึงจะทำให้คนอื่นรู้ว่าตัวเจ้าที่สามารถสังหารศัตรูได้ง่ายๆ น่ากลัวมากแค่ไหน!
“และเงื่อนไขแรกของทุกสิ่งนี้ก็คือการเพียรบำเพ็ญต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืนนับล้านๆ ปีเหล่านั้น!
“เพียรบำเพ็ญ เพื่อให้แข็งแกร่งกว่าศัตรูของเจ้าตลอดกาล!”
วาจาของหานเจวี๋ยเสมือนฟ้าผ่าเสียงดังกึกก้องอยู่ข้างหูหานฮวงอย่างต่อเนื่อง ทำให้หานฮวงตกตะลึง
โดยเฉพาะคำพูดประโยคสุดท้าย!
แข็งแกร่งกว่าศัตรูของเจ้าตลอดกาล!
ในส่วนลึกของแดนบรรพกาล มารมรรคานับแสนล้านแยกตัวหลีกทาง เปิดทางสายหนึ่งขึ้น มองเห็นเพียงดวงจิตบรรพกาลที่แผ่ไอชั่วร้ายไร้สิ้นสุดเดินออกมา
“อริยะสวรรค์เกรียงไกร เจ้าช่างใจร้อนนัก ข้ายังไม่ทันไปเยือนมรรคาสวรรค์ เจ้าก็มาเสียแล้ว ไม่คล้ายตัวเจ้าในอดีตเลย”
เสียงของดวงจิตบรรพกาลแว่วขึ้น เยียบเย็นวังเวง
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ผู้ใดใช้ให้เจ้าพูดจาไว้เสียใหญ่โตเล่า รออยู่หลายล้านปีก็ไม่มาเสียที ข้าจึงได้แต่เป็นฝ่ายมาหาเอง”
ดวงจิตบรรพกาลยิ้มเยาะ
หานเจวี๋ยเดินหน้าต่อไป สายตามองฝ่าความเวิ้งว้างไป มองไปที่ดวงจิตบรรพกาล เอ่ยว่า “ก้าวข้ามยอดมหามรรคแล้ว เจ้าช่างแน่เสียจริง ลงมือเถอะ”
ดวงจิตบรรพกาลหัวเราะอย่างโอหัง “ลงมืออย่างนั้นหรือ อริยะสวรรค์เกรียงไกร เจ้าประเมินตัวเองสูงเกินไปแล้ว! ลองรับรู้ความร้ายกาจของมารมรรคาแปดแสนล้านล้านตนดูก่อนเถิด!”
ครืน…
มารมรรคาทั้งหมดพุ่งเข้าใส่หานเจวี๋ยอย่างบ้าคลั่ง เกิดเสียงดังสนั่น ตระการตาอย่างยิ่ง
หานฮวงตื่นตระหนกสุดขีด เตรียมพร้อมออกศึกแล้ว
แต่ในเวลานี้เอง ปฐมยุคประทับนภาพลันสาดแสงเจิดจ้า วินาทีนั้น มารมรรคาแปดแสนล้านล้านตนพลันหายไปชั่วพริบตา แทบจะในเวลาเดียวกันนี้ พวกเขาไปปรากฏตัวขึ้นภายในปฐมยุคประทับนภา ดิ้นรนกันอย่างบ้าคลั่ง
มารมรรคามากมายถูกขังแออัดอยู่ในปฐมยุคประทับนภา ดูราวกับเขียงที่มีมดไต่ยั้วเยี้ย ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง ฉากนี้ทำให้คนขนหัวลุก
ดวงจิตบรรพกาลเผยสีหน้าตกตะลึง ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
หานฮวงตะลึงงัน ไม่คิดเลยว่ามารมรรคาแปดแสนล้านล้านตนถูกหานเจวี๋ยปราบได้ในทันใด
มิใช่เพียงเขาเท่านั้น เหล่าผู้สังเกตการณ์ที่มองอยู่ไกลๆ ล้วนตกตะลึงเช่นกัน
อริยะสวรรค์เกรียงไกรแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่
หานเจวี๋ยยิ้มน้อยๆ มารมรรคาแปดแสนล้านล้านตนที่อยู่ในปฐมยุคประทับนภาสลายเป็นควันแดงในทันใด จากนั้นก็ถูกดูดซับเข้าสู่ลัญจกร หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว เหลือเพียงปรมาจารย์ฟ้าทลายที่ยังกระเสือกกระสนเจียนตายอยู่
ที่ปรมาจารย์ฟ้าทลายยังมีชีวิตรอดอยู่ก็เพียงเพราะหานเจวี๋ยไม่คิดสังหารเขาเท่านั้น
หานเจวี๋ยมองไปที่ดวงจิตบรรพกาล เอ่ยยิ้มๆ “ตอนนี้เจ้าลงมือได้แล้วกระมัง!”
ดวงจิตบรรพกาลเงียบไป
ทั่วทั้งฟ้าบุพกาลเงียบสงัดลงไป
ก่อนหน้านี้มารมรรคาเคยปรากฏตัวขึ้น แรงกดดันนั้นทำให้คนทั้งหลายอกสั่นขวัญแขวน แต่ไม่คิดเลยว่าจะถูกหานเจวี๋ยทำลายได้ง่ายๆ เช่นนี้
แล้วจากนี้ดวงจิตบรรพกาลจะทำอย่างไรต่อเล่า
“เยี่ยมมาก ข้าไม่ได้ประเมินเจ้าสูงไปจริงๆ เดิมทีมารมรรคาก็ไม่ได้จัดเตรียมไว้เพื่อเจ้าอยู่แล้ว แต่เตรียมไว้สำหรับมรรคาสวรรค์ ข้าจะให้เจ้าได้เห็นว่าพลังที่เหนือกว่าฟ้าบุพกาลนั้นแข็งแกร่งเพียงใด!”
ดวงจิตบรรพกาลเหาะสูงขึ้นไป รัศมีที่เดิมทีก็น่าหวาดหวั่นอยู่แล้วยังคงระเบิดออกมาได้อีก!
ห้วงมิติพังถล่ม ห้วงมิติที่อยู่ลึกเข้าไปปรากฏขึ้นมาชั้นแล้วชั้นเล่า
บรรดาสิ่งมีชีวิตที่สังเกตการณ์อยู่ต่างหวาดผวา พากันใช้พลังเวทคุ้มกันรอบกาย ด้วยกลัวว่าจะถูกพลังของห้วงมิติรอบข้างบดขยี้
หานฮวงเงยหน้ามองปฐมยุคประทับนภา ตะลึงอยู่ในใจ
พลังที่เหนือกว่าฟ้าบุพกาลเช่นนั้นหรือ
แข็งแกร่งนัก
รัศมีนี้แกร่งกล้าที่สุดเท่าที่เขาเคยสัมผัสถึง!
เมื่ออยู่ต่อหน้าดวงจิตบรรพกาล เขารู้สึกเหมือนตนเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่แสนอ่อนแอ ไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน
แม้ว่าเขาจะพยายามทำให้จิตแห่งวิญญาณแห่งการต่อสู้ของตนเปี่ยมล้นเต็มที่ แต่ก็ยังคงถูกกดทับจนขยับตัวไม่ได้
ระดับห่างชั้นกันอย่างยิ่ง!
สามารถสะกดข่มสัญชาตญาณแต่กำเนิดได้!
ไม่ใช่แค่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่ในฟ้าบุพกาลแถบนี้เท่านั้น แต่ทั่วทั้งฟ้าบุพกาล สิ่งมีชีวิตในอาณาเขตต่างๆ นับไม่ถ้วนล้วนรับรู้ได้ถึงรัศมีอันน่าหวาดกลัวของดวงจิตบรรพกาล
ทางด้านมรรคาสวรรค์ เหล่าอริยะมารวมตัวในตำหนักเอกภพ ต่างนึกว่าแดนบรรพกาลมาโจมตีแล้ว
จอมอริยะเสวียนตูโบกมือ หินผลึกก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นกลางโถงตำหนัก!
หินผลึกขยายใหญ่ขึ้น ฉายภาพเหตุการณ์ที่เบื้องหน้าผานซิน!
“อริยะสวรรค์เกรียงไกร!”
“อริยะสวรรค์ไปหาดวงจิตบรรพกาลอย่างนั้นหรือ”
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดอริยะสวรรค์ถึงไม่บอกกล่าวพวกเราล่วงหน้า”
“อริยะสวรรค์จริงๆ น่ะหรือ อริยะสวรรค์ไม่ออกจากมรรคาสวรรค์เลยมิใช่หรือ”
“ใช่จริงๆ ในอดีตตอนเขาไปเยือนอาณาเขตปฐมภพก็ส่งร่างแยกไปตลอด แล้วเหตุใดครานี้…”
เหล่าอริยะส่งเสียงวิจารณ์ ทั้งหมดล้วนเป็นกังวลแทนหานเจวี๋ย
เนื่องจากดวงจิตบรรพกาลแข็งแกร่งเกินไป!
รัศมีนั้นทำให้เหล่าอริยะรู้สึกว่าตัวหดเล็กลง ทำให้อริยะเสรีตัวสั่นงันงกได้
ดวงจิตบรรพกาลก้มมองหานเจวี๋ย เอ่ยถากถาง “อริยะสวรรค์เกรียงไกร จะให้เจ้าได้รู้ซึ้งถึงพลังแห่งอำนาจศักดิ์สิทธิ์ก่อนสักหน่อย!”
เขาพลันยกมือขึ้น สูงขึ้นไปเหนือฟ้าบุพกาล กฎเกณฑ์วิถีหนึ่งในบรรดาเจ็ดกฎเกณฑ์สูงสุดแผ่พลังเจิดจ้า พุ่งตกลงมา
ทันใดนั้น ห้วงมิติแตกร้าวเหนือแดนบรรพกาลพลันถูกฉีกกระชากขาดกว้างเป็นโพรงใหญ่โพรงหนึ่ง ลำแสงศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งร่วงดิ่งลงมา พุ่งเป้าไปที่หานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยยื่นฝ่ามือออกไป พลังงานล่องหนไร้รูปทำลายลำแสงศักดิ์สิทธิ์สายนั้นทันที
ฝ่ามือสวรรค์มหาเกรียงไกร!
พลังปฐมยุคของเขาไม่มีผู้ใดมองเห็น ต่อให้เป็นเช่นนี้ การที่ลำแสงสลายหายวับไปกลางอากาศก็ยังคงแสดงให้เห็นถึงพลังอันแสนเผด็จการของเขา
ไม่ว่าจะเป็นพลังอำนาจใดๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาแล้วมีแต่จะเลื่อนลอยมลายไป
สายตาของหานเจวี๋ยมองไปที่ดวงจิตบรรพกาล เอ่ยขึ้นว่า “ข้าเหนื่อยแล้ว ไม่อยากคุยไร้สาระกับเจ้าแล้ว มอบชีวิตมาซะ”
เสียงของเขาแผ่วเบายิ่ง ทว่าเปี่ยมด้วยจิตสังหาร ทำให้ผู้ที่ได้ยินหนาวสะท้านทรวง ราวกับแช่อยู่ในจุดเยือกแข็ง
พอสิ้นเสียงเขา ดวงจิตบรรพกาลพลันเลือนหายไป จากนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นในปฐมยุคประทับนภา
ดวงจิตบรรพกาลตกใจยิ่ง กำลังดิ้นรนเอาตัวรอด
“นี่มันพลังวิเศษอันใด”
ดวงจิตบรรพกาลกู่ร้องใน เขาสำแดงพลังวิเศษออกมาอย่างต่อเนื่อง คิดจะหลบหนีออกไป จนปัญญาที่มีพลังงานไร้รูปลักษณ์บางอย่างเหนี่ยวรั้งกายเนื้อและวิญญาณของเขาไว้ ทำให้เขาหนีออกไปไม่ได้
หานเจวี๋ยผินหน้าไปเล็กน้อย ปรายตามองดวงจิตบรรพกาลที่ถูกจองจำไว้ในปฐมยุคประทับนภาด้านหลัง เขาเอ่ยขึ้นว่า “ดวงจิตบรรพกาล เดิมทีข้าไม่ต้องการเป็นศัตรูกับเจ้าเลย จนใจที่เจ้าต้องการทำลายล้างมรรคาสวรรค์ กรรมใดใครก่อย่อมต้องไปตามทวงกับผู้นั้น พวกเราไม่ไปทวงแค้นกับบรรพชนเต๋า กลับมาพาลใส่ผู้ไร้ความผิด อ้างว่าทำไปเพื่อล้างแค้น แต่กลับต้องการทำลายมรรคาสวรรค์ เข้าครอบครองฟ้าบุพกาลเท่านั้น
“ฝึกบำเพ็ญมาเนิ่นนานหลายยุค จนได้ตบะในวันนี้มา เพื่ออันใดเล่า
“ความแค้นของเจ้า ข้ารับไว้แล้ว
“ดังนั้น เจ้าจงรับความตายไปเสีย!”
………………………………………………………………