บทที่ 1061 ได้ยินว่ามีเมืองอาหารว่างมาเปิดแถวมหาวิทยาลัยด้วย
บทที่ 1061 ได้ยินว่ามีเมืองอาหารว่างมาเปิดแถวมหาวิทยาลัยด้วย
ผู้หญิงคนนี้ถือว่าฉลาด
น่าเสียดายที่เอาไปใช้ในทางที่ผิด
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่ยิ่งใหญ่หรอก แค่เอามาใช้กับตัวเองเท่านั้น
หากเอาไปใช้ในทางที่ถูกต้อง ป่านนี้ชีวิตดีไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
เถียนเสี่ยวเหอขบคิด
แล้วจะบอกคนในหมู่บ้านยังไงล่ะ ว่าอยากได้ตำแหน่งพวกนั้น
ต่อให้ชาวบ้านรู้ก็บอกไปตรง ๆ สิว่าผู้ใหญ่บ้านสนับสนุน ยังจะกลัวไม่สำเร็จอีกหรือ?
หรือกลัวไม่ผ่านการเลือกตั้ง?
พอถึงเวลาจริง คะแนนเสียงก็เป็นของตัวเองหมดไม่ใช่หรือไง?
เมื่อเถียนเสี่ยวเหอคิดได้เช่นนั้น พลันอารมณ์ดีขึ้นมาก
แต่ซูฉางจิ่วรู้จักลูกสะใภ้ดี
แค่เธอแววตาล่อกแล่กก็รู้แล้วว่าคิดจะลองดีอยู่
รอบก่อนฟาร์มเพาะพันธุ์ถูกทำลายลงไปแล้ว จะให้สะใภ้ประสบความสำเร็จไม่ได้
“ซูผิงอัน เหล่าจื่อจะบอกอะไรให้แกฟังนะ ดูแลเมียบ้าง อย่าปล่อยให้มันเดินเพ่นพ่านทำตัวสร้างปัญหา”
“อย่าให้รู้นะว่าแอบทำอะไรลับหลัง แล้วอย่าหาว่าเหล่าจื่อไม่เกรงใจพวกแกแล้วกัน!”
ซูฉางจิ่วเอ่ยปากด่าสะใภ้ไม่ได้ พอจะด่าลูกชายก็ไม่มีความกดดันมากพออีก
ทั้งสองคนรู้ว่าพ่อหมายถึงอะไร
แต่ไม่สนใจ
ท่านจะไปทำอะไรได้ ก็ดีแต่พูดไม่ใช่หรือ?
ขอแค่ได้ผลประโยชน์ ต่อให้โดนดุด่าก็ไม่สนใจหรอก
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผ่านมาสองเดือนกว่าแล้ว อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ
เสี่ยวเถียนสวมเสื้อคลุมขนสัตว์ตัวใหม่ เดินไปตามเส้นทางที่มีต้นไม้เรียงราย
ใบไม้สีทองร่วงหล่น ปลิวว่อนไปตามสายลม งดงามมาก!
เธอยืนมอง
ไม่เข้าใจเลยว่ารั้วมหาวิทยาลัยที่แสนกว้างใหญ่ ตนกลับชอบถนนเส้นนี้ที่สุด
“เสี่ยวเถียน หนาวไหมเนี่ย?”
เสียงคุ้นเคยดังขึ้น
เด็กสาวหันไปมองอย่างมีความสุข “พี่รองกลับมาแล้วหรือคะ?”
เห็นบอกว่าจะไปนานหลายเดือน กลายเป็นว่าแค่สามสี่เดือนเอง
“กลับมาแล้วละ!” ซูซื่อเลี่ยงยิ้ม
“เดินทางไปหลายที่เลยหรือคะ?”
“อาจารย์บอกว่าแค่ได้ออกเดินทางก็ถือว่าได้ไปหลายที่แล้วน่ะ”
แกเป็นคนสบาย ๆ ไม่ยึดติดกับกฎเกณฑ์อันเข้มงวดขนาดนั้น
ทั้งยังบอกอีกว่าจิตรกรถูกจำกัดด้วยกรอบของคำว่าชีวิต คงไม่สามารถวาดผลงานที่ดีอย่างแท้จริงออกมาได้!
เพราะได้รับการสั่งสอนทั้งทางคำพูดและการกระทำ ซูซื่อเลี่ยงในตอนนี้จึงไม่เคร่งเครียดกับตัวเองด้วยเช่นกัน
“อิจฉาพี่จริง ๆ ได้เรียนทั้งหนังสือ ได้ทั้งเดินทางไปพร้อม ๆ กันเลย!”
น่าอิจฉาจริง ๆ นะ
เพราะไม่มีใครคิดว่าเด็กศิลป์จะได้ออกเดินทางไปต่างที่ ในขณะที่คนอื่น ๆ เรียนในห้อง
เสี่ยวเถียนนึกเสียใจ รู้แบบนี้เรียนศิลปะเสียก็ดี
เพราะสิ่งที่เรียนอยู่ตอนนี้หรือศิลปะมันก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไร
แล้วทำไมพี่รองที่เดินทางอยู่ตลอดถึงโทรมแบบนั้นล่ะ?
เงินไม่พอกินหรือ?
“พี่ไม่ได้กินข้าวบ้างเลยหรือ สบายดีไหมเนี่ย? ไหนบอกมีเงินไม่ใช่หรือไง รอบหน้าเดี๋ยวหนูให้เงินติดตัวไว้นะ!”
ซูซื่อเลี่ยงคาดไม่ถึงกับสิ่งที่ได้ยิน
พี่ควรให้เงินน้องไม่ใช่หรือ?
แล้วทำไมบ้านเราสลับกับชาวบ้านเขาล่ะ?
ไม่ได้การ ถ้าเอามาต้องโดนพี่น้องที่บ้านหัวเราะเยาะแน่
“ไม่ต้อง ๆ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเงินหรอก ก่อนเดินทางพี่พกไปพอจริง ๆ สาวน้อย พี่รองไม่ได้ขัดสนอย่างที่คิดนะ”
ถึงจะไม่ถือว่าร่ำรวยที่สุดในบ้าน แต่ก็ไม่ได้จนถึงกับไม่มีเงินสักแดงเดียว
“แล้วทำไมสภาพเหมือนขาดสารอาหารเลยล่ะคะ?”
“ครั้งนี้เราไปหวงซานกันน่ะ ปีนขึ้นยอดเขาอยู่สี่ห้ารอบได้มั้ง ไปแต่ละทีก็อยู่ค้างสี่ห้าวัน บนนั้นไม่มีอะไรนอกจากอาหารแห้ง”
เป็นการบอกตรง ๆ ว่าเงินไม่มีประโยชน์ในสถานการณ์เหล่านั้นเลย
ชีวิตบนยอดเขาหวงซานเลยนะ!
ก็ไม่แปลกใจเท่าไร
และในอีกสิบปีข้างหน้า ขอแค่มีเงินไม่ว่าจะอยู่บนยอดเขาก็ไม่เดือดร้อนเรื่องอาหารการกินแล้วละ
บนเขาตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา สิ่งอำนวยความสะดวกก็ยังมีไม่มากพอ
จะจัดหาอะไรทีก็ต้องให้คนไปเอาให้ เดาได้เลยว่ามันลำบากแค่ไหน
“เดี๋ยวหนูพาไปกินของอร่อย ๆ นะ!” เสี่ยวเถียนคว้าแขนแล้วพูดอย่างกระตือรือร้น
ฝ่ายพี่ชายมองน้องด้วยความเอ็นดู
เด็กคนนี้ทำตัวเด็ดเดี่ยวเสมอ แบบนี้เขาควรพูดว่าอะไรดีล่ะ?
ตอนนั้นเองที่ฝ่ายน้องนึกขึ้นได้ว่าพี่ชายมีคนรักแล้ว อุตส่าห์กลับมาทั้งทีเขาน่าจะอยู่กับคนรักตัวเองสิ
ไม่ควรมาเป็นก.ข.ค.พวกเขาหรือเปล่า?
หรือจะชวนสองคนนี้ไปกินด้วยกันดี?
ซูซื่อเลี่ยงเห็นน้องที่ลาก ๆ ตนอยู่ จู่ ๆ ก็หยุดฝีเท้า จึงมองด้วยความสับสน
“ไม่เดินต่อหรือ? หรือเกิดเสียใจที่จะชวนพี่ไปแล้ว?” ชายหนุ่มแกล้ง
“พี่รองเสียใจเหลือเกิน น่าสงสารจริง ๆ ที่อุตส่าห์เอาของขวัญมาฝากน้องด้วย!”
เสี่ยวเถียนจะมองไม่ออกได้ยังไงว่าพี่ชายกำลังหยอกล้อ
คงจะแปลกถ้าเธอยอมให้เขาแกล้ง
“หนูกำลังคิดอยู่ว่าจะชวนว่าที่พี่สะใภ้มาด้วยดีหรือเปล่าค่ะ! ใคร ๆ ต่างก็บอกไม่เจอวันเดียวนานเหมือนสามปี พี่รองไปนานขนาดนี้ ว่าที่พี่สะใภ้คงคิดถึงแย่”
ซูซื่อเลี่ยงมองด้วยสายตาโกรธ ๆ เจ้าเด็กคนนี้นับวันยิ่งร้ายนักนะ ขนาดพี่ตัวเองยังไม่เว้น
“เย็นนี้เจี้ยนหงมีธุระน่ะ”
เสี่ยวเถียนแกล้งเอาใจ “เจอกันแล้วหรือเนี่ย พอมีภรรยาก็คงไม่อยากได้น้องแล้วมั้ง เสียใจจังเลย!”
ชายหนุ่มยิ้ม คึกขนาดนี้คงสบายดีสินะ
อันที่จริง เขาดีใจที่เห็นน้องมีชีวิตชีวาดี
“ไปกัน เดี๋ยวพี่รองเลี้ยงเอง ได้ยินว่าแถวมหาวิทยาลัยมีร้านชื่อเมืองอาหารว่างมาเกิดด้วย ขายดีเชียวนะ ไปลองกันไหม?”
เสี่ยวเถียนมองพี่ชายด้วยสีหน้าแปลก ๆ
ซูซื่อเลี่ยงรู้สึกขัดเขิน
จึงยกมือขึ้นลูบหน้า “มีอะไรติดหน้าพี่หรือ?”
เด็กสาวถอนหายใจ “ถ้าพี่อยากไปก็ไปกันค่ะ!”
หวังว่าจะไม่ตกใจจนอ้าปากค้างนะ
ชายหนุ่มรู้สึกแปลก ๆ แต่ไม่รู้แปลกที่ตรงไหน
สองพี่น้องเดินทางไปยังเมืองอาหารว่างอย่างเฮฮา
ร้านแห่งนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยจิ่งเฉิง ใช้เวลาเดินประมาณยี่สิบนาที
ใช้เวลาไม่นานยี่สิบนาทีที่ว่าผ่านไปในพริบตา
เราเดินทางมาถึงจุดหมายแล้ว
ตอนมองบริเวณหน้าร้าน ซูซื่อเลี่ยงพลันสัมผัสได้ถึงคุณภาพ
แต่ทำไมตัวอักษรบนป้ายดูคุ้น ๆ นะ? ลายมือเหมือนคนรู้จักเลย