คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1459 โลหิตอัสนีดาวเหนือ
ขณะที่มองดูปีศาจร่างมนุษย์หัวมังกรที่คุ้นเคยตรงหน้า หานลี่ก็รู้สึกเกินความคาดหมายมาก พลันรู้สึกกังขา
ปีศาจชนิดนี้ เขาไม่ได้เจอเป็นครั้งแรก
มังกรโลหิตแปลงกายตัวหนึ่งที่เขาสังหารในมหาสมุทรดาวคลั่งที่แดนมนุษย์เมื่อปีนั้น ก็มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับปีศาจที่อยู่ตรงหน้าไม่มีผิดเพี้ยน แต่มังกรโลหิตที่อยู่ตรงหน้านี้ย่อมไม่ใช่ปีศาจอสูรระดับแปดอยู่แล้ว แต่เป็นระดับหลอมสูญขั้นสูงที่น่าสะพรึงกลัว
จากการประมือเล็กน้อยเมื่อครู่นี้ จึงพอรู้ว่าอิทธิฤทธิ์ของปีศาจตนนี้น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่ปีศาจระดับหลอมสูญทั่วไปอย่างแน่นอน
ขณะที่หานลี่โคจรความคิดอย่างรวดเร็ว ก็แอบไตร่ตรองว่าจะรับมืออย่างไรกับศัตรูตัวฉกาจที่อยู่ตรงหน้า
“คิดไม่ถึงว่าผู้ที่มีระดับแม่ทัพวิญญาณคนหนึ่งเกือบจะทำร้ายข้าได้ ช่างน่าแปลกจริงๆ! ไม่แปลกใจเลยที่ก่อนหน้าเจ้านายจะกำชับข้าเช่นนั้น” มังกรโลหิตจ้องมองหานลี่ พลางกล่าวด้วยท่าทางน่าสะพรึงกลัว
“เจ้านาย!” หานลี่ได้ยินวาจานี้ พลันรู้สึกใจหายวาบ
มังกรโลหิตที่อยู่ตรงหน้ามีพลังยุทธ์อยู่ในระดับหลอมสูญขั้นสูงแล้ว เช่นนั้นเจ้านายของมันจะไม่ใช่ปีศาจยักษ์ใหญ่ระดับผสานอินทรีย์เชียวหรือ ตัวตนระดับนี้ในเหวพุสธา จู่ๆ จะมาจับตาดูตนทำไม เขาเพิ่งจะเคยมาที่นี่เป็นครั้งเอง
หานลี่รู้สึกฉงนใจ สีหน้าพลันเคร่งขรึมไม่พูดจา
“การโจมตีต่อจากนี้ หากเจ้ารับไว้ได้ เราผู้ยิ่งใหญ่จะหันหลังจากไปในทันที ละเว้นเจ้าเป็นการชั่วคราว!” ดวงตาของมังกรโลหิตมีสีของความประหลาดสายหนึ่งพาดผ่าน ฉับพลันก็เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
ต่อจากนั้น ปีศาจตนนี้ก็ไม่สนใจอารมณ์ตกตะลึงพรึงเพริดของหานลี่ สองมือพลันตั้งท่าร่ายคาถา บนร่างเปล่งแสงโลหิตสว่างวาบ แสงอรุโณทัยผืนใหญ่พลันม้วนออกรอบทิศ
หมอกโลหิตที่จากเดิมได้กระจายหายไปในบริเวณใกล้เคียงพลันปรากฏออกมาอีกครั้ง ครั้นตลบฟุ้งเพียงเล็กน้อย ก็อำพรางร่างของมังกรโลหิตไว้ภายใน
เสียงบริกรรมคาถาแปลกประหลาดดังออกมาจากภายในหมอกโลหิตอย่างเร่งรีบ ทันใดนั้น กลางอากาศสูงในบริเวณใกล้เคียงก็ปรากฏเมฆโลหิตผืนใหญ่ขึ้น
ภายในเมฆส่งเสียงฟ้าร้องดังลั่น สายฟ้าแลบสีโลหิตพลันเปล่งแสงระยิบระยับออกมาทีละเส้นๆ
“นี่มันอิทธิฤทธิ์อะไรกัน!”
หานลี่ตกตะลึง ในใจรู้สึกหวาดกลัวอย่างหนัก
แม้ว่าสายฟ้าภายในเมฆจะยังไม่ร่วงลงมา แต่ความรู้สึกเห็นท่าไม่ดีได้ผุดขึ้นในใจแล้ว
ด้วยการลงมืออย่างฉับพลัน เขาใช้มือข้างหนึ่งลูบไปที่หลังศีรษะ แสงอรูโณทัยสีเทาผืนหนึ่งพลันพุ่งทยานออกมา กลายเป็นม่านแสงสีเทาคุ้มกันศีรษะหนึ่งชั้น
ตามด้วยแสงสีเขียวสว่างวาบเหนือกระหม่อม เตาจิ๋วสีเขียวใบหนึ่งพลันปรากฏออกมา พ่นเส้นไหมสีเขียวจำนวนนับไม้ถ้วน ผสมผสานเข้าด้วยกันภายใต้แสงเปล่งประกายระยิบระยับ ตาข่ายมหึมาสีเขียวผืนหนึ่งก็ปรากฏที่เบื้องล่างม่านแสงสีเทา
ทว่าเป็นเช่นนี้หานลี่ก็ยังไม่วางใจ ร่างพลันหมุนเคว้งรอบหนึ่ง กระบี่บินเจ็ดสิบสองเล่มก็พวยพุ่งออกมา กลายเป็นเงากระบี่ทยอยออกมาบินวนรอบกายไม่หยุดนิ่ง
อาภรณ์อัสนีสีทองเงินก็พวยพุ่งออกจากร่างเช่นกัน กลายเป็นอักขระสีทองเงินลอยเคว้งไม่หยุดนิ่ง นอกจากนี้ ภายใต้ปราณดำที่แผ่ซ่าน เกราะสังหารสีดำก็ปรากฏขึ้นบนร่าง
ภายในชั่วพริบตา หานลี่ก็กางม่านป้องกันห้าชั้นอย่างหนาแน่นชนิดที่ลมฝนก็ลอดผ่านไปไม่ได้
หานลี่ชูมือสองข้างขึ้น มือข้างหนึ่งมีเงาดำพุ่งออกมา ปรากฏเป็นเงาลวงตาภูเขาขนาดย่อมสูงฉื่อกว่าลูกหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งเหยียดนิ้วทั้งห้าออก หัวกะโหลกสีขาวห้าหัวพลันปรากฏขึ้นผลุบๆ โผล่ๆ พร้อมทั้งมีเพลิงแสงห้าสีหมุนโคจรไม่หยุด
มังกรโลหิตที่อยู่ใกล้ๆ ได้เห็นภาพนี้ พลันรู้สึกตกตะลึง ไหนเลยจะมัวลังเลอีก รีบโคจรโลหิตบริสุทธิ์ทั่วทั้งร่างอย่างรวดเร็ว พลางใช้มือข้างเดียวจิ้มไปที่เมฆโลหิตกลางอากาศ
ภายในเมฆเปล่งแสงโลหิตแสบตา โลหิตอัสนีเปล่งประกายวูบวาบเก้าสายผ่าลงมาอย่างเ**้ยมโหด ภายในชั่วพริบตา ก็มาถึงชั้นบรรยากาศเหนือศีรษะของหานลี่ แล้วแบ่งออกเป็นสามระลอก
สายฟ้าทั้งสามระลอกนี้ แต่ละระลอกจะยิ่งมีจำนวนและความหนามากกว่ากระลอกก่อนหน้า
หลังจากเกิดเสียงอัสนีบาตรดังขึ้นสามครา โลหิตอัสนีสองสายของระลอกที่หนึ่งก็ฟาดเข้าใส่ม่านแสงสีเทาอย่างเ**้ยมโหด
แม้ว่าแสงเทวะดูดปราณจะล้ำเลิศเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อสัมผัสถูกสายฟ้าสีโลหิตทั้งสองเส้น ก็ถูกซัดกระจายในทีเดียว แล้วหายไปในอากาศพร้อมกัน
ครู่ต่อมา โลหิตอัสนีสามสายจากระลอกที่สองก็ร่วงลงมาติดๆ เห็นเพียงแสงสว่างวาบพร้อมกับเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ตาขายเส้นไหมสีเขียวก็ถูกฉีกขาดอย่างง่ายดาย โลหิตอัสนีก็จู่โจมไปยังเงากระบี่ที่อยู่เบื้องล่าง
ฉากที่น่าประหลาดพลันปรากฏขึ้น
คิดไม่ถึงว่าการป้องกันที่แปรสภาพมาจากกระบี่ไผ่เขียวผึ้งเมฆาทั้งเจ็ดสิบสองเล่มจะใช้ไม่ได้ผล ราวกับเป็นภาพมายา
โลหิตอัสนีทะลวงผ่านแล้วพุ่งเข้าใส่อาภรณ์อัสนีที่กลายเป็นอักขระสีทองเงิน
เสียงอัสนีบาตรดังเกริกก้องไปทั่วพื้นปฐพี อักขระกลายเป็นดวงแสงอัสนี ต้านทานสายฟ้าสีโลหิตไว้
สายฟ้าทั้งสามสายราวกับงูโลหิตก็มิปาน เจ้าลงมายังเบื้องล่างอย่างสุดกำลัง ทว่าดวงแสงอัสนีสีเงินเขียวก็เปล่งเสียงระเบิดอันน่าตื่นตะลึงอย่างไม่กล้าแสดงความอ่อนแอออกมา
เห็นได้ชัดว่าอานุภาพของโลหิตอัสนีเหนือกว่าเล็กน้อย หลังจากที่เปล่งแสงอัสนีสามสีอย่างบ้าคลั่ง ดวงแสงอัสนีสีทองเงินก็แตกออกทีละชุ่นๆ โลหิตอัสนีสามสายก็บางลงมาก ในที่สุดก็ร่วงลงมาอีกครั้ง ครั้นโจมตีถูกเกราะสังหารบนร่างของหานลี่ ก็ทำให้สองสิ่งเกิดเสียงระเบิดดังอื้ออึงแล้วแตกสลายไปพร้อมกัน
การป้องกันห้าชั้นที่หานลี่เตรียมการอย่างยากลำบาก ภายในเวลาชั่วพริบตาก็ถูกทำลายทั้งหมด
ทว่าในตอนนี้เอง โลหิตอัสนีสี่สายสุดท้ายที่หนาและใหญ่กว่าเดิม ได้เปล่งแสงโลหิตวูบวาบเตรียมจะร่วงลงมาแล้ว
หานลี่สีหน้าเคร่งขรึม มองไม่เห็นการเคลื่อนไหวใดๆ ทว่าบนร่างพลันเปล่งแสงสีทองเจิดจ้า เงาลวงตาสามเศียรหกกรร่างหนึ่งก็ปรากฏออกมา
เมื่อขยับคราหนึ่ง แขนสีทองแวววาวทั้งหกก็พุ่งเข้าไปปะทะโลหิตอัสนีสี่สายที่อยู่กลางอากาศโดยตรง
แม้ว่าวิชามารเที่ยงแท้พราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์จะยังเป็นแค่เงาลวงตา แต่อานุภาพก็เหนือกว่าจินตนาการยิ่งนัก เมื่อแขนทั้งหกโบกลงมา ก็กลายเป็นลำแสงสีทองเลือนรางหกดวง
โลหิตอัสนีสี่สายพลันพวยพุ่งเข้ามา โจมตีใส่แสงสีทองเหล่านี้อย่างแข็งกร้าว
เมื่อสองสิ่งปะทะเข้าด้วยกัน คิดไม่ถึงว่าจะไร้ซึ่งเสียงใดๆ
หลังจากที่สายฟ้าสองสายเปล่งแสงโลหิตสว่างวาบ ก็หายไปพร้อมกับแสงสีทองหกดวง
ส่วนที่เหลืออีกสองสายกลับไม่เสียหายแม้แต่น้อย ผ่าตรงลงมายังศีรษะของหานลี่
หานลี่กลับโยกตัวคราหนึ่ง กุมฝ่ามือสองข้างที่โผล่ออกมาอย่างน่าประหลาด กำปั้นเปลือยเปล่าสองหมัดพลันเหวี่ยงไปยังโลหิตอัสนีสองสายที่อยู่กลางอากาศสูง
กำปั้นสีขาวดำแบ่งแยกชัดเจน ยังไม่ทันได้สัมผัสถูกโลหิตอัสนีโดยตรง ก็กลายเป็นเงากำปั้นขนาดมหึมาหลายเท่าอย่างฉับพลัน
ข้างหนึ่งเป็นสีเทาสลัวๆ อีกข้างหนึ่งมีเพลิงแสงห้าสีหมุนโคจรไม่หยุด ปล่อยแรงดันหมัดมหึมาหมุนเป็นเกลียวออกมาพร้อมกัน ราวกับบีบอัดอากาศในบริเวณใกล้เคียงมารวมไว้ที่จุดเดียว
เกิดเสียง “ตูมๆ” ดังสนั่นสองครั้ง ภายใต้ลำแสงเจิดจ้าพร่ามัว เสื้อคลุมยาวบนแขนทั้งสองข้างของหานลี่กลายเป็นเถ้าธุลี เผยแผ่นเกล็ดสีทองแวววาวอันน่าตกตะลึง
เงาหมัดกับสายฟ้ากลับกลายเป็นเถ้าธุลีกระจัดกระจายท่ามกลางระเบิดพร้อมกัน
หานลี่ซวนเซเล็กน้อย พลันร่วงดิ่งลงมาจากกลางอากาศ ทว่าทันทีเหยียดตัว ร่างก็กลับมายืนได้มั่นคงอีกครั้ง แล้วเงยมองไปยังมังกรโลหิตที่อยู่ไกลออกไป
สายตาเยือกเย็นผิดปกติ ดูเหมือนจะไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย
มังกรโลหิตที่อยู่ภายในหมอกโลหิตสูดไอเย็นคราหนึ่ง ไม่อาจปิดบังความตกตะลึงพรึงเพริดภายในดวงตาได้
ในตอนนี้ หลังจากที่เมฆโลหิตบนชั้นบรรยากาศสูงปล่อยสายฟ้าออกมา ดูเหมือนจะใช้พลังงานจนหมดแล้ว ชั่วครู่เดียวก็แตกสลายหายไป
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะรับโลหิตอัสนีดาวเหนือทั้งสิบสองของข้าได้! ทว่าอิทธิฤทธิ์นี้ข้ายังฝึกฝนไม่สำเร็จอย่างแท้จริง เพียงแค่พลังยุทธ์ของข้าลึกขึ้นไปอีกขั้น ก็จะสามารถควบคุมโลหิตอัสนีได้พร้อมกันสี่ระลอก ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ไม่อาจรับการโจมตีได้อีกแล้ว” แม้ว่ามังกรโลหิตจะตื่นตระหนกตกใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ยังกล่าวด้วยน้ำเสียงขรึมด้วยท่าทีไม่ค่อยพอใจนัก
หานลี่ได้ยินคำนี้ ดวงตาพลันเปล่งแสงสีน้ำเงินวูบหนึ่ง ก่อนที่ร่างจะพลิ้วไหวอย่างฉับพลันโดยไม่พูดไม่จา แล้วหายไปในสายลมอ่อนๆ
ครู่ต่อมา เกิดพายุหมุนกลางอากาศเหนือหมอกโลหิต ร่างของหานลี่ปรากฏออกมาพร้อมกับสายลมอย่างน่าประหลาด ลำแสงกระบี่สีทองหลายสิบสายพุ่งลงมาพร้อมกันอย่างบ้าคลั่งราวกับพายุฝนกระหน่ำ
ขณะที่ปราณกระบี่ฟาดฟันเป็นแนวขวาง อากาศในบริเวณใกล้เคียงก็ส่งเสียงดังหึ่งๆ เป็นระลอก เส้นสีขาวตัดกันปรากฏขึ้นทีละเส้นๆ ชั่วพริบตาหมอกโลหิตทั้งหมดก็จมหายเข้าไปในปราณกระบี่
ภายใต้การผสมผสานของปราณกระบี่จำนวนมากเช่นนี้ เงาร่างเลือนรางที่อยู่ภายในก็ถูกฟันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจำนวนนับไม่ถ้วนในชั่วพริบตา ทว่ารอให้หมอกโลหิตถูกผ่าจนสลายไปในอากาศแล้ว ตรงที่เดิมกลับว่างเปล่าไร้ผู้คน ไม่พบร่างศพของมังกรโลหิตแม้แต่เศษเสี้ยว
หานลี่ตกตะลึงเล็กน้อย ยังไม่ทันได้กวาดมองดูรอบๆ ทันใดนั้นเสียงหัวเราะอย่างบ้าระห่ำของมังกรโลหิตก็ดังมาจากกลางอากาศสูงซึ่งไกลออกไปร้อยจั้งเศษ “ในเมื่อเจ้ารับโลหิตอัสนีดาวเหนือได้ ผู้แซ่เซวี่ยย่อมไม่เสี่ยงภัยสู้กับเจ้าต่อแล้ว ทว่าเพียงแค่ข้ากลับไปรายงานเรียกนี้ เจ้านายจะต้องสนใจในตัวท่านเป็นอย่างมาก ดูเหมือนเวลาที่เจ้ากับข้าจะได้พบกันอีกครั้ง คงไม่นานนัก”
หานลี่รีบเงยหน้าไปมอง เห็นเพียงบริเวณที่เกิดเสียงทะลวงอากาศดังขึ้น มีเงาโลหิตจางๆ ร่างหนึ่งพวยพุ่งออกมา พลันเปล่งแสงโลหิตทั่วทั้งร่าง ก็กลายเป็นรุ้งโลหิตสายหนึ่งพุ่งทยานออกไป
ก็ไม่รู้ว่ามังกรโลหิตใช้เคล็ดวิชาแปลกประหลาดอะไร คิดไม่ถึงว่ารุ้งโลหิตจะสามารถใช้เคล็ดวิชาที่เหมือนกับวิชาย่นระยะในขณะที่เหาะเหินได้ ลำแสงหลีกหนีดูเหมือนจะปกติ แต่ทุกครั้งที่พลิ้วไหว รุ้งโลหิตก็จะเหาะทยานไปไกลถึงร้อยจั้ง เพียงแค่พลิ้วไหวไม่กี่ทีก็มาถึงปลายสุดขอบฟ้าแล้ว เมื่อพุ่งปราดอีกหน ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ความเร็วเช่นนี้แม้แต่หานลี่ที่กระตุ้นอานุภาพของปีกวายุอัสนีด้วยกำลังทั้งหมด ก็ทำได้แค่นี้เท่านั้น
หานลี่มีใบหน้าตื่นตะลึง ร่างของเขาลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ท้ายที่สุดก็ไม่คิดจะไล่ตามไป
หลังจากผ่านไปนานสองนาน หานลี่พลันยื่นมือสองข้างมาไว้ตรงหน้าตัวเอง
เห็นเพียงฝ่ามือสองข้างที่จากเดิมเป็นสีขาวใส ตอนนี้หมองคล้ำไปหมด พร้อมส่งกลิ่นเหม็นไหม้ออกมาจางๆ
หานลี่ดวงตาเปล่งประกาย พลันเงียบขรึมไม่พูดจา
มังกรโลหิตตนนี้ จะต้องเป็นปีศาจตนแรกที่มีระดับรองลงมาจากระดับผสานอินทรีย์ในบรรดาปีศาจทั้งหมดที่เขาเคยพบเจออย่างแน่นอน
หากจะโหมสุดกำลังให้ตายไปข้างกับอีกฝ่ายขึ้นมาจริงๆ แม้ว่าเขาจะมีแมลงกลืนทองเป็นไม้เด็ดอยู่ โอกาสชนะก็ยังไม่สูงไปกว่าเจ็ดส่วน
อิทธิฤทธิ์ที่ชื่อ “โลหิตอัสนีดาวเหนือ” ที่อีกฝ่ายสำแดงออกมา อานุภาพรุนแรงเกินไปจริงๆ อีกทั้งสมบัติที่มีคุณสมบัติเป็นกายภาพ ดูเหมือนจะไม่สามารถป้องกันได้แม้แต่น้อย ไม่เช่นนั้นตอนที่ถูกอีกฝ่ายใช้สายฟ้านี้โจมตี กระบี่ไผ่เขียวผึ้งเมฆาคงไม่มีทางใช้การไม่ได้เลย
อีกทั้งฟังจากที่อีกฝ่ายพูด อิทธิฤทธิ์อันน่าสะพรึงชนิดนี้ยังฝึกฝนไม่สำเร็จ เรื่องนี้จะไม่ทำให้หานลี่คิดวกวนในใจไม่หยุดได้อย่างไร
ทว่า สิ่งที่ทำให้หานลี่สีหน้าไม่สงบที่สุดก็ยังเป็น “เจ้านาย” ที่มังกรโลหิตเรียกออกจากปาก ไม่ต้องถามก็รู้ได้ว่า ตัวตนระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเขาในตอนนี้จะสามารถเป็นปฏิปักษ์ได้
แม้ว่าหานลี่จะรู้สึกงงงวยอย่างหนักว่าตนไปยั่วโมโหศัตรูที่น่ากลัวเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด แต่ตอนนี้ก็ไม่ว่างที่จะมาพินิจพิจารณาเรื่องนี้อย่างละเอียด จำเป็นต้องกลับขึ้นสู่พื้นดินโดยเร็วถึงจะดี
เพียงแค่กลับขึ้นสู่พื้นดิน ก็จะมีอาวุโสของเผ่าวิญญาณเหาะเหินพวกนั้นอยู่ ดูแล้วศัตรูตัวฉกาจผู้นี้ก็คงหาทางทำอะไรเขาไม่ได้
ภายในเวลาชั่วครู่เดียว หานลี่ก็วางแผนทุกอย่างเสร็จสิ้น
ฉับพลันที่หันหน้า ก็เห็นว่าพวกเหลยหลันสามคนยังคงต่อสู้กับ “ปลาหมึก” ร่างใหญ่ยักษ์อย่างดุเดือด ดวงตาพลันเปล่งแสงเย็นยะเยือก ชั่วพริบตาก็กลายเป็นรุ้งสีทองบึ่งตรงไปยังเบื้องล่าง
พวกเหลยหลันทั้งสามคนที่กำลังฝืนต่อต้านปีศาจปลาหมึกนั้น เห็นเพียงแสงสีทองสว่างวาบตรงหน้า ปราณกระบี่สีทองจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปกคลุมลงมาจากกลางอากาศอย่างหนาแน่น
ร่างยักษ์ของ “ปลาหมึก” ที่จากเดิมดูท่าทางดุร้ายอย่างหาสุดมิได้ รวมทั้งหนวดสิบกว่าเส้นของมัน แทบจะถูกฟันขาดเป็นหลายท่อนในชั่วพริบตา กลิ่นคาวเลือดพลันแผ่กระจายไปทั่ว
แสงสีทองพลันดับวูบ ร่างของหานลี่ก็ปรากฏที่กลางอากาศเหนือเศษเนื้อกองหนึ่ง กวาดตามองพวกเหลยหลันทั้งสามคนเสร็จ ก็เอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็น “ให้เวลาพวกเจ้าสามสิบลมหายใจ เด็ดผลเพลิงอเวจีลงมา จากนั้นตามข้ากลับขึ้นสู่พื้นดินในทันที หากเลยเวลานี้ไป ข้าจะไม่รอพวกเจ้าแม้แต่คนเดียว!”
คำพูดของหานลี่ ราวกับไม่มีความรู้สึกแม้แต่น้อย