บทที่ 1040 ซูฉางจิ่วโทษตัวเอง
บทที่ 1040 ซูฉางจิ่วโทษตัวเอง
เสี่ยวเถียนมองความคิดเหลยเกาเชาออก
ไลน์การผลิตของโรงงานเราในตอนนี้ไม่เพียงพอต่อคำสั่งซื้อจำนวนมาก ๆ
แต่ถ้าอยากให้โรงงานพัฒนา พวกเขาจำเป็นต้องเพิ่มกำลังผลิตให้มากขึ้น
“ผู้อำนวยการเหลย ฉันรู้ว่ากำลังผลิตเราในตอนนี้ไม่เพียงพอ แต่ใช่ว่าจะขยายไม่ได้เสียหน่อย ใช่ไหมคะ?”
เหลยเกาเชากดดันทันที
แต่ตนเข้าใจสิ่งที่เจ้านายจะสื่อ
เธออยากให้เขาเพิ่มกำลังการผลิต แต่ไลน์การผลิตของเรามีจำกัดเนี่ยสิ
“ไม่ต้องห่วงนะครับเจ้านาย ผมจะเรียกประชุมเพื่อหารือเรื่องนี้ทันทีครับ”
“ฝากด้วยนะคะ อุปกรณ์บางอย่างมีผลิตในประเทศและจำหน่ายในเมืองหลวงนะคะ ไม่ต้องซื้อจากต่างประเทศ”
เหลยเกาเชาประหลาดใจ
จริงหรือเนี่ย?
ผลิตที่เมืองหลวงได้แล้วหรือ? ทำไมเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยล่ะ?
ไม่ได้การละ พรุ่งนี้เข้าเมืองไปสอบถามเลยแล้วกัน
ถ้าหาอุปกรณ์เหมาะ ๆ มาได้ เรื่องขยายไลน์ผลิตไม่ใช่ความฝันแน่นอน
การที่เสี่ยวเถียนพูดออกมาแสดงว่ามั่นใจแล้ว เธอจะให้ความช่วยเหลืออย่างแน่นอน แต่สิ่งสำคัญคือการฝึกฝนความสามารถของเขาต่างหาก
เธอหวังว่าอีกฝ่ายจะทำตามความคาดหวังได้ และทำได้ดีด้วย
“ถึงตัวโรงงานจะคับแคบไปหน่อย แต่การเพิ่มอุปกรณ์เข้าไปไม่ใช่ปัญหา หลังจากติดตั้งเข้าไปแล้วอาจจะขยายตัวอาคารอีกก็ได้” เสี่ยวเถียนเตรียมพร้อมไว้ตั้งแต่ตอนสร้างแล้ว
รอของใหม่เข้ามา โรงงานจะทำงานได้อย่างเต็มกำลัง
การขยายโรงงานไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดหรือ?
อนาคตจะทำอีก?
หมายถึงแบบนี้ใช่ไหม?
ที่จริงเหลยเกาเชาเป็นคนที่ไล่ตามหาความมั่นคงในชีวิตนะ
เขาไม่ได้ต่อต้านเรื่องขยายโรงงานหรอก แค่หวังว่าจะค่อย ๆ ทำไป แต่ความคิดของเสี่ยวเถียนมันค่อนข้างโผงผางไปหน่อย
แต่โน้มน้าวเธอได้หรือ?
ไม่ได้อยู่แล้ว!
เราทำได้แค่ตั้งใจทำงานเพื่อบริหารโรงงานให้ดีขึ้นเท่านั้น
เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน คำสั่งซื้อคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แล้วถ้าสินค้ามีไม่เพียงพอการพัฒนาโรงงานคงล่าช้าแน่นอน
เหลยเกาเชาว่าต่อ “เราอาจมีปัญหาด้านอุปทานนิดหน่อยนะครับ แล้วก็ขอบเขตของฟาร์มในตอนนี้ไล่ตามไม่ทันด้วย”
เจ้านายมักจะบอกว่าความปลอดภัยของวัตถุดิบคือสิ่งสำคัญที่สุด เราจึงทำฟาร์มเป็นของตัวเอง
ระหว่างปีแห่งการพัฒนา เราสามารถรับประกันเนื้อสัตว์สำหรับทางโรงงานได้อย่างเต็มที่ แต่ถ้าต้องขยายขอบเขตการผลิตล่ะ?
เสี่ยวเถียนมีความคิดเป็นของตัวเอง
เธอรู้ดีว่ากำลังของฟาร์มในตอนนี้ผลิตได้ขนาดไหน
แต่ปัญหาวัตถุดิบไม่ใช่เรื่องใหญ่เสียหน่อย
“ง่าย ๆ ก็ส่งคนไปสำรวจรอบ ๆ สิ เดี๋ยวก็เจอฟาร์มดี ๆ เองนั่นแหละ ถ้าเจอที่เหมาะ ๆ แล้วก็เซ็นสัญญาระยะยาวไปเลย”
ต่อให้ฝ่ายนั้นหลอกว่ามีสินค้าคุณภาพก็ตาม ถ้าคนของเราตื่นตัวพอก็หลีกเลี่ยงได้
เหลยเกาเชาคิดถึงปัญหานี้ได้เช่นกัน
ตอนนี้เริ่มคิดแล้วว่าจะให้ใครรับหน้าที่ดีถึงจะปลอดภัย
“ผู้อำนวยการเหลย เราไม่มีความรู้ฟาร์มจากข้างนอกมากนัก ต้องระวังด้วยนะคะ อย่าเอาฟาร์มที่ไม่ได้มาตรฐานมา ระวังเรื่องการเลือกคนด้วยค่ะ!” เสี่ยวเถียนเตือน
“เข้าใจแล้วครับ ไม่ต้องห่วงนะครับผมจะจัดการให้”
ต้องไปปรึกษาพ่อใหญ่แม่ใหญ่แล้วว่าควรเพิ่มขนาดฟาร์มหรือเปล่า!
เธอเป็นพวกขี้เกียจ หลาย ๆ ครั้งก็ปล่อยให้คนอื่นทำแทน ส่วนตัวเองให้คำแนะนำพอ
ตอนนี้ฟาร์มปกติดี ถ้าเราทำตามเป้าที่ตั้งเอาไว้และค่อย ๆ ขยายไปทีละนิดจะพัฒนาได้อย่างมั่นคง
ตอนนั้นเองที่ได้ยินข่าวว่าครอบครัวลุงฉางจิ่วมาที่ฟาร์ม
เธอตกใจมากที่อยู่ ๆ พวกเขาก็มาหาอย่างกะทันหัน
“คุณลุงคุณป้า มาได้ยังไงคะ?”
“ทำไมเล่า? ไม่ต้อนรับเราหรือ?” ซูฉางจิ่วยิ้มใจดี
“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงคะ แค่ไม่คิดว่าลุงจะมา พวกเราต้อนรับนะคะ วันนี้พักผ่อนก่อนเถอะ พรุ่งนี้หนูจะพาไปดูโรงงานอาหารค่ะ”
เด็กสาวยิ้มประจบ
ฝ่ายลุงส่ายหัวน้อย ๆ
เด็กคนนี้เก่งจริง ๆ
จากนั้นเขาก็มองไปรอบ ๆ
แล้วก็ต้องตกใจตอนเห็นอาคารหลังใหญ่กับพื้นที่เพาะพันธุ์นี้
ใช้เวลาไม่กี่ปีตระกูลซูก็พัฒนาอุตสาหกรรมในเมืองหลวงได้ถึงขนาดนี้เลยหรือ
แม้จะเป็นย่านชานเมือง แต่ก็ถือว่าเป็นเขตหนึ่งในเมืองหลวงนะ ต่างจากพื้นที่ชนบทของเราแน่นอน
พวกเขาคงร่ำรวยกันแล้วละ เผลอ ๆ เงินเยอะกว่าทั้งหมู่บ้านรวมกันอีกใช่ไหม?
คนมักพูดว่าขี่ม้าไล่ตามไม่ทันการณ์ แต่จากสถานการณ์บ้านนี้ต่อให้ทั้งหมู่บ้านรวมตัวกันก็ยังไม่ทันอยู่ดี
แต่พวกเขาก็เปิดโอกาสให้เราสร้างรายได้แล้วนะ
แค่ว่า…
หลายปีก่อนที่มีการสร้างฟาร์มขึ้นในหมู่บ้าน ถึงสมัยนั้นจะยังไม่มีการใช้นโยบาย แต่ชาวบ้านยังหาเงินได้อยู่ดี
ตอนนั้นเราเป็นที่อิจฉาของหมู่บ้านรอบ ๆ ด้วยนะ
ถ้าทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี บางทีป่านนี้คงขยายใหญ่โตไปแล้ว
น่าเสียดายที่ดูแลคนในบ้านไม่ดีเอง
หลังจากเถียนเสี่ยวเหอเซ็นสัญญารับช่วงต่อฟาร์ม น่าเสียดายที่เป็นพวกใฝ่สูงแต่ฝีมือต่ำ ล้มเหลวในการดูแลไม่พอยังทำลายมันจนสิ้นซากเลย
ถ้าตอนนั้นห้ามเอาไว้เด็ดขาด ปัจจุบันมันอาจจะยังอยู่ก็ได้
ดูเหมือนสิ่งเดียวที่ฝังลึกในใจคือทำให้คนคนในหมู่บ้านผิดหวัง!
เสี่ยวเถียนเห็นความแปรปรวนบนใบหน้าอีกฝ่ายจึงเอ่ยขึ้น “คิดอะไรอยู่คะ? กำลังคิดว่าพวกเราจัดการฟาร์มยังไงอยู่หรือเปล่า?”
จูหลานฮวามองสามี ตาแก่นี่ คนอื่นอาจจะไม่รู้นะ แต่กับเธอที่อยู่มาด้วยครึ่งค่อนชีวิตจะไม่รู้ได้ยังไง
ไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการให้เถียนเสี่ยวเหอเซ็นสัญญารับช่วงต่อฟาร์มแล้วละ
เธอเคยโทษลูกสะใภ้นะ ถ้าสองสามีภรรยาเหล่าต้าดูแลแต่แรก หรือเป็นคนอื่นแทนผลลัพธ์อาจดีกว่านี้
ต่อให้ไม่ใช่เถียนเสี่ยวเหอ ความถดถอยของมันก็ขึ้นอยู่กับกาลเวลาเท่านั้น
คนมักจะพูดว่าคนไร้ประโยชน์มักเป็นพวกนักวิชาการ แต่เธอไม่คิดแบบนั้น
ดูจากบ้านซูสิ ทุกคนเรียนหนังสือกันทั้งนั้นเลย หาเงินได้เป็นกอบเป็นกำ!