บทที่ 971 บุตรแห่งสวรรค์อันดับหนึ่งของฟ้าบุพกาล
“จริงหรือ รอให้เจ้าได้พบเห็นโลกภายนอกแล้วค่อยว่ากันเถิด”
หานเจวี๋ยส่ายหน้าหลุดยิ้มออกมา ไม่ได้ถือเป็นจริงเป็นจัง
เขาสะบัดแขนเสื้อส่งหานหลิงไปยังอาณาเขตเต๋าหลัก เขาให้หานหลิงไปเดินเล่นภายในเขตเซียนร้อยคีรีก่อน
ผลคือผ่านไปไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม หานหลิงก็กลับมา บอกว่าเขตเซียนร้อยคีรีไม่มีสิ่งใดน่าสนใจ
หานเจวี๋ยจึงพานางเคลื่อนย้ายไปยังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง ไปพบเหล่าศิษย์สืบทอด
ลี่เหยาและอู้เต้าเจี้ยนได้พบหานหลิงก็ยินดียิ่ง ดึงตัวนางไปพินิจดูซ้ายทีขวาที
หานเจวี๋ยติดต่อไปหาเทพมารคนอื่นๆ ผ่านไปไม่ถึงสามลมหายใจ เหล่าเทพมารก็มาที่หน้าอารามเต๋า
หานเจวี๋ยจูงบุตรสาวออกไปนอกอารามเต๋า แนะนำต่อเหล่าศิษย์
“นี่คือบุตรีลำดับที่สี่ของนายท่านหรือ”
“สวัสดีศิษย์น้องหลิงเอ๋อร์!”
“ข้าสมควรเรียกขานว่าอย่างไร อาจารย์อาหรือว่าอาจารย์น้า”
“ฮ่าๆๆ รูปโฉมงดงามนัก สมกับเป็นทายาทของท่านอาจารย์”
“นางเพิ่งอายุไม่เท่าไร เหตุใดเป็นอริยะแล้วเล่า”
“นึกถึงหานฮวงสิ แล้วเจ้าจะไม่แปลกใจอีก”
เมื่อเผชิญกับสายตากระตือรือร้นของผู้คนในสำนักหลายสิบคน หานหลิงไม่ได้ประหม่ากังวลเลย ใจกว้างงามสง่าเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายก่อน
ปัจจุบันนี้ เหล่าเทพมารต่างค้นพบมรรควิถีแห่งตนแล้ว หานเจวี๋ยไม่จำเป็นต้องเทศนาธรรมให้พวกเขาอีก ที่มารอบนี้เพียงมาแจ้งให้ทราบเท่านั้น คาดว่าอีกไม่นานข่าวนี้คงแพร่ไปถึงหูศิษย์สืบทอดเหล่านั้นที่ท่องอยู่ในฟ้าบุพกาล
หานเจวี๋ยพาบุตรสาวจากไปภายในวันนั้น เหล่าศิษย์ก็แยกย้ายกันไปฝึกบำเพ็ญต่อ
ภายในอารามเต๋า อู้เต้าเจี้ยนดึงลี่เหยาไว้ เอ่ยไปว่า “พี่ลี่เหยา ท่านต้องคว้าโอกาสมาให้ได้นะ นายท่านมาที่นี่น้อยยิ่ง หากว่ามีบุตรชายหรือบุตรสาว เขาคงจะมาอยู่นานขึ้น”
ลี่เหยากลอกตาใส่ “ใครสอนเรื่องพวกนี้ให้เจ้ากัน”
อู้เต้าเจี้ยนหัวเราะคิกคักตอบไปว่า “ไก่คุกรัตติกาลน่ะสิ ตอนนี้มันเป็นกุนซือให้ข้าแล้ว เมื่อครู่หลิงเอ๋อร์อยู่ข้าไม่สะดวกจะแสดงท่าที ครั้งหน้าหากนายท่านมาคนเดียว ข้าจะต้องคว้าโอกาสไว้ให้ได้”
ลี่เหยาเริ่มใช้ความคิด
ก็ใช่ หานเจวี๋ยมาที่นี่น้อยครั้งยิ่ง!
ถึงแม้สายสัมพันธ์จะไม่แปรเปลี่ยน แต่ก็จำเป็นต้องบ่มเพาะความรู้สึก
….
หานเจวี๋ยพาหานหลิงออกจากอาณาเขตเต๋า เริ่มออกท่องฟ้าบุพกาล
พวกเขาทั้งสองแยกเสี้ยววิญญาณทิ้งไว้ในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สามแล้วเพื่อให้สะดวกต่อการคืนชีพ
แม้ตอนนี้จะดูเหมือนสงบสุขยิ่ง แต่หานเจวี๋ยต้องการป้องกันไว้ก่อน หากว่าจู่ๆ ผู้สร้างมรรคาเกิดคลุ้มคลั่งจัดการเขากะทันหัน จะไม่จบเห่หรือ
ยิ่งตบะสูงเท่าไร ก็ยิ่งต้องระวังมากเท่านั้น!
เว้นแต่เขาจะไร้พ่ายอย่างสมบูรณ์แล้ว
สองพ่อลูกยืนบนเมฆาม่วง หานเจวี๋ยอธิบายถึงฟ้าบุพกาลให้นางทราบ
หานหลิงรับฟังอย่างสงบ ฟังอย่างตั้งใจยิ่ง
หลังจากหานเจวี๋ยอธิบายถึงรูปการณ์ของฟ้าบุพกาลไปคร่าวๆ ต่อมาก็เริ่มเล่าชีวประวัติของตน คราวนี้หานหลิงกลับตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว ดวงตาเปล่งประกาย
เมฆาม่วงเคลื่อนที่ไปรวดเร็วยิ่ง
พอหานเจวี๋ยเล่ามาถึงช่วงที่ตนพิสูจน์มรรค พวกเขาก็มาถึงอาณาเขตของเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่แล้ว
โจวฝานถ่ายทอดเสียงหาโจวฝาน ให้เขารอต้อนรับ
ถึงอย่างไรโจวฝานก็เป็นผู้นำกลุ่มอิทธิพลหนึ่งแล้ว หานเจวี๋ยไม่อยากบุกเข้าไปตรงๆ ต้องการไว้หน้าเขา
ไม่นานนัก โจวฝานก็เตรียมการเสร็จสิ้น เชิญเขาไปที่ยอดเจดีย์
ภายในห้องโถงนอกจากโจวฝานแล้วยังมีคนอีกสองคน คนแรกคือโม่ฟู่โฉว คนที่สองคือบุรุษชุดดำคนหนึ่ง หน้าตาคล้ายคลึงกับโจวฝานเจ็ดแปดส่วน
“อาจารย์!”
พอโจวฝานเห็นหานเจวี๋ยก็คุกเข่าคารวะทันที
ชายชุดดำคุกเข่าตาม กลับเป็นโม่ฟู่โฉวที่ประดักกระเดิดนัก ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ลุกขึ้นเถอะ พี่โม่ ไม่ได้พบกันนานยิ่ง ช่วงนี้สบายดีหรือไม่”
พอโม่ฟู่โฉวได้ยินก็ราวกับยกภูเขาออกจากอก ยิ้มพลางเอ่ยว่า “สบายดียิ่ง โจวฝานปฏิบัติต่อข้าดั่งพี่ชายร่วมสายเลือด เพียงแต่ข้าไม่คู่ควรให้เจ้าเรียกว่าพี่โม่แล้ว”
หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ “พวกเราเรียกกันมาอย่างไรก็เรียกไปอย่างนั้นเถิด”
โจวฝานรีบเอ่ยถาม “แล้วท่านนี้คือผู้ใดหรือขอรับ”
“หานหลิง บุตรสาวของข้า ถือกำเนิดเมื่อหนึ่งแสนปีก่อน วันนี้พานางออกมาเที่ยวเล่น” หานเจวี๋ยยิ้มแย้มเอ่ยแนะนำไป
หานหลิงเอ่ยทักทายทันที “น้อมพบศิษย์พี่โจว”
โจวฝานยิ้มหน้าบาน กล่าวว่า “ศิษย์น้องหลิงเอ๋อร์ยอดเยี่ยมนัก อายุแสนปีก็พิสูจน์อริยะแล้ว ร้ายกาจกว่าเจ้าลูกโง่ของข้ามาก”
ชายชุดดำเก้อกระดากขึ้นมา มองหานหลิงด้วยความแปลกใจ
หลังจากพูดจากันตามมารยาทแล้ว ทุกคนต่างนั่งลง
โจวฝานเริ่มคุยฟุ้งถึงเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ของตน เป็นครั้งแรกที่ชายชุดดำเห็นผู้เป็นบิดากระตือรือร้นขนาดนี้ ยิ่งสนใคร่รู้ในตัวหานเจวี๋ยมากกว่าเดิม
‘อริยะสวรรค์เกรียงไกรอย่างนั้นหรือ…ดูไม่ค่อยทรงพลังเท่าไรเลย…’
ชายชุดดำคิดในใจ อดไม่ได้ที่จะมองไปยังร่างของหานหลิง
หานหลิงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เขาตกใจรีบถอนสายตากลับไปทันที
หานเจวี๋ยเองก็สังเกตเห็นฉากนี้เช่นกัน แต่เขาไม่ได้แสดงท่าทีออกมาและไม่ได้ใส่ใจเช่นกัน
ระหว่างสองคนนี้เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ลำดับศักดิ์ห่างกันยิ่งนัก ระดับชั้นก็แตกต่างกันมาก
เขาเชื่อว่าโจวฝานก็รับรู้เรื่องนี้เช่นกัน ไม่มีทางปล่อยให้บุตรชายก่อเรื่องวุ่นวาย
ปัจจุบันนี้เจดีย์มหามรรคนับเป็นกลุ่มอิทธิพลขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของฟ้าบุพกาลแล้ว ปกครองฟ้าดินนับร้อย มีอริยะมหามรรคประจำการอยู่สองคน คนหนึ่งคือโจวฝาน อีกคนคือผู้ทรงพลังฟ้าบุพกาลที่โจวฝานชักชวนมาเข้าร่วม
หานเจวี๋ยฟังอย่างสงบ ไม่แสดงทีท่าออกมาเลย
เมื่อโจวฝานเล่าจบ หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เลวเลย ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะพัฒนาไปอย่างไร เพียงจดจำไว้เสมอว่าเจ้ามาจากที่ใดก็พอแล้ว”
โจวฝานหัวเราะแหะๆ พลางเอ่ยว่า “ข้ายังคงเป็นศิษย์สำนักซ่อนเร้นตลอดกาล เป็นศิษย์ของท่านขอรับ หากไม่มีเส้นสายของสำนักซ่อนเร้นรวมถึงบารมีของท่าน ตัวข้าไหนเลยจะสะดวกราบรื่นได้ปานนี้”
หานเจวี๋ยส่ายหน้าหลุดหัวเราะออกมา จากนั้นเขาจึงมอบสมบัติวิเศษให้โม่ฟู่โฉวและชายชุดดำคนละชิ้น เป็นของขวัญพบหน้า
พวกหานเจวี๋ยสองพ่อลูกจากไปภายในวันนั้น
พวกโจวฝานทั้งสามยืนอยู่ริมเจดีย์ เฝ้ามองพวกเขาจากไป
ชายชุดดำถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง
โจวฝานเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อย่าได้คิดเหลวไหลไป ข้าอยากจะควักลูกตาที่มองรุ่มร่ามไปก่อนหน้านี้ของเจ้าออกมาจริงๆ นั่นคือผู้อาวุโสของเจ้า เจ้าไหนเลยจะมองส่งเดชได้ อย่าได้คิดลามปาม เจ้ามันไม่คู่ควร”
ชายชุดดำหน้าแดงก่ำ เอ่ยไปว่า “เหตุใดข้าถึงไม่คู่ควร ข้าก็สามารถมานะบำเพ็ญได้!”
โม่ฟู่โฉวรู้สึกสนุกขึ้นมาแล้ว สีหน้าราวกับได้ชมละคร
“มานะบำเพ็ญหรือ เจ้าจะฝึกบำเพ็ญอย่างไรเล่า ศิษย์น้องหลิงเอ๋อร์ติดตามอยู่ข้างกายอริยะสวรรค์เกรียงไกร ระดับตบะของนางไหนเลยจะใช่สิ่งที่เจ้าสามารถเทียบชั้นได้ หากเจ้ากลายเป็นบุตรแห่งสวรรค์อันดับของฟ้าบุพกาลได้ เช่นนั้นก็อาจจะพอมีคุณสมบัติอยู่บ้าง” โจวฝานแค่นเสียงเอ่ย จากนั้นลากโม่ฟู่โฉวจากไป
สีหน้าชายชุดดำเดี๋ยวคล้ำเดี๋ยวแดงสลับกันไป อันที่จริงเขาก็ไม่ได้คิดอะไรเลย เป็นเพียงความต้องตาแรกพบเท่านั้น
“บุตรแห่งสวรรค์อันดับหนึ่งของฟ้าบุพกาล…ท่านบอกว่าข้าทำไม่ได้ เช่นนั้นข้าจะพิสูจน์ให้ดู!”
ชายชุดดำกำสองมือแน่น คิดด้วยความขุ่นเคือง
เขาต้องหักหน้าท่านพ่อให้ได้!
….
ท่ามกลางฟ้าบุพกาล พวกหานเจวี๋ยสองพ่อลูกเหยียบเมฆาม่วงเดินทางต่อไป
หานหลิงเอ่ยถาม “ท่านพ่อ พวกเราจะไปไหนกันต่อเจ้าคะ อันที่จริงฟ้าบุพกาลก็ไม่ได้น่าสนใจเลย ข้ายังคงชมชอบการฝึกบำเพ็ญอยู่ข้างกายท่านพ่อมากกว่า ดื่มด่ำกับความรู้สึกที่ได้แข็งแกร่งขึ้น”
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไปพบพวกพี่ชายพี่สาวของเจ้าอย่างไรเล่า”
หานหลิงถามด้วยความประหม่า “พวกเขาจะชอบข้าหรือไม่”
อยู่ต่อหน้าคนนอก นางใจกว้างเยือกเย็น แต่พอทราบว่าต้องเผชิญหน้ากับพี่น้องที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน นางรู้สึกประหม่าอย่างยิ่ง
“แน่นอน หลิงเอ๋อร์ของพ่อไม่ว่าผู้ใดก็ต้องชอบทั้งนั้น เจ้าดูบุตรชายศิษย์พี่โจวฝานของเจ้าสิ ต้องเสน่ห์ของเจ้าจนไปไม่ถูกเลยมิใช่หรือ” หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ท่านพ่ออย่าได้เย้าหลิงเอ๋อร์เล่นเลยเจ้าค่ะ”
ดวงหน้างามของหานหลิงแดงซาน เขินอายยิ่งนัก
หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ “ในอนาคตหากเจ้าจะมีคนรักก็ต้องเลือกให้ดี อย่าให้ขายหน้าพ่อ อย่างน้อยๆ เขาก็ต้องคู่ควรกับเจ้า”
หานหลิงเอ่ยอย่างไม่แยแส “เหตุใดข้าต้องมีคนรักด้วยเจ้าคะ ข้ามีเป้าหมายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น กลายเป็นผู้ทรงพลังเหมือนท่านพ่อ
“ท่านพ่อเจ้าคะ เร็วหน่อยเถิดเจ้าค่ะ พวกเรารีบไปพบพวกท่านพี่ให้เสร็จแล้วกลับไปฝึกบำเพ็ญกันเถอะเจ้าค่ะ”
………………………………………………………………