คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1447 ส่วนลึกของหุบเหว
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งกาน้ำชา ลำแสงสีโลหิตบนไข่มุกกลมๆ พลันหดเล็กลง ฉับพลันนั้นก็สั่นเทาแล้วมีเสียงแหบแห้งของฮูหยินชราดังขึ้น
“ตี่เสี่ย มีธุระอันใดหรือ ไม่รู้ว่าข้ากำลังติดธุระเรื่องแผนการใหญ่ของพวกเราหรือ?”
เจ้าของน้ำเสียงดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยใจพอที่คนสวมชุดสีโลหิตมาหาเขา
“หึๆ หลังจากที่พวกเราวางแผนกันมันก็ผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้ว ครานี้นานๆ ตาเฒ่าจะติดต่อสหายมาสักที จะคุยด้วยสักหน่อยมิได้เลยหรือ?” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตกลับหัวเราะต่ำๆ ออกมาขณะเอ่ย
“อย่าอ้อมค้อม เกิดอะไรขึ้นกันแน่ พูดมาตามตรงเถิด มิเช่นนั้นตัวประหลาดเฒ่าซิวจะตัดเคล็ดวิชาลับซะ” ฮูหยินชรามีน้ำเสียงเคร่งขรึม ท่าทางหมดความอดทน
“แผนการแยกกันจัดการที่พวกเราวางกันครั้งที่แล้ว มู่ชิงรวบรวมของสูบโลหิตบวงสรวง หกขารวบรวมพลังทมิฬ ตาเฒ่ารับหน้าที่หลอมหุ่นเชิด สหายจำต้องเลี้ยงดูภูตทมิฬเกราะจันทราแปดพันตนที่สำคัญที่สุด ไม่ทราบว่าสหายไปถึงขั้นไหนแล้ว” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตกลับไม่ใส่ใจเลยสักนิด พลางเอ่ยถามด้วยสีหน้าราบเรียบ
“หึๆ รู้อยู่แล้วยังจะมาถาม! พวกเจ้าวางกำลังไว้ในลูกน้องของข้าตั้งไม่รู้เท่าไหร่ พัฒนาไปถึงไหนแล้วจะไม่รู้หรือ?” ฮูหยินชราเงียบขรึมไปเล็กน้อย แล้วตอบกลับอย่างเย็นชา
“ฮ่าๆ ก็เหมือนกันนั่นแหล่ะ สถานที่ที่ข้าหลอมหุ่นเชิดนั้นก็มีสหายใต้อาณัติเจ้าปรากฎตัวขึ้นเช่นกันมิใช่หรือ แต่ตอนนี้ข้าอยากได้ยินจากเจ้าด้วยตนเอง” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตหัวเราะร่อขณะเอ่ย
“นี่ก็ไม่ใช่ความลับอะไร มีอะไรที่พูดไม่ได้ ภูตทมิฬเกราะจันทราแปดพันตนยังพอว่า ขอแค่หกขาหาไอวิญญาณทมิฬมาเลี้ยงดูพวกมันอย่างเพียงพอ ก็เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วแล้ว ปัญหาเดียวก็คือราชันย์ภูตเกราะจันทราแปดตนที่เป็นผู้บัญชาการผู้ทมิฬเหล่านั้น จำต้องใช้จิตวิญญาณบริสุทธิ์ที่มีจิตสัมผัสแข็งแกร่งถึงจะหลอมขึ้นได้ จิตวิญญาณบริสุทธิ์ระดับนั้น ไม่ใช่สิ่งที่หาได้ง่ายๆ” ฮูหยินชราตอบกลับอย่างราบเรียบ
“อ๋อ ไม่ทราบว่าเจ้าหลอมราชันย์ภูตทั้งแปดไปได้กี่ตนแล้ว” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตซักถามอย่างรู้สึกสนอกสนใจ
“หลอมได้สามตน! อัตราการหลอมสำเร็จมันต่ำไปหน่อย” ฮูหยินมีน้ำเสียงเคร่งขรึม ท่าทางขัดเขินเล็กน้อย
“หึๆ ก็นี่แหล่ะ ตาเฒ่าถึงได้ติดต่อมาหาสหาย เพราะอยากจะเสนอจิตวิญญาณบริสุทธิ์ชั้นเยี่ยมให้” ฮูหยินชราพลันตะลึงงัน แล้วรู้สึกประหลาดใจไปเล็กน้อย
“ข้าไม่ใช่หกขาและเจ้า จึงไม่เชี่ยวชาญด้านทางสายภูต แต่ข้าเพิ่งพบคนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินคนหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะสัมผัสจิตแยกของข้าที่สิงอยู่บนหุ่นเชิดโคลนได้ แม้ว่าจะเป็นแค่จิตสัมผัสส่วนเล็กๆ แต่จิตสัมผัสของคนผู้นี้จะแข็งแกร่งขนาดไหนไม่ต้องบอกก็รู้แล้ว น่าจะเพียงพอให้เจ้าเอาไปหลอมเป็นราชันย์ภูตสินะ” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตเอ่ยอย่างราบเรียบ
“คนของเผ่าวิญญาณเหาะเหิน หรือว่าถึงวันทดสอบของเผ่านั้นแล้ว ในเมื่อพบจิตสัมผัสของเจ้าได้ หรือว่าจะเป็นตาเฒ่าของพวกนั้นที่ลงมือเข้ามาเอง” น้ำเสียงของฮูหยินชราแปร่งๆ แล้วพลันเคร่งขรึมขึ้น
“วางใจ แค่ระดับแม่ทัพวิญญาณคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ยุ่งยากอะไร” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
“ระดับแม่ทัพวิญญาณ เช่นนั้นก็ไม่เป็นไรแล้ว แต่พบจิตสัมผัสของเจ้าได้ จิตสัมผัสต้องแข็งแกร่งมาก เยี่ยม ของขวัญนี้ข้าขอรับไว้ แต่เจ้าคงไม่บอกข้าเปล่าๆ สินะ อยากให้ข้าแลกกับอะไรล่ะ?” ฮูหยินชราขบคิดไปเล็กน้อย แล้วตอบกลับเช่นนี้ออกมา
“หึๆ ตาเฒ่าชอบคบค้ากับคนที่เข้าใจอะไรง่ายๆ อย่างสหายจริงๆ ง่ายมาก ขอแค่ตาเฒ่ายอมบอกข่าวของปลาโลหิตหมื่นปีตัวนั้นก็พอแล้ว หากให้ข้าลงมือช่วยเจ้าจับมันมาส่งให้เจ้า ก็ต้องเป็นปลาโลหิตสองตัว” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตกลอกตาไปมา แล้วเอ่ยอย่างละโมบ
“เหอะ เจ้าคิดว่าปลาโลหิตหมื่นปีคือสิ่งใดกัน วิญญาณทมิฬดวงหนึ่งจะแลกกับสองตัว ตอนนี้ข้าไม่มีเวลา คำเดียว เจ้าเอาวิญญาณบริสุทธิ์นั้นมาส่งให้ข้า ข้าจะมอบปลาโลหิตหมื่นปีให้เจ้าตัวหนึ่ง ก็นับว่าเสียเปรียบเจ้าแล้ว” ฮูหยินแค่นเสียงด้วยความเย็นชา แล้วเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ
“ตกลง ตัวนึงก็ตัวนึง อีกสิบวันข้าจะนำจิตวิญญาณของคนผู้นี้มามอบให้” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตตอบรับอย่างเต็มใจ เห็นได้ชัดว่าคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ได้เปรียบมาก
“ใช่แล้ว การทดสอบของบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าวิญญาณเหาะเหิน มู่ชิงและหกขาล้วนไม่มีความเห็นอะไร สังหารพวกมันให้หมด หรือว่าทำเหมือนแต่ก่อน ให้พวกมันสร้างความโกลาหลอยู่ที่สามชั้นแรก พวกมันไม่มีทางทำลายแผนของพวกเราได้หรอก” จู่ๆ ฮูหยินชราพลันเอ่ยถามขึ้น
“เรื่องใหญ่กำลังอยู่ในช่วงสำคัญ ไม่อาจดึงความสนใจจากเผ่าวิญญาณเหาะเหินไป ขอแค่พวกมันไม่รบกวนพวกเรา ไม่เข้ามาในชั้นสี่ ก็แล้วแต่พวกมันก็แล้วกัน เรื่องนี้คิดดูแล้วมู่ชิงและหกขาคงเข้าใจ” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตตอบกลับอย่างไม่ต้องคิด
“เอาตามที่เจ้าว่า!”
หลังจากเอ่ยอย่างราบเรียบ เสียงของฮูหยินชราที่ไขมุกกลมๆ ก็เงียบหายไป ส่วนไข่มุกนั้นกลับหยุดหมุนวน ชั่วพริบตาลำแสงสีแดงที่ผิวของมันก็หายวับไปเช่นกัน
มือหนึ่งตะปบออกไป ชั่วพริบตาไข่มุกกลมๆ ก็บินเข้ามาอยู่ในมือ จากนั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับ
“แม่ทัพวิญญาณระดับสูงคนหนึ่งบวกกับแม่ทัพวิญญาณระดับต้นสองคน หุ่นเชิดไม้โลหิตระดับผู้บัญชาการวิญญาณขั้นต้นสามตน น่าจะเหลือเฟือ” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตเอ่ยพึมพำ พลางสะบัดแขนเสื้อ
เสียง “ฟู่ๆๆ” ดังขึ้น เงาสีโลหิตสามสายบินออกมาจากแขนเสื้อ หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ ก็ร่อนลงบนพื้นดิน
ท่ามกลางลำแสงสีโลหิตที่มืดมิด เผยเงาร่างรางเลือนประหลาดๆ สามร่างออกมา พลางหมอบฟุบอยู่บนพื้นไม่เคลื่อนไหว
ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตแววตาเปล่งแสงสีโลหิตสว่างวาบ หว่างคิ้วมีเส้นไหมสีโลหิตของตาเนื้อสามสายที่ยากจะสัมผัสได้ออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในร่างของเงาโลหิตทั้งสาม
ชั่วขณะนั้นเงาร่างพลันเงยหน้าขึ้น แววตามีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นในเวลาเดียวกัน
“ไป สังหารมันสามคนซะ เอาจิตวิญญาณของมันกลับมา!” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตชี้ไปทางรูปวาดบนกระจกทองแดง พลางเอ่ยออกมาอย่างไร้ความรู้สึก
ลำแสงสีโลหิตสว่างวาบ เงาสีโลหิตทั้งสามสายกลายเป็นสายรุ้งสีโลหิตสามสายหมุนวนโคจรอยู่ใกล้ๆ แล้วจมหายเข้าไปในกำแพงบริเวณนั้นอย่างไร้ร่องรอย
ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตถึงได้พิงเก้าอี้ไม้ หลับตาทั้งสองข้างลง ราวกับว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้า เป็นแค่เรื่องเล็กๆ สำหรับเขาเท่านั้น
……
ใจกลางของเทือกเขาลึกลับชั้นหนึ่ง บนแท่นบวงสรวงสูงร้อยจั้งเศษบนยอดเขายักษ์ที่มีไอทมิฬสีเทาปกคลุมอยู่ ด้านบนมีลูกตายักษ์สีเทาขาวถูกบวงสรวงอยู่บนแท่นหินสีดำ ขนาดเท่าศีรษะและเต็มไปด้วยเส้นไหมโลหิต
รูม่านตาของลูกตานั้นพ่นเส้นไหมสีเทาจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา เริงระบำไปรอบทิศ พลางทยอยกันดูดไอสีเทารอบๆ ไป
ตรงด้านล่างแท่นบูชาคนลึกลับร่างกายสูงใหญ่ สวมผ้าคลุมสีดำยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
……
ในวิหารยักษ์ที่ถูกปกคลุมด้วยลำแสงสีเขียวที่ชั้นหกของหุบเหว หญิงงามเรือนผมสีขาวราวกับหิมะ ใบหน้าไร้สีโลหิต ยืนอยู่ริมบึงน้ำสีดำขนาดร้อยจั้งเศษแห่งหนึ่ง กำลังจับจ้องทุกอย่างในบึงน้ำอย่างเย็นชา
ข้างกายนางมีสตรีสวมชุดสีดำอายุยี่สิบปีเศษยืนอยู่สองคน
หญิงสาวทั้งสองล้วนมีสีหน้าซีดขาวเช่นกัน แต่คนหนึ่งกลับมีร่างกายบอบบาง ใบหน้ากลมมนอ่อนหวาน เผยความน่าหลงใหลออกมา ให้ความรู้สึกที่บุรุษอยากจะเข้ามาตะกองกอดเอาไว้ อีกคนกลับร่างอรชนอ้อนแอ้น ผิวสีขาวซีด แต่ท่าทีดูเย็นชามาก
รอบๆ บึงน้ำมีเขตอาคมน้อยใหญ่วางอยู่เต็มไปหมด อักขระสีดำสนิททะลักออกมาลอยอยู่เหนือบึงน้ำไม่หยุด
ใจกลางของบึงน้ำมีเงาร่างลางเลือนของคนสวมชุดเกราะสีดำอยู่สองสามคน กำลังลอยอยู่กลางบึงน้ำสีดำไม่ขยับเขยื้อน
อักขระสีดำเหล่านั้นแยกออกเป็นกลุ่มๆ เมื่อเข้าใกล้เงาร่างคนเหล่านั้น ก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในเกราะสีดำของเงาร่างคน ชั่วพริบตาก็หายวับไป
แต่ตั้งแต่ต้นจนจบเงาร่างคนก็ไม่ได้เคลื่อนไหว ราวกับว่าสิ้นลมไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
หญิงงามผมขาวเห็นเช่นนั้น ก็มีสีหน้าเคร่งขรึม หัวคิ้วๆ ค่อยๆ ขมวดมุ่นเข้าหากัน
“ใช้เพลิงยมโลก!” หญิงงามผมขาวเอ่ยปากอย่างเย็นชา น้ำเสียงแหบแห้งเป็นพิเศษ เห็นได้ชัดว่าคือฮูหยินชราที่พูดคุยกับผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตเมื่อครู่
“เจ้าค่ะ!” หญิงงามทั้งสองตอบรับพร้อมกัน จากนั้นก็พากันก้าวมาข้างหน้า ลำแสงวิญญาณเเปล่งแสงสว่างจ้า คนหนึ่งมีขวดเล็กๆ สีดำปรากฎขึ้น อีกคนหนึ่งกลับมีพัดใบลานสีดำปรากฎขึ้น
ภายใต้สีหน้าเคร่งขรึมนั้น ทั้งสองชูสมบัติในมือขึ้นพร้อมกัน
เสียงร้องประหลาดๆ ดังขึ้น มังกรวารีเพลิงที่มีเปลวเพลิงสีดำทะลักออกมาจากร่างบินออกมาจากปากของน้ำเต้า จากนั้นก็กระโจนไปยังบึงน้ำ
ชั่วขณะนั้นทั้งบึงน้ำก็มีเปลวเพลิงสีดำปะทุขึ้น อีกด้านหนึ่งหญิงสาวตัวเล็กก็โบกพัดใบลานที่มีอักขระเรียงรายอยู่เต็มไปหมดอย่างสุดแรง
เปลวเพลิงสีดำทะลักออกมาจากพัดในทันที แล้วกระโจนไปยังบึงน้ำ
เปลวเพลิงสองชนิดดูเหมือนจะมีที่มาจากแหล่งเดียวกัน เมื่อผสมเข้าด้วยกันเปลวเพลิงสีดำก็ขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า ห่อหุ้มเงาร่างคนที่ลางเลือนทั้งหมดเอาไว้ข้างใน
หญิงสาวผมขาวเห็นเช่นนั้น สีหน้ากลับไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ในดวงตาคู่งามกลับเผยแววรอคอยออกมา
……
แน่นอนว่าหานลี่ที่บินอยู่ในชั้นสองย่อมไม่รู้ว่าตนเองถูกสิ่งที่น่ากลัวบางอย่างจับจ้องอยู่
แต่หลังจากที่เขารู้สึกถึงไอเย็นเยียบแปลกประหลาดเมื่อครู่นั้น เขาก็ระมัดระวังตัวขึ้นเป็นอย่างมาก
พาเหลยหลันและไป๋ปี้บินไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็วไปพลาง ใช้เนตรวิญญาณสำรวจสถานการณ์รอบๆ ไปพลางอย่างไม่เสียดายพลังปราณ
ผลของการกระทำเช่นนี้ทำให้หานลี่พบปีศาจระดับกลางก่อนแล้วจึงอ้อมผ่านไป หลบหลีกความยุ่งยากได้อย่างง่ายดาย
ส่วนอสูรธรรมดาๆ นั้นก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้ในชั้นที่สองอยู่แล้ว แน่นอนว่าจึงไม่พบเจออีก
เพราะก่อนที่จะเข้ามาที่ชั้นสองเหลยหลันและพวกทั้งสองนั้นสูญเสียพลังปราณไปไม่น้อย ดังนั้นความเร็วที่ทั้งสามใช้บินจึงไม่นับว่ารวดเร็วนัก ทำให้ทั้งสองเดินทางไปพลางดูดซับไอวิญญาณจากศิลาวิญญาณในมือไปพลาง เพื่อชดเชยพลังยุทธ์ที่เสียไป
หลังจากบินมาได้ครึ่งวัน พวกเขาก็ยังไม่พบปัญหาใดๆ
จนถึงวันที่สองเหลยหลันและพวกทั้งสองฟื้นฟูพลังลมปราณกลับมาเต็มเปี่ยมแล้ว ก็ยังคงไม่พบอะไร หานลี่จึงตัดสินใจหยุดใช้เนตรวิญญาณ
ทั้งสามใช้ความเร็วธรรมดาๆ เข้าไปในเทือกเขาสีเขียวเข้ม
บ่ายของวันที่สองหลังจากที่พวกเขาบินบนอยู่รอบๆ ภูเขายักษ์แล้ว กลับไม่พบความผิดปกติใดๆ
บนท้องฟ้าที่อยู่ตรงข้ามนั้น อยู่ๆ ก็มีลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ จากนั้นเสียงร้องแหลมๆ พลันดังขึ้น ลำแสงมรกตสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฎขึ้น จากนั้นก็พุ่งมายังที่พวกเขาอยู่
ครู่ต่อมาด้านหลังลำแสงมรกตก็มีลำแสงประหลาดเปล่งประกายสว่างวาบ ลำสแงสีเหลืองสามกลุ่มปรากฎขึ้น ไล่ตามลำแสงสีมรกตไปด้วยความเร็วที่มิได้ด้อยไปกว่ากันนัก
ลำแสงหลีกหนีเหล่านี้ปรากฎตัวอย่างแปลกประหลาดเช่นนี้ แม้ว่าหานลี่และพวกทั้งสามจะอยากหลบหลีก แต่ก็ไม่อาจทำได้
หานลี่พลันขมวดคิ้ว พาคนที่เหลือทั้งสองหยุดลำแสงหลีกหนีลง