บทที่ 1099 บางครั้งก็ต้องโอ้อวดกันบ้าง
บทที่ 1099 บางครั้งก็ต้องโอ้อวดกันบ้าง
เซี่ยซูเสียนขยิบตาให้จ้าวอวี้เหลียน
แม้จะอาศัยอยู่ลี่เฉิงมาหลายปีแล้ว แต่เธอก็รู้จักห้องเรียนพิเศษของโรงเรียนมัธยมอันดับ 7 ที่ครั้งหนึ่งเคยโด่งดังนะ
ได้ยินว่าสอบเข้ายากมาก ต่อให้เข้าได้ก็ใช่ว่าจะทนไหว
แล้วเด็กตรงหน้าก็เรียนอยู่ที่นั่น
รู้เลยว่าเก่งจริง
ตนไม่นึกสงสัยหรอกว่าเด็กโกหก
อีกอย่างเราไม่รู้จักซูหม่านซิ่วดีนัก รู้แค่ว่ามาจากชนบทฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือเท่านั้น
ไหนจะเรื่องหนังสือที่เจ้าตัวเขียนออกมาแล้วขายดิบขายดีนั่นอีก ครอบครัวของเธอย่อมไม่ใช่ตระกูลเกษตรกรธรรมดา ๆ แน่ อาจจะเป็นตระกูลที่ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยอย่างที่คนเฒ่าคนแก่เขาว่า
ไม่อย่างนั้นจะอธิบายคนแบบซูหม่านซิ่วผู้มาจากชนบทและอ่านออกเขียนได้ ได้ยังไงล่ะ?
งั้นคงไม่แปลกใจหากหลานสาวเรียนห้องพิเศษได้ แถมยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยอีก
เซี่ยซูเสียนไม่ได้คิดออกแค่วันนี้นะ แต่สรุปออกมาจากข้อสังเกตที่คอยมองมาโดยตลอดน่ะ
เหตุผลอีกส่วนคือเฉินจื่ออันเป็นถึงคนใหญ่คนโต แล้วจะเอาชาวนาไร้ประโยชน์มาเป็นภรรยาได้ยังไง?
เซี่ยซูเสียนคิดแบบนี้ แต่จ้าวอวี้เหลียนไม่รู้
เธอเติบโตมาในเมือง พ่อแม่มีงานดี ๆ ทำ และดูแคลนซูหม่านซิ่วที่พ่อแม่เป็นชาวนา
เพราะแบบนั้นเวลาพูดจึงมีความโอหังสูง
ต่อให้ซูเสี่ยวเถียนบอกว่าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี คิดว่าสองอาหลานทำไปเพราะจะโอ้อวดเท่านั้น
แต่จ้าวอวี้เหลียนเป็นพวกถือตน และไม่ได้โง่
เห็นสายตาที่ขยิบมาให้ก็รู้ทันที
“จริงหรือเนี่ย ไม่อยากจะเชื่อเลย ถึงไม่รู้ว่าห้องเรียนพิเศษของโรงเรียนมัธยมอันดกับ 7 เป็นยังไง แต่เคยได้ยินคนพูดถึงมันอยู่นะ ใคร ๆ ก็ว่ามีแต่อัจฉริยะทั้งนั้น”
ระหว่างพูดก็คอยสังเกตสีหน้าทั้งสองคนไปด้วย
ซึ่งไม่ได้มีอะไรผิดแผกไป
เพราะพูดความจริง ไม่มีอะไรให้ต้องกลัว
“พี่สะใภ้ ฉันต้องพาเสี่ยวเถียนไปซื้อกับข้าวที่ตลาดด้วยค่ะ คงอยู่คุยนานไม่ได้”
ซูหม่านซิ่วรับมือกับคนพวกนี้ไม่เก่งจึงบอกลาโดยตรง
“อ้าวหรือ เราก็จะไปเหมือนกันจ้ะ ไม่งั้นไปด้วยกันเลยซี่!”
ทว่าไม่ทันให้เซี่ยซูเสียนเอ่ยต่อ คนข้างกายก็พูดขึ้นมาก่อน
ซูเสี่ยวเถียนขมวดคิ้ว เธอไม่ชอบจ้าวอวี้เหลียนเลย
สายตามีแต่ความรังเกียจ ดูถูกดูแคลนกัน แต่ยังแสร้งตีสนิทไม่ว่าจะมองยังไงก็ขัดลูกตาเหลือเกิน
ในที่สุดทั้งสี่ได้เดินทางไปตลาด
มันตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่พักอาศัยของเรามากนัก ใช้เวลาสิบนาทีก็ถึง
ฝ่ายอาใหญ่คิดว่าหลานอาจไม่รู้จักอาหารทะเล คงเลือกสด ๆ ไม่ได้
จึงตั้งใจค่อย ๆ บอก
แต่เจ้าตัวกลับเลือกด้วยตนเอง แล้วต่างก็เป็นของดี ๆ ทั้งนั้น
หากไม่รู้จักกันคงคิดว่าซูเสี่ยวเถียนเป็นลูกค้าประจำในตลาดแล้วละ
จ้าวอวี้เหลียนที่กำลังรอชมเรื่องขบขันเป็นอันต้องประหลาดใจ ซูเสี่ยวเถียนที่ตนคิดว่าไม่น่ารู้จักอาหารทะเลกลับพูดได้คล่องแคล่ว
ไม่ว่าจะเป็นปลา กุ้ง หรือหอย เด็กสาวล้วนบอกได้อย่างแม่นยำและถูกต้องทั้งหมด
ขนาดคนขายยังเอ่ยชมไม่หยุดปาก
น่าเสียดายที่พวกเขาพูดภาษาถิ่น ซูเสี่ยวเถียนจึงทำได้แค่ฟังแต่ไม่ได้ตอบ
“หม่านซิ่ว ครอบครัวเธอไม่ได้มาจากตะวันตกเฉียงเหนือหรือจ๊ะ? เสี่ยวเถียนเหมือนโตมากับริมทะเลเลย”
เซี่ยซูเสียนสงสัย ขณะมองเด็กคนนั้นด้วยสายตาระมัดระวัง
ตระกูลซูเป็นครอบครัวแบบไหนกันแน่?
“เสี่ยวเถียนเป็นเด็กที่มีความรู้กว้างขวางค่ะ”
ซูหม่านซิ่วอธิบายได้เท่านี้ เพราะแม้แต่ตนก็ยังไม่ทราบเช่นกัน
ทุกคนรีบซื้อวัตถุดิบก่อนเดินทางกลับ
ซูเสี่ยวเถียนไม่อยากเสวนากับจ้าวอวี้เหลียนสักนิด เลยหันไปพูดคุยเรื่องอาหารเย็นกับผู้เป็นอาแทน
อาหารบางเมนูก็รู้จัก แต่บางเมนูก็ไม่
ทว่าซูหม่านซิ่วกลับตั้งใจฟัง และอยากลองทำดู
ส่วนอีกสองคนที่ฟังอยู่ต่างก็ได้แต่ทำหน้าสับสน
เด็กคนนี้รู้เยอะได้อย่างไร?
หรือเพราะมีความรู้กว้างขวางจริง ๆ?
“เสี่ยวเถียน ทำอาหารเก่งหรือจ๊ะ?”
เพราะได้ยินจ้าวอวี้เหลียนคุยด้วยจึงทำได้แค่ตอบกลับไป “หนูทำไม่เป็นหรอกค่ะคุณป้า”
ฝ่ายคนอายุมากกว่า จึงจำใจตอบ
“อย่าหาว่าป้าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ อายุอานามเธอก็ไม่น้อยแล้ว อีกสองปีคงถึงวัยแต่งงาน ถ้าทำอาหารไม่เป็นครอบครัวสามีเขาไม่ชอบหรอกนะ”
มุมปากเด็กสาวกระตุก พูดจาแบบนี้หมายความว่ายังไง?
เพราะทำอาหารไม่เป็น บ้านสามีก็เลยไม่ชอบ?
“ถึงฟังดูมีเหตุผลแต่ก็ไม่ถูกทั้งหมดนะคะ ถ้าบ้านสามีไม่ชอบสะใภ้เพราะทำอาหารไม่เป็น งั้นก็จ้างแม่บ้านมาทำแทนสิคะ!”
จ้าวอวี้เหลียนไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะสวนกลับเช่นนี้
สีหน้าเธอจึงดูน่าเกลียดทันที
หาแม่บ้านมาทำแทนหมายความว่ายังไง?
ถึงลูกชายเธอจะไม่ถึงว่ายอดเยี่ยมที่สุด แต่ก็ยังเป็นคนเก่ง มีงานดี ๆ ทำนะ
นังเด็กดีพูดจาไม่ได้เรื่อง คนน่ารำคาญแบบนี้รังแต่จะทำให้รังเกียจเสียจริง
ต่อให้ไม่พอใจก็แสดงออกมาต่อหน้าซูหม่านซิ่วไม่ได้ จึงทำได้แค่กดมันเอาไว้
บรรยากาศค่อนข้างน่าอึดอัด
เซี่ยซูเสียนยิ้ม “เสี่ยวเถียนพูดถูกนะ ลูกสาวไม่จำเป็นต้องอาหารเป็นเพื่อให้ถูกใจบ้านสามีหรอก”
“แม้เสี่ยวเถียนจะบอกว่าทำไม่เป็นแต่กลับมีความคิดดี ๆ เพียบเลย เราเอาวัตถุดิบพวกนี้มาแปรรูปก็ดีเหมือนกันนะ!”
เซี่ยซูเสียนอยากรู้จริง ๆ ว่าทำไมเจ้าตัวถึงบอกทำไม่เป็นทั้ง ๆ ที่พูดจาได้ฉะฉาน
บริเวณที่พักอาศัยของเรา คนส่วนใหญ่ต่างก็ไม่ใช่คนในท้องที่อยู่แล้ว ตั้งแต่มาอยู่ลี่เฉิงก็ทำอาหารทะเลตามท้องถิ่นของมัน อร่อยนะ แล้วก็ทำแบบนี้มาตลอด
แต่ฟังจากวิธีที่เด็กสาวนำเสนอกลับดูดีกว่าไม่น้อย ถ้าทำแบบนี้คงมีอาหารทะเลหลากหลายรสชาติมากขึ้น
เซี่ยซูเสียนกะว่ากลับบ้านไปจะลองดูสักหน่อยว่าจะได้ชิมอาหารทะเลสด ๆ บ้างหรือเปล่า
“ถึงหนูจะพูดแบบนั้น แต่ฝีมือจริง ๆ ไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอกค่ะ”
เธอทำอาหารกับคุณย่าและแม่มาตลอด ได้พวกท่านสอนไว้ด้วยต่อให้ไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้เลยก็ตาม รสชาติก็ไม่ได้แย่หรอก
แต่ไม่เท่าที่คุณย่าทำเนี่ยสิ
ที่บอกว่าทำไม่เป็นก็แค่เจียมตัวเท่านั้น
โชคดีที่ระยะทางค่อนข้างสั้น เรากลับไปถึงอย่างว่องไว
พื้นที่พักอาศัยซึ่งทางรัฐบาลจัดไว้ให้ มีตึกห้าชั้นทั้งหมดสิบหลัง
ครอบครัวเฉินจื่ออันพักอยู่ตึก 2 ชั้นสาม ส่วนเซี่ยซูเสียนและจ้าวอวี้เหลียนพักอยู่ชั้นสองในตึกฝั่งตรงข้าม
ทั้งสองตึกหันหน้าชนกัน
หลังจากร่ำลา สองอาหลานพากันกลับบ้าน
“อาใหญ่ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่มีคนรังแกด้วยใช่ไหมคะ?”
ซูหม่านซิ่วหัวเราะเมื่อเห็นท่าทางจริงจังของหลาน
“สาวน้อย คิดมากไปแล้วนะ”
“หนูมองออกนะ”
“ถ้าเมื่อก่อนก็ไม่ได้ดีแบบนี้หรอก แต่ตอนนี้อาเขยหนูได้เป็นผู้นำแล้วไง คนอื่น ๆ เลยไม่กล้าดูถูกอาแล้วละ”
“หนูว่าบางครั้งเราก็ควรถ่อมตัวเฉย ๆ บางครั้งก็ต้องโอ้อวดสักหน่อยนะ”
ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมา ทำให้อาใหญ่เป็นคนถ่อมตัวมาโดยตลอด และไม่อยากเป็นที่สนใจผู้อื่น
ฝ่ายผู้ใหญ่ได้ยินจึงแกล้งหยอกว่า “อายุแค่นี้รู้เยอะเชียวนะ!”