บทที่ 957 การกลับมาของเจตจำนงฟ้าบุพกาล
หานเจวี๋ยเริ่มใคร่ครวญถึงปัญหาข้อหนึ่งขึ้นมา จะส่งเหล่าเทพมารฟ้าบุพกาลทั้งห้าสิบสามคนในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สองเข้าไปในโลกอนธการดีหรือไม่ ให้ช่วยรวมโลกอนธการเป็นหนึ่งเดียวกันให้เขา
แต่พอคิดๆ ดูอีก ไม่เอาดีกว่า
เขามีอำนาจควบคุมโลกอนธการอย่างเด็ดขาด แต่เทพมารฟ้าบุพกาลทั้งห้าสิบสามตนถึงอย่างไรก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดเติบโตขึ้นในมรรคาสวรรค์ บ่วงกรรมเหล่านั้นยากจะตัดขาดได้ ไม่อาจรับประกันได้ว่าวันหน้าพวกเขาจะไม่กลายเป็นจุดอ่อนหรือช่องโหว่ของโลกอนธการ
แล้วไปเถิด
ไม่ควรใส่ไข่รวมไว้ในตะกร้าใบเดียวกัน
เมื่อเวลาผันผ่านนานไป คนอาจจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน อีกอย่างเขาไม่ควรเผยไพ่ตายทั้งหมดของตนออกมา
หานเจวี๋ยคิดเช่นนี้
เขาต้องการให้เหล่าศิษย์และลูกหลานไม่ทราบถึงอำนาจทั้งหมดที่เขาถือครองอยู่
แม้แต่คนใกล้ชิดที่สุดยังไม่ทราบทั้งสิ้น ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงคนนอกเลย
เมื่อหานเจวี๋ยสอดส่องโลกอนธการเสร็จสิ้นก็เคลื่อนย้ายไปที่อาณาเขตเต๋าหลัก
เขาไม่ได้ให้ความสนใจมรรคาสวรรค์มานานมากแล้ว สมควรจะสอดส่องดูบ้าง
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ปกป้องมรรคาสวรรค์มาหลายต่อหลายครั้ง เขาเห็นมรรคาสวรรค์อยู่ในการดูแลของตนแล้ว
นี่คืออาณาเขตของเขา จึงจำเป็นต้องสอดส่องกันบ้าง!
ในช่วงที่หานเจวี๋ยปิดด่าน มรรคาสวรรค์มีอริยะมรรคาสวรรค์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อริยะเสรีในท้องถิ่นก็มีเกินสิบคนแล้ว อาณาเขตมรรคาสวรรค์ขยายตัวออกไปเป็นเท่าตัว แดนเซียนก็เกิดความเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฟ้าพลิกดินเช่นกัน
หานเจวี๋ยพอใจมาก การที่ในอดีตเขาไว้ชีวิตเหล่าอริยะนับเป็นเรื่องถูกต้องแล้ว
หากเปลี่ยนให้เขาไปบริหารจัดการมรรคาสวรรค์ คงยากจะทำให้เจริญขนาดนี้ได้
เขาเหมาะจะเป็นเสาหลักให้เท่านั้น ไม่เหมาะจะดูแลจัดการสรรพสิ่ง
มีผู้บำเพ็ญมรรคาสวรรค์มุ่งหน้าออกสู่ฟ้าบุพกาลเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ขยายดวงชะตาและบ่วงกรรมแห่งมรรคาสวรรค์ออกไปในฟ้าบุพกาลอันกว้างใหญ่ไพศาลอย่างต่อเนื่อง
มีผู้อาวุโสจากไป แต่ก็มีหน้าใหม่ผงาดขึ้นมาในมรรคาสวรรค์เช่นกัน ผงาดขึ้นมารุ่นแล้วรุ่นเล่า นับว่าสถานการณ์ในปัจจุบันนี้พัฒนาไปอย่างมั่นคงนัก
ภายในมรรคาสวรรค์ก็ไม่นับว่าปกครองกันอย่างสันติสุขโดยสมบูรณ์ ดังนั้นจึงมักจะมีสำนักนิกายหรือราชวงศ์ต่างๆ ต่อสู้ห้ำหั่นกันเองอยู่เสมอ แต่รูปการณ์นี้กลับทำให้มรรคาสวรรค์รักษาความมั่นคงไว้ได้ หยินหยางสอดคล้องกัน เทพเซียนมีสิทธิ์จัดการอย่างชอบธรรม ยมโลกมีงานให้ทำ ความเคียดแค้นชิงชังไม่ได้ถูกกดทับไว้ ถึงแม้แรงกรรมจะเพิ่มขึ้น ทว่าไม่ปรากฏเค้าลางว่าจะเกิดมหาเคราะห์เลย
เวลาผ่านไปหลายชั่วยาม หานเจวี๋ยถึงได้จากมา กลับมายังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม
เขาเรียกสิงหงเสวียนมาหา
“ท่านพี่คะนึงถึงข้าหรือ”
สิงหงเสวียนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
หานเจวี๋ยยิ้มแล้วตอบไปว่า “ถูกต้อง”
สิงหงเสวียนรู้สึกเบิกบานขึ้นมาทันที โผตัวเข้าหาอ้อมอกของหานเจวี๋ย
ขณะที่นางกำลังจะดำเนินการขั้นต่อไป หานเจวี๋ยเอ่ยขึ้นว่า “ข้าวางแผนว่าจะขยายตระกูลหาน เจ้าคิดเห็นเช่นไร”
สิงหงเสวียนตะลึงไป ถามด้วยความแปลกใจ “ท่านต้องการมีบุตรธิดาหรือลูกหลานรุ่นหลัง”
หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ “ได้ทั้งนั้น ข้าวางแผนว่าทุกๆ สิบล้านปีจะให้กำเนิดบุตรหนึ่งคน”
สิงหงเสวียนเอ่ยอย่างใช้ความคิด “เช่นนั้นก็ถึงตาของเซวียนฉิงจวินแล้วกระมัง นางรอคอยมานานเหลือเกิน”
“เจ้ายินยอมหรือ”
“ย่อมยินยอมแน่นอน ได้รับใช้ดูแลท่านพี่เป็นโชคอันยิ่งใหญ่ของข้า ข้าไหนเลยจะยึดท่านพี่ไว้คนเดียวได้”
สิงหงเสวียนส่ายหน้าพลางกล่าวออกไป นางกระจ่างในเรื่องหนึ่งดี ชมชอบไม่จำเป็นต้องครอบครองไว้คนเดียว
หากมิใช่เพราะหานเจวี๋ย นางคงเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง หานเจวี๋ยยอมครองคู่กับนางชั่วชีวิต ไหนเลยจะหาคนดีเช่นนี้ได้อีก สำหรับหานเจวี๋ยแล้วสตรีมิใช่สิ่งสำคัญที่สุดหรือเป็นเรื่องที่ใส่ใจที่สุด ดังนั้นนางจึงไม่กล้าละโมบครอบครองหานเจวี๋ยไว้คนเดียว
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “รอจนฮวงเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์กลับมาแล้ว เจ้าช่วยกล่อมพวกเขาด้วยเล่า ถึงวัยที่สมควรมีครอบครัวก็ควรสร้างครอบครัวได้แล้ว”
สิงหงเสวียนพยักหน้ารับ เอ่ยไปว่า “ฮวงเอ๋อร์ยังพอว่า ถึงอย่างไรก็เป็นบุรุษ ทว่าชิงเอ๋อร์เป็นสตรี จะให้ตัดสินใจเองได้หรือ นางเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของท่าน เรื่องวิวาห์ของนางจะต้องระมัดระวังรอบคอบ ไม่อาจตัดสินส่งเดชได้”
หานเจวี๋ยเริ่มใคร่ครวญตาม
เป็นเช่นนี้จริงๆ
บุตรีหัวแก้วหัวแหวนของอริยะสวรรค์เกรียงไกรไหนเลยจะแต่งออกไปส่งๆ ได้
อีกทั้งทอดสายตาไปทั่วฟ้าบุพกาลนี้จะมีสักกี่คนที่เข้าตาเขา
หรือจะคัดเลือกจากเหล่าศิษย์ดี
ช่างเถิด ยังต้องรอดูความเห็นของบุตรสาวก่อน หากว่านางไม่ใส่ใจเรื่องนี้ จะไม่ออกเรือนก็ได้ ถึงอย่างไรก็มีบุตรชายไว้คอยสืบสายเลือดแล้ว
หลายวันต่อมา
สิงหงเสวียนจากไปอย่างอิ่มเอมใจ
หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญต่อไป
ถึงแม้ไม่ทราบแน่ชัดว่าเจตจำนงฟ้าบุพกาลจะปรากฏตัวขึ้นตอนไหน แต่สิ่งที่ทำได้ก็คือฝึกบำเพ็ญต่อไป
เพิ่มพูนความแข็งแกร่งขึ้นเท่าที่จะทำได้!
….
นภาฉาบเมฆาชาด มวลเมฆเรียงซ้อนชั้น ท้องทะเลกว้างไกลไร้ขอบเขตคลื่นสมุทรซัดสาด ระลอกคลื่นงดงาม
เทวีตราวินัยยืนตระหง่านอยู่สุดฟากท้องทะเล สูงใหญ่ดุจมหาบรรพต ดวงตะวันที่อยู่ด้านหลังส่องแสงไปไกลนับหมื่นจั้ง
เงาร่างหนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าเทวีตราวินัย เป็นเหล่าจื่อ
เหล่าจื่อขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม “ท่านรับรู้ได้แล้วกระมัง”
เทวีตราวินัยตอบว่า “ย่อมเป็นไปตามธรรมชาติ”
“นั่นคือพลังใดกันแน่”
“กฎเกณฑ์สูงสุด”
“เช่นนั้นเหตุใดถึงส่งผลกระทบต่อยอดมหามรรคด้วย ขนาดข้ายังเป็นเช่นนี้ แล้วสรรพสิ่ง…”
เหล่าจื่อพลันหรี่ตาลง เอ่ยถาม “ตอนนั้นท่านอาจารย์ของข้าก็ถูกพลังนี้เล่นงานหรือ”
เทวีตราวินัยตอบว่า “เว้นเพียงแต่เขา”
เหล่าจื่อหน้าเปลี่ยนสี
เทวีตราวินัยถอนหายใจเอ่ยไปว่า “สหายเต๋าหลี่บรรลุถึงจุดสูงสุดของมหามรรคแล้ว นับว่าหลุดพ้นจากฟ้าบุพกาล เจ้าน่าจะเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างผู้ที่ปฏิบัติตามวิถีและผู้ที่ขัดต่อวิถีดี กลับไปฝึกบำเพ็ญให้ดีเถิด สงบใจรับการชี้นำจากมรรคจิต”
เหล่าจื่อเอ่ยถาม “ตอนนั้นท่านอาจารย์ของข้าเคยเผชิญการปิดล้อมโจมตีจากฟ้าบุพกาล ถึงแม้จะใช้พลังวิเศษสะกดปราบปรามไว้ได้ แต่นับจากนั้นมามรรคาสวรรค์ก็ไม่มีการพัฒนาอีกเลย เป็นเพราะท่านอาจารย์ข้ายอมรอมชอมอย่างนั้นหรือ”
เทวีตราวินัยไม่ตอบเขา
เหล่าจื่อซักถามต่อไป “แล้วครั้งนี้เป็นคราวของผู้ใดเล่า อริยะสวรรค์เกรียงไกร เทพมหาทัณฑ์ เจ้าแดนต้องห้ามอันธการหรือว่าเจ้าชะตากันแน่”
เทวีตราวินัยยังคงไม่ตอบโต้
เหล่าจื่อเข้าใจอะไรขึ้นมาแล้ว ยกมือคำนับจากนั้นก็เลือนหายไป
เทวีตราวินัยไม่ขยับเขยื้อน ดูราวกับรูปสลักที่ตั้งอยู่เหนือท้องทะเล เก่าแก่และยิ่งใหญ่
ภายในโลกตราวินัยไม่มียามราตรี แม้ท้องนภาจะเปลี่ยนสีสันไปบ้างแต่ยังคงเป็นช่วงทิวาเสมอ
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเพียง
เทวีตราวินัยค่อยๆ ยกมือขวาขึ้นมา เมื่อนางชูมือขวาขึ้น คลื่นยักษ์ลูกหนึ่งพลันพุ่งโถมขึ้นมาจากท้องทะเล พุ่งขึ้นสู่ท้องนภา
คลื่นยักษ์พลันระเบิดกระจายออก กลายเป็นสายพิรุณโปรยปรายปกคลุมไปทั่วโลกตราวินัย สายฝนซัดโถม มีฟ้าแลบปรากฏเป็นระยะ ราวกับพายุฝนกำลังมาเยือน
แม้ว่าคลื่นพายุจะซัดสาดใส่ร่างเช่นไร เทวีตราวินัยก็ยังคงไม่ขยับเขยื้อน
….
เหนือฟ้าบุพกาล เจ็ดกฎเกณฑ์สูงสุดเริ่มผสานรวมกันอย่างเชื่องช้า เคลื่อนไหวช้ายิ่งจนดูเหมือนแทบจะไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เลย
ทั่วทั้งฟ้าบุพกาลนอกจากผู้ทรงพลังจำนวนหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเรื่องอีก
บนดาวเคราะห์รกร้างดวงหนึ่ง หวงจุนเทียนนั่งสมาธิบำเพ็ญอยู่ในหลุมใหญ่แห่งหนึ่ง มีเศษศิลาสีดำนับไม่ถ้วนล่องลอยอยู่รอบกาย
จู่ๆ เขาก็ลืมตาขึ้น ลวดลายสีดำแปลกประหลาดสายแล้วสายเล่าผุดขึ้นมาบนหน้าผาก
เขาขมวดคิ้วแน่น เอ่ยพึมพำ “เกิดอะไรขึ้น พลังแห่งอำนาจศักดิ์สิทธิ์…”
แสงสีดำสายหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากดวงตาของเขา ตัวเขาเริ่มสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ราวกับร่างกำลังจะระเบิด
ผ่านไปสักพักหนึ่ง
หวงจุนเทียนสงบลง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา สายตาจ้องมองไปในส่วนลึกของจักรวาล เอ่ยกับตัวเองว่า “อริยะสวรรค์เกรียงไกร เจ้าทำร้ายข้าอย่างน่าอนาถนัก!”
เขาผุดลุกขึ้นมา เศษศิลาสีดำที่อยู่รอบกายพลันหายวับไปพร้อมกับตัวเขา
ในเวลาเดียวกันนี้
มรรคาสวรรค์ ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม ภายในตำหนักหลังหนึ่ง
ประตูใหญ่พลันเปิดออก!
พลังน่าหวาดหวั่นสายหนึ่งระเบิดออกมา!
มองเห็นเงาร่างหนึ่งค่อยๆ เดินออกมา เป็นชิงเทียนเสวียนจีนั่นเอง
สีหน้าชิงเทียนเสวียนจีเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ไอสังหารพวยพุ่งสุดขีด เขามองไปยังแดนเซียนที่อยู่เบื้องล่าง เอ่ยเสียงเข้ม “อริยะสวรรค์เกรียงไกร เจ้าตัดบ่วงกรรมของข้า ข้าจะกำจัดเจ้าให้ได้!”
หากเปลี่ยนเป็นในอดีต จะต้องรบกวนไปถึงอริยะคนอื่นๆ แน่ แต่ครั้งนี้กลับไม่มีอริยะคนใดออกมาเลย
ชั้นฟ้าที่สามสิบตกอยู่ในความเงียบงันอันน่าประหลาด
………………………………………………………………