บทที่ 962 การร่วมมือจากอดีตถึงอนาคต ขอขมาด้วยเรื่องใด
แค่นี้เองหรือ
ทำเอาผู้เฒ่าตกใจหมด!
หานเจวี๋ยสถบอยู่ในใจ
เมื่อครู่ตอนเห็นค่าตัวหนึ่งแสนล้านล้านปี จิตใจเขาสั่นไหวจริงๆ
ยังมีอีก เทวีตราวินัย เจ้ามันสุนัขร้ายโดยแท้!
ต่อหน้าทำมาเป็นหวังดีกับข้า ลับหลังกลับสร้างปัญหาให้เช่นนั้นหรือ
หานเจวี๋ยนึกโมโหอยู่ในใจ มีโอกาสจะต้องกำจัดนางทิ้งเสีย
เขาไม่คิดมากอีก ฝึกบำเพ็ญต่อไป ถึงอย่างไรก็มีร่างแยกคอยจัดการเรื่องราวภายนอกอยู่
ในช่วงเวลานี้ ปรมาจารย์ฟ้าทลายก็เรียนรู้วิธีทำลายล้างสรรพสิ่งแล้ว พร้อมสร้างความประหลาดใจให้ฟ้าบุพได้ตลอดเวลา
หานเจวี๋ยกำลังรอคอยอยู่
รอคอยโอกาสที่จะเผชิญหน้ากับเจตจำนงฟ้าบุพกาล!
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่รีบร้อนอยู่แล้ว อีกทั้งตอนนี้ก็มีคนมาหาเรื่องเขาน้อยลงไปเรื่อยๆ พอดี มรรคาสวรรค์ก็กลับมาสงบสุขอีกครั้งแล้วเช่นกัน
แม้สรรพสิ่งจะเกลียดชังหานเจวี๋ย แต่เมื่อหาเรื่องหานเจวี๋ยไม่ได้ก็ย่อมเลิกราไปเอง
ศิษย์นับร้อยล้านในอาณาเขตเต๋าหลักออกไปไม่ได้ ทำได้เพียงข่มกลั้นอารมณ์ไว้แล้วเริ่มฝึกบำเพ็ญ
ส่วนอาณาเขตเต๋าแห่งที่สามนั้นกลับสงบสุขอย่างยิ่ง
….
เหนือฟ้าบุพกาล ด้านล่างเจ็ดกฎเกณฑ์สูงสุด
เทวีตราวินัยนิ่งงัน แหงนหน้ามองเจ็ดกฎเกณฑ์สูงสุด ดวงจิตมหามรรคทยอยปรากฏตัวขึ้น ในบรรดานั้นรวมห้าเทวทัณฑ์ด้วย
“เฮอะ ท่านเทพหวาดกลัวอริยะสวรรค์เกรียงไกร หน้าที่ปกป้องฟ้าบุพกาลคงพึ่งพาได้เพียงพวกเราแล้ว!”
ดวงจิตมหามรรครายหนึ่งแค่นเสียงเอ่ย ดวงจิตที่เหลือพยักหน้ารับ
พวกเขาล้วนเคยชินกันไปแล้ว ก่อนหน้านี้ที่เผชิญหน้ากับดวงจิตบรรพกาลและอริยะสวรรค์เกรียงไกร เทพมหาทัณฑ์ล้วนยอมลงให้ทั้งสิ้น
ถึงแม้เทพมหาทัณฑ์จะนำความสงบสุขมาให้ฟ้าบุพกาล แต่เหล่าดวงจิตต่างคิดว่าเขายังสู้บรรพชนเทพปฐมกาลไม่ได้
ในอดีตบรรพชนเทพปฐมกาลเผด็จการถึงเพียงใดกันเล่า ไม่ยอมให้มีสิ่งใดระคายสายตาเลย ไหนเลยจะไม่ได้เรื่องเหมือนเทพมหาทัณฑ์
เทวีตราวินัยไม่สนใจเหล่าดวงจิตที่ห้อมล้อมอยู่ เริ่มร่ายเวท วารีสีเงินยวงหยดหนึ่งลอยออกไปจากฝ่ามือนาง ขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว ผสานเจ็ดกฎเกณฑ์สูงสุดเข้าไว้ด้วย
สายตาที่หานทั่วมองเทวีตราวินัยเต็มไปด้วยความลุ่มลึก
‘ดวงจิตยุคโบราณท่านนี้ลึกล้ำเกินหยั่งจริงๆ ที่แท้นางมีบทบาทอย่างไรกันแน่’
หานเจวี๋ยสงสัยอยู่ในใจ ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น เทวทัณฑ์คนอื่นๆ ก็สงสัยมากเช่นกัน
กลับเป็นดวงจิตรุ่นอาวุโสที่เคยชินกันหมดแล้ว
ดวงจิตที่ควบคุมระเบียบวินัยได้ ไหนเลยจะใช่ดวงจิตธรรมดา
จู่ๆ อี๋เทียนพลันเอ่ยเตือนว่า “เทวี ท่านอย่าได้เชิญอริยะสวรรค์เกรียงไกรในอนาคตมาด้วยเล่า!”
ประโยคนี้ของเขาทำให้เหล่าดวงจิตกระวนกระวายขึ้นมาทันที
อริยะสวรรค์เกรียงไกรคนเดียวก็ทำให้พวกเขาสิ้นหวังมากพอแล้ว หากมีเพิ่มมาอีก…
“วางใจเถอะ เราได้ตัดอริยะสวรรค์เกรียงไกรออกไปแล้ว”
เทวีตราวินัยตอบกลับ น้ำเสียงราบเรียบ
เหล่าดวงจิตเริ่มตั้งตารอแล้ว ขณะเดียวกันก็เฝ้าระวังเผื่ออริยะสวรรค์เกรียงไกรจะมาโจมตี
เวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หนึ่งพันปีผ่านไปเร็วยิ่ง
เทวีตราวินัยพลันชักมือกลับ วารีสีเงินยวงที่ครอบคลุมเจ็ดกฎเกณฑ์สูงสุดอยู่พลันระเบิดกระจายตัว แสงศักดิ์สิทธิ์เจ็ดสีสาดส่องห้วงอวกาศ มหามรรคสามพันวิถีเปลี่ยนสีสันไป
ดวงจิตทั้งหมดมองขึ้นไป เจ็ดกฎเกณฑ์สูงสุดผสานรวมเป็นกฎเกณฑ์เจ็ดสีสายหนึ่ง บิดตัวไปมาราวกับมังกร รัศมีอันยิ่งใหญ่ที่แผ่ออกมานั้นทำให้เหล่าดวงจิตบังเกิดความยำเกรงขึ้นในใจ
“ตัวข้าเทวีตราวินัยขอวอนให้อำนาจศักดิ์สิทธิ์ฟ้าบุพกาลเปิดเส้นทางแห่งอนาคต เพื่อช่วยคลายทุกข์ภัยให้โลกนี้ด้วยเถิด!”
เสียงของเทวีตราวินัยแว่วดังขึ้นมา ศักดิ์สิทธิ์ทรงอำนาจ
อำนาจศักดิ์สิทธิ์สั่นสะท้านอย่างรุนแรง แสงเจ็ดสีเข้มข้นยิ่งขึ้น
ดวงจิตทั้งหมดรอคอยด้วยความประหม่า
นี่คือความหวังเพียงหนึ่งเดียวของฟ้าบุพกาล
อารมณ์ของหานทั่วกลับซับซ้อนขึ้นมา หากเป็นไปตามที่เทวีตราวินัยว่ามาจริงๆ บิดาของเขาต้องถึงแก่ความตายแน่นอน
ความทรงจำในหัวทำให้เขาชิงชังบิดา แต่เมื่อนึกถึงว่านั่นคือบิดาบังเกิดเกล้าของตน เขาก็เป็นทุกข์อย่างยิ่ง
อี๋เทียนตบไหล่เขาเบาๆ ส่งยิ้มให้เขาราวกับจะบอกว่าน้องชาย เจ้ายังมีข้าอยู่
ความกดดันในใจของหานทั่วลดลงไปทันที
แสงศักดิ์สิทธิ์เจ็ดสีเริ่มรวมตัวกันถักทอเป็นตาข่ายนภาใหญ่มหึมาผืนหนึ่ง สะท้อนฉากเหตุการณ์นับไม่ถ้วน เรียงรายแน่นขนัด สับเปลี่ยนหมุนเวียนไปรวดเร็วอย่างยิ่ง แม้แต่เหล่าดวงจิตมหามรรคก็ยังมองจนตาลายไปหมด
ผ่านไปนาน
มีเงาร่างปรากฏขึ้นในตาข่ายแสงศักดิ์สิทธิ์เจ็ดสีร่างแล้วร่างเล่า แต่ละคนแผ่รัศมีท่วมนภา เลิศล้ำทรงพลัง
เงาร่างที่ปรากฏขึ้นเป็นกลุ่มแรก ทั้งหมดล้วนเป็นอริยะมหามรรค มียอดมหามรรครวมอยู่เจ็ดราย มีจำนวนทั้งหมดหนึ่งร้อยเจ็ดสิบราย!
พวกเขาเพิ่งจะกระโจนออกมาจากตาข่ายนภา ภายในตาข่ายก็เริ่มก่อตัวปรากฏเงาร่างขึ้นมาอีกครั้ง
เงาร่างกลุ่มที่สอง ระดับอ่อนแอที่สุดเป็นอริยะมหามรรคเช่นเดิม มียอดมหามรรครวมอยู่สิบแปดคน จำนวนทั้งหมดหนึ่งร้อยเก้าสิบเก้าคน!
เหล่าดวงจิตมหามรรคสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายน่าหวาดหวั่นที่โผล่มาจากด้านหน้าอย่างต่อเนื่อง ต่างรู้สึกปรีดาอย่างบ้าคลั่ง
ฟ้าบุพกาลมีทางรอดแล้ว!
เทวีตราวินัยเริ่มต้อนรับผู้ทรงพลังในอนาคตสองกลุ่มแรกที่มาถึง ในเวลาเดียวกันนี้ ในตาข่ายนภามีเงาร่างของผู้ทรงพลังกลุ่มที่สามกำลังก่อตัวขึ้น
ร่างแยกของหานเจวี๋ยที่อยู่ในอาณาเขตปฐมภพก็รับรู้ได้เช่นกัน
เขาเลิกคิ้ว เอ่ยพึมพำ “วิธีนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ”
อนาคตอันเลิศล้ำเป็นอย่างไร เขายังสัมผัสไม่ได้
เนื่องจากเขาตัดขาดจากอดีตและอนาคตแล้ว นอกจากภาพลวงตาวิวัฒนาการแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถสืบสาวไปถึงอดีตและอนาคตของเขาได้ ยิ่งไม่สามารถติดต่อหาได้ด้วย
หานเจวี๋ยหลับตาลง รอคอยต่อไป
รอจนเทวีตราวินัยอัญเชิญเสร็จ มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมแล้วค่อยลงมือ
เขาต้องการนำพาความสิ้นหวังอย่างแท้จริงมาสู่ฟ้าบุพกาล!
ไม่ว่าพวกเจ้าจะอัญเชิญยอดผู้แข็งแกร่งตั้งแต่อดีตไปถึงอนาคตมา แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าตัวข้าอริยะสวรรค์เกรียงไกรล้วนแล้วแต่ต้องร้องคร่ำครวญทั้งสิ้น!
วิถีไร้พ่ายที่หานเจวี๋ยแสวงหาตลอดมาคือการทำให้จำนวนศัตรูไร้ความหมาย!
ผู้ไร้พ่ายอย่างแท้จริงจะต้องไม่ถูกข่มด้วยจำนวนศัตรู!
….
มหามรรคสามพันวิถีสั่นไหวเล็กน้อย พลังด้านบนที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวแข็งแกร่งเกินไปแล้วจริงๆ
ความเคลื่อนไหวของเหล่าดวงจิตมหามรรคดึงดูดอริยะมหามรรคที่ซ่อนเร้นอยู่ในฟ้าบุพกาลด้วยเช่นกัน มีอริยะมหามรรคเดินทางมาถึงมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาตกใจเมื่อพบได้เห็นตัวเอง ลูกศิษย์และศิษย์หลานในอนาคต ทั้งยังมิใช่แค่คนเดียวด้วย
ยกตัวอย่างเช่นตี้เจียง เขาได้พบกับตี้เจียงจากอนาคตที่ต่างยุคสมัยกันไปถึงห้าคน
อริยะมหามรรคที่อยู่ภายใต้อำนาจศักดิ์สิทธิ์ฟ้าบุพกาลมีจำนวนเกินหมื่นแล้ว แต่จำนวนยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ!
หานทั่วมองเห็นตัวเขาในอนาคต แต่ไม่ได้เข้าไปทักทาย กลับเป็นอี๋เทียนที่กระตือรือร้นยิ่ง
หานฮวงและเจียงเจวี๋ยซื่อก็มาด้วย ได้เห็นตัวพวกเขาจากอนาคตเหมือนกัน ทำให้พวกเขาประหลาดใจยิ่ง
“อริยะสวรรค์เกรียงไกรอย่างนั้นหรือ มิน่าเล่าพวกเจ้าถึงอัญเชิญพวกเรามา”
“ได้ยินว่าในอดีตกาลเมื่อเนิ่นนานมากแล้วเคยมีอริยะสวรรค์เกรียงไกรสะกดข่มฟ้าบุพกาล ภายหลังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นถึงได้หายตัวไป ที่แท้ก็ถูกพวกเราร่วมมือกันจัดการ”
“ฮ่าๆๆ อริยะสวรรค์เกรียงไกรกล้ามุ่งร้ายต่อฟ้าบุพกาล เช่นนั้นก็ต้องตาย!”
“ศึกในวันนี้ จะต้องถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ฟ้าบุพกาล!”
“ตัวข้าจากอนาคต เจ้ามีตบะระดับใดหรือ”
“น่าอับอายนัก ในช่วงล้านปีมานี้ตบะของข้าเพิ่มขึ้นมาเพียงหนึ่งขั้นเล็กเท่านั้น ตอนนี้อยู่ในระดับมหามรรคเบิกฟ้าระยะปลาย”
ห้วงอวกาศด้านล่างอำนาจศักดิ์สิทธิ์ฟ้าบุพกาลคึกคักขึ้นเรื่อยๆ
ความคึกคักนี้ทำให้หานทั่วและหานฮวงอึดอัด
ถึงอย่างไรคนที่พวกเขาต้องการกำจัดทิ้งก็คือบิดายังเกิดเกล้าของตน
ในเวลานี้เอง ชายหนุ่มองอาจในชุดขาวพาดลายมังกรแดงคนหนึ่งพลันเหาะเข้ามาหยุดตรงหน้าหานฮวงและหานทั่ว ประสานมือกล่าวว่า “ทายาทหานเหยามาเพื่อขอขมาต่อบรรพชนทั้งสองโดยเฉพาะ”
หานทั่วผงะไป เอ่ยถาม “ขอขมาด้วยเรื่องใด”
หานฮวงมองพินิจหานเหยา ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที
หานเหยาเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง “ลูกหลานมาขอขมาที่ไม่อาจให้ความช่วยเหลือบรรพชนทั้งสองได้!”
“ขออภัยด้วย หานเหยาไม่อาจปล่อยให้ผู้ใดมาทำร้ายท่านปฐมบรรพชนได้ ต่อให้เป็นท่านบรรพชนทั้งสองก็ไม่ได้เช่นกัน!”
พอพูดจบหานเหยาก็หันหลังจากไป
หานทั่วและหานฮวงตกตะลึง
ดวงจิตมหามรรคที่อยู่รอบข้างมีสีหน้าแปลกใจ เหตุใดถึงอัญเชิญคนทรยศมาด้วยเล่า
………………………………………………………………