บทที่ 941 การกลับมาของบรรพชนเทพ ชะตาของหานเจวี๋ย
บรรพชนเทพปฐมกาล!
อดีตผู้นำดวงจิตมหามรรค!
หานเจวี๋ยรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของเขาจากต้นฝูซัง
บรรพชนเทพปฐมกาลถูกเขาสาปแช่ง อีกทั้งเผชิญการลอบสังหารจากเทพมหาทัณฑ์ เหลือเพียงเสี้ยววิญญาณที่ถูกผนึกไว้ในกฎเกณฑ์สูงสุด หานเจวี๋ยเดาไว้แล้วว่าเขาสามารถฟื้นคืนชีพได้ แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้
ไม่น่าเชื่อว่าคนผู้นี้จะไปหาต้นฝูซัง มิใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน
ต้นฝูซังมีบ่วงกรรมกับหานเจวี๋ย ทำนายถึงได้ง่ายยิ่ง ถึงอย่างไรแต่ก่อนต้นฝูซังก็อยู่ในอาณาเขตเต๋าของหานเจวี๋ยมาโดยตลอด บ่วงกรรมทั้งหมดที่มีล้วนเชื่อมโยงกับเขาทั้งสิ้น
หานเจวี๋ยสังเกตดูต้นฝูซังอย่างละเอียด
บรรพชนเทพปฐมกาลไม่ได้แฝงตัวอยู่ในต้นฝูซัง เพียงแต่มีกลิ่นอายของเขาเจือปนอยู่
หานเจวี๋ยทำนายไม่ได้ว่าบรรพชนเทพปฐมกาลคิดจะทำอะไร จำเป็นต้องใช้งานความสามารถวิวัฒนาการ
‘ข้าอยากรู้ว่าเหตุใดบรรพชนเทพปฐมกาลถึงช่วยเหลือต้นฝูซัง’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยสิบล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
ตอนนี้อายุขัยสิบล้านล้านปีไม่อยู่ในสายตาของหานเจวี๋ยแล้ว อีกอย่าง แม้แต่ตัวตนที่มีค่าตัวถึงร้อยล้านล้านปีอย่างดวงจิตบรรพกาลก็ถูกเขาสังหารมาแล้ว
เจตจำนงจิตรับรู้ของหานเจวี๋ยเข้าสู่ฉากภาพลวงตาวิวัฒนาการ
เขาลืมตาขึ้นแล้วมองออกไป ที่นี่คือห้วงมิติสีขาวโพลนแห่งหนึ่ง นอกจากต้นฝูซังและอีกเงาร่างหนึ่งที่อยู่ใต้ต้นฝูซังก็ไม่มีปรากฏสิ่งมีชีวิตอื่นใดอีก ไม่มีแม้แต่ผืนแผ่นดินด้วยซ้ำ
ต้นฝูซังเอ่ยถาม “ท่านคือผู้ใด”
บรรพชนเทพปฐมกาลมิได้เผยร่างจริง เพียงปรากฏตัวในรูปลักษณ์เงาแสงสายหนึ่ง
บรรพชนเทพปฐมเทพกาลฟังแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้านับว่าเคยเป็นดวงจิตมหามรรคมาก่อน ที่มาหาเจ้าในครานี้เพราะอยากมอบโอกาสให้เจ้า ช่วยเจ้าพิสูจน์มหามรรคแปลงกายให้สำเร็จ อีกทั้งข้าเองก็ต้องการอาศัยเจ้าเพื่อตระหนักเข้าใจในกฎเกณฑ์แห่งกาลเวลาด้วย แน่นอน เรื่องนี้นับว่าเป็นการช่วยสนับสนุนกันทั้งสองฝ่ายเท่านั้น ข้าไม่ได้คิดจะจับเจ้าเป็นไว้เป็นตัวประกันแต่อย่างใด”
ต้นฝูซังเงียบไป
“เจ้าคือหนึ่งในสิบสิ่งอัศจรรย์แห่งมรรคาสวรรค์ ทั้งยังมีมหาโชคบรรพกาลแห่งฟ้าบุพกาลด้วย เดิมทีไม่อาจแปลงกายได้ เนื่องจากเป็นตัวแทนแห่งกฎเกณฑ์ เชื่อมโยงหมื่นโลกาแห่งฟ้าบุพกาล ครอบครองมหาโชคและบ่วงกรรมมหาศาล แต่เพราะการปรากฏขึ้นของบุคคลหนึ่งเจ้าถึงบังเกิดวิญญาณและปัญญาขึ้นมา ย่อมแบกรับราคาที่แลกเปลี่ยนไปมหาศาลแล้ว หากเจ้าคิดจะพึ่งพาตัวเองเพื่อก้าวหน้าหลุดพ้น เช่นนั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลย อีกอย่างการมีอยู่ของเจ้าก็ดึงดูดจิตใจละโมบของผู้ทรงพลังมากมาย”
“เจ้าจำเป็นต้องมีที่พึ่ง”
บรรพชนเทพปฐมกาลเอ่ยอย่างเรื่อยเฉื่อย น้ำเสียงสบายๆ
ต้นฝูซังชบาใคร่ครวญพลางตอบว่า “ข้ามีที่พึ่งอยู่แล้ว”
บรรชนเทพปฐมกาลกล่าวว่า “ข้าทราบดี หากจะว่ากันไปแล้วข้ายังมีนัดหมายต่อสู้กับเขาอยู่ด้วย จนใจที่ถูกคนต่ำช้าลอบเล่นงาน หลายปีมานี้ข้าจับตามองฟ้าบุพกาลมาตลอด มองทะลุเรื่องราวมากมายยิ่ง ข้ามิใช่คู่ต่อสู้ของที่พึ่งแห่งเจ้าเลย แต่ที่พึ่งของเจ้าก็ยังไม่แน่ว่าจะให้ความสนใจเจ้าตลอด ข้าบอกเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างข้าและเขาให้เจ้าฟังก็มากพอที่จะแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของข้าแล้ว”
“หากข้าคิดจะอาศัยเจ้าเพื่อวางแผนเล่นงานเขา คงปกปิดอำพรางเผยให้ทราบเพียงผลประโยชน์ ทำให้เจ้าหวั่นไหวก็พอแล้ว แต่ข้าจำเป็นต้องพึ่งเจ้า เจ้าก็จำเป็นต้องพึ่งข้าเช่นกัน ในฟ้าบุพกาลไม่มีผู้ใดรู้ดีไปกว่าข้าแล้วว่าตัวตนของเจ้าสื่อถึงสิ่งใด แล้วจะช่วยให้เจ้าเติบโตได้อย่างไร”
ต้นฝูซังเอ่ยถาม “หลังจากนั้นเล่า”’
บรรพชนเทพปฐมกาลกล่าวว่า “รอจนเจ้าพิสูจน์มหามรรคแปลงกายสำเร็จ ข้าก็ตระหนักเข้าใจในหลักเหตุผลแห่งมหามรรคกาลเวลาแล้ว วันหน้าข้าและเจ้าจะไม่เกี่ยวข้องกันอีก อีกทั้งข้าก็ไม่ต้องการให้เจ้าตอบแทนอะไรเช่นกัน เดิมทีก็เป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันเท่านั้น” 艾琳小說
ต้นฝูซังตกอยู่ในความเงียบ
ผ่านไปสักพัก ต้นฝูซังเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ตกลง!”
ฉากภาพลวงตาวิวัฒนาการสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น เขาสะเทือนใจอย่างยิ่ง
เขาไม่รู้สึกขัดแย้งในการเลือกของต้นฝูซัวังเลย หากเปลี่ยนเป็นเขาก็คงอยากแปลงกายเช่นกัน
ส่วนบรรพชนเทพปฐมกาล เขาอยากรอดูต่อไปอีกสักหน่อย
ถึงอย่างไรศัตรูของบรรพชนเทพปฐมกาลก็คือเทพมหาทัณฑ์และเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ
มองจากปัจจุบันนี้ บรรพชนเทพปฐมกาลไร้กำลังจะกลับมาเรืองอำนาจได้ชั่วคราว
หานเจวี๋ยทอดสายตาไปยังบานประตูแห่งมหามรรคอีกครั้ง เจตจำนงของต้นฝูซังแปลงกายเป็นสตรีร่างแน่งน้อยนางหนึ่ง กำลังอาศัยพลังเวทของตนผลักเปิดประตูแห่งมหามรรคอยู่
เวลานี้ด้านหลังบานประตูมหามรรคมีผู้ทรงพลังหลายคนมาคอยท่าแล้ว กำลังพูดคุยกันถึงประวัติที่มาของต้นฝูซังอยู่
หานฮวงก็อยู่ด้วยเช่นกัน
ทุกครั้งที่เด็กคนนี้สังเกตเห็นว่ามีอริยะมหามรรคคนใหม่ถือกำเนิดขึ้น จะมาร่วมวงชมเรื่องครื้นเครงเสมอ ไม่้ยินยอมให้อริยะมหามรรคคนอื่นๆ สะกดข่มชนรุ่นหลัง ด้วยเหตุนี้จึงได้รับชื่อเสียงจากเรื่องนี้ ได้รับความนับถือจากชนรุ่นหลัง
ทุกๆ หนึ่งแสนปีล้วนจะมีตัวตนเลิศล้ำน่าตื่นตะลึงปรากฏตัวขึ้นเสมอ ในสายตาของสรรพสิ่งหานฮวงมิใช่บุตรแห่งสวรรค์อีกต่อไป แต่เป็นผู้ทรงพลังเลื่องชื่อทรงอำนาจในด้านหนึ่งแล้ว
แต่แน่นอนว่าในสายตาของตัวตนระดับหานเจวี๋ยแล้ว หานฮวงยังคงเป็นบุตรแห่งสวรรค์อยู่
คำนิยามของบุตรแห่งสวรรค์ไม่เคยมีขีดจำกัดอยู่แล้ว
หานฮวงจงใจแสดงความน่าเกรงขามของตนออกมาทำให้หานเจวี๋ยสบายใจยิ่งนัก
มีหานฮวงอยู่ หานเจวี๋ยก็ไม่จำเป็นต้องออกปากอีก ต้นฝูซังน่าจะแปลงกายได้สำเร็จ
หลายชั่วยามต่อมา ต้นฝูซังทะลวงสู่ระดับมหามรรคได้สำเร็จ หลังจากเจตจำนงของนางผ่านประตูมหามรรคเข้าไปก็มองเห็นอริยะมหามรรคกลุ่มหนึ่ง
พอมองเห็นหานฮวง นางก็อดตะลึงไม่ได้ ประหม่าลนลานขึ้นมาในทันใด รีบทำความเคารพแล้วเอ่ยว่า “น้อมพบนายท่าน!”
พอนางเอ่ยประโยคนี้ออกมา ผู้ทรงพลังทั้งหมดมองไปที่หานฮวง
อริยะมหามรรครายหนึ่งเอ่ยหยอกล้อ “แม่ทัพเทพหานร้ายกาจจริงๆ ได้ตัวชนรุ่นหลังไปอีกคนแล้วหรือ ซ้ำยังงดงามถึงเพียงนี้อีก วาสนาดีโดยแท้”
หานฮวงไม่รู้จักต้นฝูซัง แต่เขาฉลาดมาก เอ่ยถามออกไป “เจ้าเอ่ยถึงท่านพ่อหานเจวี๋ยของข้าอยู่กระมัง”
เหล่าอริยะมหามรรคมีสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที ไม่กล้าเอ่ยล้อเล่นอีก
เรื่องเกี่ยวพันไปถึงอริยะสวรรค์เกรียงไกร พวกเขาย่อมทราบดีว่าเรื่องใดควรพูดเรื่องใดไม่ควรพูด แม้แต่สายตาที่ใช้มองต้นฝูซังก็เจือความให้เกียรติขึ้นมา
ก่อนหน้านี้ต้นฝูซังเคยได้ฟังเรื่องเล่าขานถึงหานเจวี๋ยมาก่อน แต่ไม่ทราบว่าหานเจวี๋ยมีตำแหน่งเช่นไรในฟ้าบุพกาล เพียงแต่นางสามารถเป็นคนรับรู้จากท่าทางและคำพูดได้ มองออกถึงความคิดของผู้ทรงพลังเหล่านี้
ต้นฝูซังพินิจดูหานฮวง เอ่ยด้วยความสะท้อนใจว่า “สมกับที่เป็นบุตรชายของนายท่าน เป็นยอดคนทรงความสามารถคนหนึ่งจริงๆ เหมือนนายท่านเหลือเกิน เจ้ามีนามว่าอย่างไร”
“ข้ามีนามว่าหานฮวง”
หานฮวงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม อดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดอยู่ในใจ
เรียกนายท่าน มิใช่อาจารย์
เช่นนั้นก็ต้องพิจารณาถึงความสัมพันธ์ให้ดีแล้ว อู้เต้าเจี้ยนก็เรียกท่านพ่อของเขาว่านายท่านเช่นกัน แต่ในความเป็นจริงคือแม่เล็กของเขา
หานฮวงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ทุกท่านแยกย้ายกันไปเถิด พวกเราจะคุยกันเป็นการส่วนตัวในครอบครัว”
เหล่าอริยะมหามรรคไม่กล้าปฏิเสธ ต่างพากันแสดงไมตรีแล้วค่อยแยกย้ายไป
ในใจพวกเขานึกเสียดายอยู่บ้าง
นอกจากจะมาเพื่อข่มชนรุ่นหลังแล้ว ก็ยังมาที่เพื่อชักจูงชนรุ่นหลังเข้าพวกด้วย
โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าหานฮวงได้ตัวบุตรแห่งสวรรค์ไปเข้าร่วมกับวังสวรรค์ไม่น้อย พวกเขาย่อมเกิดความคิดนี้ขึ้นมาเช่นกัน
หานเจวี๋ยเห็นว่าต้นฝูซังได้ทำความรู้จักกับหานฮวงแล้ว จึงวางใจในทันใด
เขาทอดสายตามองไปยังบรรพชนเทพปฐมกาล
บรรพชนเทพปฐมกาลไม่ได้อยู่ในดินแดนของต้นฝูซัง มีเพียงกลิ่นอายที่คงเหลือไว้
ร่างจริงของต้นฝูซังยังอยู่ระหว่างแปลงกาย หานเจวี๋ยใช้พลังปฐมยุคปิดกั้นอาณาเขตที่ร่างจริงของต้นฝูซังอยู่ นอกจากทำไปเพื่อปกป้องต้นฝูซังแล้ว ก็มีเจตนาจะประกาศเตือนเหล่าผู้ทรงพลังฟ้าบุพกาลด้วย
ต้นไม้เทพนี้อยู่ในความคุ้มครองของอริยะสวรรค์เกรียงไกร!
หานเจวี๋ยถ่ายทอดเสียงหาเทพมหาทัณฑ์ เผยให้ทราบว่าบรรพชนเทพปฐมกาลกำลังจะคืนชีพ
ให้เทพมหาทัณฑ์ไปจัดการกับบรรพชนเทพปฐมกาลก็พอแล้ว
ตอนนี้หานเจวี๋ยไม่จำเป็นต้องลงไปจัดการด้วยตัวเองอีกและบรรพชนเทพปฐมกาลก็มิไม่คู่ควรจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาด้วย
ทอดสายตามองไปทั่วฟ้าบุพกาลแล้วยังจะมีผู้ใดคู่ควรพอต่อกรกับเขาได้อีกเล่า!
นอกเสียจากผู้สร้างมรรคานอกฟ้าบุพกาล!
หานเจวี๋ยคิดด้วยความภูมิใจ ลำพองตัวอย่างยิ่ง
ช้าก่อน
จะคิดเช่นนี้ไม่ได้
ในอดีตบรรพชนเทพปฐมกาลและดวงจิตบรรพกาลก็เคยทะนงตนว่าไร้พ่ายเช่นกัน ผลคือถูกเขาจัดการ
สีหน้าของหานเจวี๋ยเคร่งขรึมขึ้นมา
‘ข้าอยากรู้ว่าในอนาคตจะมีตัวตนที่สามารถคุกคามข้าได้ปรากฏขึ้นในงานชุมนุมฟ้าบุพกาลหรือไม่’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยร้อยล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
………………………………………………………………