บทที่ 975 โลกมหามรรคอวิชชา
หลังจากควบรวมกายเนื้อขึ้นมาใหม่อีกครั้ง สีหน้าของชายเกราะแตกดุร้าย ร้องคำรามออกมาคราหนึ่ง เริ่มกวัดแกว่งดาบอย่างบ้างคลั่ง ปราณดาบกวาดไปทั่ว แฝงเร้นอักขระลึกล้ำแปลกประหลาดไว้ อักขระขยายใหญ่ขึ้นลอยกระจายออกไปทั่วทิศในโลกา
พวกเต้าจื้อจุนทั้งสี่ถูกกดดันจนกระเด็นไถลออกไปไกล หน้าดินแตกร้าวพังทลาย
จ้าวเซวียนหยวนมองชายเกราะแตกอย่างหวาดผวา สบถเสียงเบา “คนผู้นี้น่ากลัวเหลือเกิน! คาดว่าก่อนหน้านี้คงไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาเลย!”
ไม่มีผู้ใดเอ่ยตอบ สีหน้าของเหล่าตานก็ไม่น่ามองยิ่งนักเช่นกัน
ถึงแม้เต้าจื้อจุนและเจียงอี้จะบาดเจ็บสาหัส แต่สำหรับพวกเขาแล้วความเจ็บปวดทรมานไม่นับเป็นอันใดไปนานแล้ว พวกเขาเพียงกังวลว่าหานเจวี๋ยจะต้านไหวหรือไม่
ฟ้าดินทยอยพังทลายลง แต่ไม่ว่าชายเกราะแตกจะโจมตีอย่างไรก็ไม่สามารถทำลายการป้องกันของเสื้อคลุมเลิศธุลีแดงได้
หานเจวี๋ยชูมือขวาขึ้นมา ก่อเกิดเงาหัตถ์นับหมื่นพัน ทำให้คนมองแล้วตาลาย เขาผลักมือออกไปเบาๆ
ฝ่ามือผนึกสุญญตา!
ชายเกราะแตกหมกมุ่นอยู่กับการโจมตีไม่ได้หลบเลี่ยงเลย ถูกฝ่ามือนี้กระแทกเข้าไป แน่นิ่งไปในชั่วพริบตา
เขาลอยค้างอยู่กลางอากาศเช่นนี้ จ้องหานเจวี๋ยเขม็ง
แรงสะเทือนมหาศาลรุนแรงในโลกหยุดลงทันที
พวกเต้าจื้อจุนทั้งสี่ตะลึงงัน
เมื่อครู่ตอนสัมผัสถึงกลิ่นอายของชายเกราะแตกได้ พวกเขาล้วนเหงื่อตกแทนหานเจวี๋ยทั้งสิ้น ไม่คิดเลยว่าหานเจวี๋ยซัดฝ่ามือออกไปส่งๆ ทีเดียวก็ทำให้ชายเกราะแตกขยับเขยื้อนไม่ได้แล้ว
หานเจวี๋ยมองไปที่พวกเต้าจื้อจุน เอ่ยถามว่า “พวกเจ้าเตรียมจะออกไปจากที่นี่หรือว่าจะอยู่ต่อ”
จ้าวเซวียนหยวนได้สติกลับมา รีบเอ่ยว่า “อยู่ที่นี่ต่อขอรับ ก่อนหน้านี้อยู่มาสองแสนกว่าปีก็ไม่มีปัญหาใด มีเพียงวันนี้ที่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เจ้านี่แข็งแกร่งมาก สมบัติวิเศษและพลังวิเศษของพวกเราล้วนทำอะไรเขาไม่ได้ ซ้ำเขายังเรียกมารพยาบาทออกมาได้อีก พวกเราจึงจำเป็นต้องเชิญท่านมาขอรับ”
หานเจวี๋ยดูดตัวชายเกราะแตกและดาบยักษ์มีเกล็ดเข้าไปในแขนเสื้อ จากนั้นเขาก็กระโจนกลับเข้าไปในคลื่นวนสีดำ
คลื่นวนสีดำหดตัวลง ทุกอย่างหวนกลับสู่ความสงบ
เหล่าตานเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “อาจารย์ของพวกเจ้าสมกับเป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่งแห่งฟ้าบุพกาล กลิ่นอายของเจ้าคนเมื่อครู่นั้นก้าวข้ามอริยะมหามรรคไปแล้ว แต่พออยู่ต่อหน้าเขา…”
จ้าวเซวียนหยวนเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “นั่นมันแน่อยู่แล้ว!”
เต้าจื้อจุนและเจียงอี้เริ่มรักษาอาการบาดเจ็บ
….
หลังจากกลับมาถึงอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม หานเจวี๋ยถามในใจ ‘สถานที่เมื่อครู่นี้คือที่ใด’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งแสนล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
แพงขนาดนี้!
ค่าตัวระดับผู้สร้างมรรคา!
ดำเนินการต่อ!
[โลกมหามรรคอวิชชา: โลกที่สร้างขึ้นด้วยเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลทวยเทพแห่งฟ้าบุพกาล ถูกฟ้าบุพกาลสะกดไว้ ไร้ชีวิตชั่วนิรันดร์ กว้างไกลไร้ขอบเขต]
ถูกฟ้าบุพกาลผนึกไว้…
เพียงพริบตาเดียวหานเจวี๋ยคิดไปมากมายนัก
ไม่แปลกเลยเลยที่จะเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลจะออกมาโลดแล่นบ่อยขนาดนี้ ว่ากันตามหลักการ ผู้สร้างมรรคาหลุดพ้นจากฟ้าบุพกาลไปแล้ว ไม่สมควรมาปรากฏตัวในฟ้าบุพกาลอีก ยกตัวอย่างเช่นผู้สร้างมรรคาอีกสองรายที่แม้แต่นามก็ไม่ปรากฏให้ทราบ
ที่แท้โลกของเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลก็ถูกเจ้านวฟ้าบุพกาลสะกดไว้ หากมองจากจุดนี้ เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลอาจจะถูกเจ้านวฟ้าบุพกาลปราบให้จำนน กลายเป็นทวยเทพฟ้าบุพกาลคอยดูแลความปลอดภัยของฟ้าบุพกาล
มีความเป็นไปได้!
เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลเกื้อหนุนชิงเทียนเสวียนจีให้ผงาดขึ้นมาในฟ้าบุพกาล เกรงว่าคงมีแผนการอยู่
หานเจวี๋ยลองจินตนาการว่าหากโลกอนธการของตนถูกเจ้านวฟ้าบุพกาลสะกด เช่นนั้นคงยากจะทนรับไหวยิ่ง
เห็นทีว่าหากไม่เข้าตาจนจริงๆ ก็อย่าเผยการมีอยู่ของโลกอนธการเลยจะดีกว่า
เจ้านวฟ้าบุพกาลดูคล้ายจะไร้นิวรณ์ไร้ปรารถนา แต่ก็แค่ดูคล้ายเท่านั้น
ส่วนพวกเต้าจื้อจุนทั้งสี่ หานเจวี๋ยคร้านจะยุ่งแล้ว คนพวกนี้ชอบออกท่องไปทั่ว ก่อเรื่องไม่หยุดหย่อน เช่นนี้ก็ดีแล้วจะได้อาศัยพวกเขาช่วยเปิดเผยสถานที่ใหม่ๆ ให้หานเจวี๋ยมากขึ้น
หานเจวี๋ยนำดาบยักษ์มีเกล็ดออกมา ส่วนชายเกราะแตกคนนั้นถูกเขากำจัดทิ้งแล้ว เดิมทีชายเกราะแตกคนนั้นก็มาจากดาบยักษ์เล่มนี้อยู่แล้ว
สมบัติชิ้นนี้ไม่ธรรมดา อย่างน้อยๆ ก็เป็นยอดสมบัติฟ้าบุพกาล เพียงพอให้ตัวตนระดับมหามรรคไม่ว่าหน้าไหนก็จ้องมองตาเป็นมันทั้งสิ้น
หานเจวี๋ยเริ่มใช้ความสามารถชำระล้างสมบูรณ์
หานหลิงลืมตาขึ้น พอมองเห็นดาบยักษ์เล่มนี้ก็ถามด้วยความอยากรู้ “ท่านพ่อ นี่คือสิ่งใดเจ้าคะ”
“สมบัติวิเศษชิ้นหนึ่ง”
“ลูกย่อมทราบดีเจ้าคะ ลูกอยาก…”
“เจ้าอยากได้หรือ”
หานหลิงพยักหน้ารับอย่างขลาดอาย
ในแบบจำลองการทดสอบนางพบว่าคู่ต่อสู้มากมายล้วนมีสมบัติวิเศษที่แกร่งกล้าแตกต่างกันไป บางครั้งประโยชน์ของสมบัติวิเศษก็แข็งแกร่งว่าพลังวิเศษด้วย
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “สมบัติชิ้นนั้นดุร้ายยิ่ง พ่อต้องขจัดไอพิฆาตของมันก่อน คอยหน่อยเถิด”
“เจ้าค่ะ”
หานหลิงตอบรับ แต่สายตายังคงจ้องมองดาบยักษ์มีเกล็ดไม่เคลื่อนไปไหนเลย
หานเจวี๋ยนึกถึงสมบัติเลิศมรรคาชิ้นนั้นที่ยึดมาจากเซียนพเนจรก่อนหน้านี้
เขานำสมบัติชิ้นนี้ออกมาทันที หยกชาดจันทร์ครึ่งเสี้ยวลอยอยู่เหนือฝ่ามือ ดึงดูดสายตาของหานหลิง
“สมบัติสองชิ้นนี้ เจ้าเลือกเอาสักอย่างเถอะ”
หานเจวี๋ยเอ่ยออกไป น้ำเสียงสบายๆ ไม่ได้บอกว่าสมบัติชิ้นไหนแข็งแกร่งกว่า
หานหลิงชี้ไปที่หยกชาดจันทร์ครึ่งเสี้ยว กล่าวว่า “ข้าเอาชิ้นนี้เจ้าค่ะ ชิ้นนี้แข็งแกร่งกว่า พลังที่แฝงเร้นในตัวมันคล้ายกับพลังมหาโชคของข้ายิ่งนัก”
หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว สาวน้อยคนนี้เป็นเพียงอริยะเสรีแต่สอดส่องสมบัติเลิศมรรคาได้แล้วหรือ
หยกชาดจันทร์ครึ่งเสี้ยวผ่านการชำระล้างสมบูรณ์แล้ว ไร้ซึ่งอันตรายแต่หากต้องการสยบสมบัติชิ้นนี้ หานหลิงจะต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
หานเจวี๋ยโยนหยกชาดจันทร์ครึ่งเสี้ยวให้หานหลิงไป
สมบัติเลิศมรรคาเลิศล้ำจริงๆ แต่หานเจวี๋ยไม่ได้มีอยู่แค่ชิ้นเดียว อีกทั้งสมบัติชิ้นนี้ก็ไม่ใช่สมบัติสายโจมตีหรือป้องกันด้วย เกี่ยวข้องกับโชคและบ่วงกรรมเท่านั้น
เมื่อหานหลิงได้รับสมบัติชิ้นนี้ก็ยิ้มแย้มเบิกบาน เริ่มพินิจดูสารพัด
หลายร้อยปีต่อมา
ดาบยักษ์มีเกล็ดชำระล้างเสร็จสิ้น จิตดาบในตัวดาบไม่อาละวาดอีกต่อไป ตกอยู่ในห้วงนิทรา รอจนกว่าผู้เป็นนายจะปลุกมันขึ้นมา
สมบัติชิ้นนี้ไม่ธรรมดาเลย ผสานพลังแห่งยอดมหามรรคไว้ ไอสังหารเข้มข้นยิ่ง สามารถเก็บไว้มอบให้ลูกศิษย์หรือทายาทในวันหน้าได้
หานเจวี๋ยนึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา
หานอวี้!
เทียบกับหานฮวงและหานทั่วแล้ว หานอวี้เชื่อฟังมากกว่า ให้เขาสืบทอดวงศ์ตระกูลเขาก็ทำตาม เป็นเด็กดียิ่ง
สมควรเกื้อหนุนเขาสักหน่อย
ขณะที่หานเจวี๋ยกำลังคิดๆ อยู่ แจ้งเตือนแถวหนึ่งพลันเด้งขึ้นมาตรงหน้า
[เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลต้องการเข้าฝันท่าน ยอมรับหรือไม่]
หานเจวี๋ยใจเต้นแรง
ผู้สร้างมรรคา!
‘หากข้ายอมรับความฝัน จะมีอันตรายหรือไม่’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งแสนล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[ไม่มี]
หานเจวี๋ยโล่งใจทันที เลือกยอมรับเงียบๆ
แดนความฝันคือดินแดนเวิ้งว้าง มีซากศพนับไม่ถ้วนลอยอยู่รอบๆ เงียบสงัดน่าหวาดผวา
หานเจวี๋ยทอดสายตาอมองออกไป คิดจะค้นหาเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาล ทว่ามองไม่เห็นเงาร่างของเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลเลย
ในเวลานี้เอง ศีรษะขนาดมหึมาหัวหนึ่งพลันหันกลับมา บนหน้ามีดวงตาอยู่แปดดวง จ้องเขม็งมาที่หานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยขมวดคิ้วเอ่ยถาม “สหายเต๋าคือผู้ใด เข้าฝันข้าเพราะเหตุใด”
เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าคือทวยเทพฟ้าบุพกาล”
ทวยเทพฟ้าบุพกาล!
หานเจวี๋ยหน้าเปลี่ยนสี แสร้งตกใจ
เขาพึมพำกับตัวเอง “ทวยเทพฟ้าบุพกาล…หรือว่าตัวตนที่อยู่เหนือกว่ากฎเกณฑ์สูงสุดที่ถูกสร้างขึ้นจะมีอยู่จริง…”
เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลเอ่ยว่า “ผู้ที่สร้างฟ้าบุพกาลและกฎเกณฑ์สูงสุดขึ้นมิใช่ข้า แต่เป็นเจ้านวฟ้าบุพกาลที่เจ้าเคยพบก่อนหน้านี้ ข้าเป็นเพียงผู้พิทักษ์ระเบียบกฎเกณฑ์ในฟ้าบุพกาล เรื่องของดวงจิตนพชาติทำให้เจ้านวฟ้าบุพกาลไม่พอใจข้ามาก”
หานเจวี๋ยเงียบไป
ไม่รู้ว่าเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลอยากจะพูดอะไรกับตนกันแน่
ดีร้ายอย่างไรเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลก็มีความประทับใจในตัวเขาอยู่บ้าง ฟังๆ ไปก่อนแล้วกัน
“หานเจวี๋ย หากเจ้าต้องการมาถึงระดับเดียวกับพวกเรานั้นไม่มีความหวังแล้ว ยอดมหามรรคคือขีดจำกัดของเจ้า ต่อให้เจ้าจะยังคงแข็งแกร่งขึ้น แต่เจ้าก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากยอดมหามรรคได้” เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลเอ่ยเนิบๆ
“สถานที่ที่เจ้ามุ่งหน้าไปช่วยเหลือศิษย์ก่อนหน้านี้คือโลกมหามรรคอวิชชา โลกนี้ถูกสร้างขึ้นโดยตัวตนหนึ่งที่อยู่เหนือกว่ายอดมหามรรค เทียบได้กับฟ้าบุพกาลแห่งที่สอง เพียงแต่ทันทีที่เขาสร้างโลกนี้ขึ้นก็เผชิญกับการถูกสะกดจากเจ้านวฟ้าบุพกาลทันที โลกมหามรรคอวิชชาถูกฟ้าบุพกาลสะกดไว้ พลังวิญญาณทั้งหมดในโลกถูกฟ้าบุพกาลดูดซับไป โลกมหามรรคอวิชชากลายเป็นโลกที่ว่างเปล่า”
………………………………………………………………