คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์) – ตอนที่ 1474

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1474 แผนการที่คาดไม่ถึง

“ในเมื่อนายท่านรู้แล้ว วิญญาณจินก็วางใจ ทว่านายท่านจะไปแม่น้ำอเวจีในครั้งนี้ จะจัดการร่างพฤกษาวิญญาณอย่างไร?” วานรลังเลเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจ

“จุดนี้ข้าคิดเอาไว้แล้ว ข้าจะเตรียมนำร่างพฤกษาวิญญาณไปด้วย” มู่ชิงตอบกลับอย่างราบเรียบ

“นายท่าน จะเป็นไปได้อย่างไร! แม่น้ำอเวจีอันตรายขนาดไหน หากนายท่านถูกกักหรือเกิดอะไรขึ้นในแม่น้ำอเวจี ร่างหลักอยู่ภายนอก ขอแค่ใช้เวลาสักหน่อย ก็อาจจะคืนร่างได้อีกครั้ง แต่หากถูกกักอยู่ในแม่น้ำอเวจีด้วยกัน จะไม่เป็นการสูญเสียโอกาสนี้หรือ และยิ่งไปกว่านั้นร่างพฤกษาวิญญาณก็ไม่อาจอยู่ในย่ามเก็บของได้นานนัก แม่น้ำอเวจีไม่มีต้นไม้ใบหญ้าสักต้น จึงยิ่งไม่อาจปลูกไว้ที่นั่นได้” วานรสีทองมีสีหน้ากังวลใจ

“วางใจ ในเมื่อข้านำร่างหลักเข้าไปในแม่น้ำอเวจี แน่นอนว่าต้องมั่นใจว่าจะกลับมาได้มากกว่าเจ็ดส่วน ด้วยเหตุนี้ข้ายังหลอมไข่มุกเก็บของที่พฤกษาวิญญาณสามารถอาศัยอยู่ได้สองสามปีขึ้นมาด้วย มิเช่นนั้นข้าจะเอาร่างหลักออกไปในโลกภายนอกอย่างสบายใจได้อย่างไร แม้นว่าเจ้าจะมีความสามารถไม่น้อย ห่างชั้นกับพวกเราแค่ขั้นเดียวเท่านั้น แต่หากมีคนวางแผนชั่วร้าย ก็ไม่อาจปกป้องร่างหลักของข้าได้นานนัก” มู่ชิงสั่นศีรษะ เดินไปอยู่หน้าต้นไม้ยักษ์สีดำ ใช้ฝ่ามือลูบไปที่ต้นไม้อย่างแผ่วเบาขณะเอ่ย

“ในเมื่อนายท่านตัดสินใจแล้ว วิญญาณจินก็ขอตามเข้าไปช่วยนายท่านที่แม่น้ำอเวจีอีกแรง” วานรสีทองได้ฟังคำพูดอันแน่วแน่ของมู่ชิง พลันครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยเช่นนี้ออกมา

“หึๆ ผู้เฒ่าจินไม่พูดถึงเรื่องนี้ ข้าก็คิดไว้อย่างนั้นอยู่แล้ว ถึงอย่างไรเสียช่วงที่ผ่านมาแม้ข้าจะรับผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีความสามารถเอาไว้หลายคน แต่กลับมีแค่เจ้าที่ข้าไว้ใจจริงๆ หลังจากตามข้าเข้าไปในแม่น้ำอเวจีแล้วก็ไม่ต้องทำอย่างอื่น แค่ช่วยข้าจับตามองเจ้าเด็กแซ่หานก็พอแล้ว แน่นอนว่าหากเขาตกอยู่ในอันตราย ก็ต้องปกป้องชีวิตน้อยๆ ของเขาเอาไว้” มู่ชิงเอ่ยอย่างร่าเริง

“เจ้าเด็กแซ่หาน? คือผู้ที่นายท่านพากลับมาเมื่อสองปีที่แล้วน่ะหรือ” วานรสีทองแววตาเปล่งประกายเย็นยะเยือก เอ่ยถามเพื่อความแม่นยำ

“ใช่แล้ว คนผู้นั้นไม่ใช่แค่มีประโยชน์ต่อการทำลายเขตอาคมของแม่น้ำอเวจี ยังเป็นคนที่มีความสำคัญต่อการฟื้นฟูปราณแท้อย่างรวดเร็วของข้าอีกด้วย” มู่ชิงพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ข้าจะดูแลคนผู้นี้ให้ดี” วานรสีทองตบอกพลางเอ่ยอย่างรับประกัน

“ก่อนเข้าไปในแม่น้ำอเวจีอย่างเป็นทางการ เจ้าไม่ต้องกังวลกับความปลอดภัยของคนผู้นี้นัก แม้ว่าพวกเราจะไม่ลงมือ คนอื่นๆ ก็ต้องการให้ผู้คนผู้นี้ทลายเขตอาคมของแม่น้ำอเวจี ไม่มีทางทำร้ายเขาแม้แต่ปลายก้อยแน่ แต่หลังจากเข้าไปในแม่น้ำอเวจีแล้ว ตาเฒ่าจินคงต้องลำบากแล้ว” มู่ชิงคุร่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น

“นายท่านโปรดวางใจ วิญญาณจินเข้าใจดี” วานรสีทองตอบกลับอย่างเคร่งครัด

“เยี่ยม ข้าก็วางใจ ที่นี่ให้เจ้าดูแลชั่วคราวก็แล้วกัน รอจนถึงวันที่ออกเดินทาง ข้าจะมาเรียกเจ้าอีกครั้ง” มู่ชิงถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เผยสีหน้ามีแผนการออกมา

……

ในมิติเวลาขนาดใหญ่ด้านล่างพระราชวังเพลิงโลหิต ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตสองคนยืนเคียงบ่ากัน เบื้องหน้าของทั้งสองคือหุ่นเชิดสีม่วงโลหิตขนาดใหญ่เท่าเนินเขา

ครานี้ดวงตาปีศาจทั้งสี่ที่อยู่เบื้องหน้าของหุ่นเชิดพลันเบิกโพลง เปล่งลำแสงสีโลหิตประหลาดๆ ระยิบระยับ จ้องเขม็งไปยังผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตเบื้องหน้า

ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตทั้งสองไม่ไหวติง แต่สายตาที่ประสานกับดวงตาทั้งสี่ของหุ่นเชิดนั้นกลับเผยแววตาเลื่อนลอยสับสนออกมา

หลังจากผ่านไปชั่วครู่เสียงถอนหายใจลึกๆ ก็ดังออกมาจากปากของหุ่นเชิด!

“เช่นนั้นมู่ชิงและแม่เฒ่าภูตคงไม่ทำสัญญา คิดจะใช้เจ้าเด็กนั่นช่วยกันฮุบสมบัติในสุสานมารหรอก หึ โชคดีที่ข้าคิดเรื่องนี้เอาไว้นานแล้ว ให้เจ้าเด็กแซ่หานช่วยพวกเราหลอมเกราะสงครามปัดเป่าภยันตรายก่อน ขอแค่เจ้าเด็กนั่นพกวิญญาณรับใช้ไว้กับตัว ถึงครานั้นจะถูกใครควบคุมก็เป็นเรื่องที่พูดยากแล้ว นอกจากนี้แม้นว่าพวกของลิ่วจู๋และแม่เฒ่าภูตจะเจ้าเล่ห์ ก็คงคิดไม่ถึงว่าข้าจะยอมทิ้งร่างคู่มารทมิฬเดิม นำจิตวิญญาณดั้งเดิมไปหลอมรวมกับหุ่นเชิด เหลือไว้ในร่างมารแค่จิตวิญญาณดั้งเดิมที่สองเท่านั้น และไม่กลัวอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายอะไรอีก ขอแค่เข้าไปในแม่น้ำอเวจี ได้สิ่งที่ทำให้หุ่นเชิดพัฒนาระดับขึ้นอีกขั้น ข้าก็จะอาศัยร่างของหุ่นเชิดขึ้นเป็นแม่ทัพ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันแล้ว หึๆ สมบัติในสุสานมาร ย่อมไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาทั้งสองเอาไปแต่เพียงลำพังแน่”

เสียงบุรุษที่ไม่คุ้นเคยดังออกมาจากร่างของหุ่นเชิดสีม่วงแดง ดังก้องสะท้อนไปทั้งมิติเวลา

ส่วนผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตทั้งสองล้วนมีสีหน้าสดใส แต่กลับประสานมือเข้าด้วยกัน โดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

…..

ในส่วนลึกของเหวพสุธา วายุสีดำลูกหนึ่งกำลังเริงระบำอยู่ท่ามกลางหุบเขา สตรีผู้งดงามเรือนผมสีขาวลอยอยู่กลางอากาศ มือหนึ่งควงของสิ่งหนึ่งเล่นในมือ สายตากวาดไปยังเบื้องล่างอย่างราบเรียบ

ด้านล่างวายุสีดำลูกนั้นมีเงาร่างคนจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ลางๆ

เงาร่างคนเหล่านี้สูงสองสามจั้ง ผิวหนังเป็นเกราะประหลาดสีดำ หน้าตาแปลกประหลาด

ฮูหยินผู้งดงามผมขาวพิจารณาเงาร่างคนด้านล่างแวบหนึ่ง แล้วถอนสายตากลับมาจ้องเขม็งไปยังสิ่งของในมือ

นางควงมันเล่นไปมา เห็นได้ชัดว่าคือไข่มุกกลมๆ สีเขียวมรกตเม็ดหนึ่ง

ไข่มุกเม็ดนี้เปล่งแสงสีเขียวโดยไม่รู้ว่าเป็นสมบัติชนิดใด ตัวเม็ดเปล่งไอวิญญาณพฤกษาที่บริสุทธิ์ออกมา

ส่วนใบหน้าของฮูหยินงามกลับมีสีหน้าไม่สงบนิ่ง เหมือนกับมีเรื่องอะไรสักอย่างที่ทำให้นางไม่อาจตัดสินใจได้

……

ตรงใจกลางของเทือกลึกลับที่ชั้นหนึ่งของเหวพสุธา บนแท่นบูชาสูงร้อยจั้งเศษ ลูกตาขนาดยักษ์สีเทาขาวดวงหนึ่งยังคงพ่นเส้นไหมสีเทาจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา โบกสะบัดอยู่ด้านล่าง ทยอยกันดูซับไอทมิฬเข้าไปด้านใน

ลิ่วจู๋ที่สวมผ้าคลุมสีดำ กลับมองดูทุกอย่างราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่แค่สองมือไพล่หลัง เงยหน้าขึ้นมองกลางอากาศ ร่างกายไม่ไหวติง

สองแขนที่โผล่พ้นออกมาจากเสื้อคลุมสีดำกำยำเป็นอย่างยิ่ง ผิวหนังมีรอยแตกสีเทาขาวที่น้อยใหญ่ไม่เท่ากัน

……

อีกด้านหนึ่งกลางอากาศเหนือที่รกร้างสีดำ สายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งกำลังบินล่องลอยอยู่

ชายหนุ่มสวมชุดสีเขียวที่อยู่ภายในลำแสงหลีกหนี นั่นก็คือหานลี่ที่แยกจากมู่ชิงได้ไม่นานนัก

แม้ว่าเป็นเพราะในตัวมีตราประทับของราชันย์ปีศาจทั้งสี่อยู่ ไม่ว่าจะไปหลบซ่อนที่ใด ก็ไม่อาจปิดบังคนเหล่านั้นได้

หานลี่ยังคิดจะหาที่ที่รกร้างที่หนึ่งเพื่อพักอาศัย

ส่วนความคิดที่จะถือโอกาสนี้หลบหนีนั้น เขาก็ทำได้เพียงขบคิดเท่านั้น หากตราประทับบนร่างยังไม่ถูกคลายออก ก็ไม่อาจหนีจากการควบคุมของราชันย์ปีศาจได้

ราชันย์ปีศาจเหล่านี้ให้เวลาเขาไม่มากนัก แต่ระยะเวลาสองสามปีก็เพียงพอจะให้เขาหลอมโลหิตวิญญาณนกยูงห้าสีครึ่งขวดที่เพิ่งได้มา แล้วฝึกฝนเคล็ดวิชาการแปลงกายของวิญญาณเที่ยงแท้นี้แล้ว

เดิมทีการผสมโลหิตวิญญาณเที่ยงแท้เข้าไปย่อมเป็นเรื่องที่ทำส่งเดชไม่ได้ จำต้องมีชีพจรโลหิตหรือเคล็ดวิชาลับอะไรที่พิเศษคอยช่วยเสริมถึงจะได้

แต่คาถาตื่นจากจำศีลแปลงกายสิบสองครั้งนั้นกลับใช้คาถาแค่ชุดเดียว ก็สามารถคลายความยากเข็ญนี้ได้แล้ว

เห็นได้ชัดว่าอาวุโสเผ่าวิหคสวรรค์ที่สร้างเคล็ดวิชานี้ขึ้นในตอนแรกเป็นอัจฉริยะทีมีพรสวรรค์ล้ำเลิศ!

แม้หานลี่จะรู้ว่าหากฝึกฝนสำเร็จ ก็ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของสิ่งมีชีวิตระดับหลอมร่างได้ แต่อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ในแม่น้ำอเวจี

แน่นอนว่าหากเขาคิดวิธีสลายรอยประทับนี้อย่างเงียบๆ ในช่วงเวลานี้ได้ เขาก็จะไปจากที่นี่อย่างไม่ต้องคิด

แม้นว่าจะได้ยินมู่ชิงคุยเรื่องราวเกี่ยวกับแม่น้ำอเวจีอยู่สองสามประโยค แต่สถานที่ที่ทำให้ราชันย์ปีศาจระดับหลอมร่างเพลี้ยงพล้ำได้นั้น ย่อมเป็นสถานที่ที่อันตรายมาก

หานลี่ครุ่นคิดอยู่ในใจ บินออกมาได้ครึ่งเดือนกว่า ในที่สุดก็หยุดอยู่เบื้องหน้าเทือกเขาขนาดย่อมแห่งหนึ่ง

เทือกเขาแห่งนี้อยู่ห่างจากที่พักของมู่ชิงและพวกไปตั้งไม่รู้กี่หมื่นลี้ ไอวิญญาณในภูเขาหนาแน่นมาก และไม่มีปีศาจระดับสูงอะไรนักรวมตัวกันอยู่ที่นี่

หลังจากที่หานลี่บินวนล้อมเทือกเขาผืนนี้อยู่ช่วงหนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ร่อนลำแสงหลีกหลีนลงตรงใจกลางของเทือกเขา

หลังจากผ่านไปสองสามชั่วยาม เนินเขาของภูเขาลูกนี้ก็ถูกหานลี่ตัดออกอย่างง่ายดาย สร้างเป็นถ้ำพำนักอย่างง่ายๆ แห่งหนึ่ง

เขาเข้าไปในถ้ำพำนักแล้ววางเขตอาคมลงทันที ปล่อยหมอกสีขาวออกไปห่อหุ้มภูเขายักษ์ทั้งลูกเอาไว้

หานลี่เข้าไปในห้องลับภายในถ้ำพำนัก ตั้งแต่นั้นประตูบานใหญ่ก็ปิดสนิท ท่าทางไม่ได้คิดจะกักตนเป็นเวลานานนัก

เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป เทือกเขาที่หานลี่อาศัยอยู่นั้นแบ่งออกเป็นสี่ฤดูอย่างชัดเจน จากวสันตฤดูไปจนถึงเหมันตฤดู สารทฤดูจนถึงเหมันตฤดู ทำให้บางเวลาเทือกเขาก็เต็มไปด้วยสีดำและเขียว บางครั้งก็เป็นสีขาวโพลนของหิมะ

มู่ชิงและพวกดูเหมือนว่าจะลืมหานลี่ไปจนหมดแล้ว ยังคงยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของตัวเอง

สองปีต่อมาหานลี่นั่งขัดสมาธิอยู่บนฟูกภายในห้องลับ มือหนึ่งควงไม้กระบองที่ดูธรรมดาๆ ด้ามหนึ่งเล่นไปมา

ไม้กระบองนี้ด้านหนึ่งทื่อๆ อีกด้านหนึ่งรีบเหมือนใบมีด รูปทรงกลม ผิวมีลวดลายสีเขียวลึกลับ

นั่นก็คือผลทมิฬสวรรค์ที่หานลี่เร่งการเจริญเติบโตมันขึ้นมาอย่างหนัก แต่กลับไม่รู้ว่ามีประโยชน์ใด

ช่วงปีที่ผ่านมาเขาเอาแต่ใช้ขวดเล็กลึกลับหยดของเหลวลงไปบนมัน

ผลคือหลายปีผ่านไปภายนอกของเจ้าสิ่งนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด

แค่ลำแสงสีขาวนวลที่ซ่อนอยู่ด้านในเริ่มหนาขึ้นกว่าตอนแรกหลายเท่า ลำแสงระยิบระยับ ดูสะดุดตาเป็นอย่างมาก

จากนั้นหานลี่ก็ลองใช้ลมปราณหรือแม้กระทั่งโลหิตบริสุทธิ์กระตุ้นเจ้าสิ่งนี้อยู่สองสามครั้ง แต่ก็ยังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสักนิด

และการทดสอบในครั้งนี้ก็เห็นได้ชัดว่าไม่มีผลอะไร

ถอนหายใจออกมาเบาๆ เฮือกหนึ่ง หานลี่จึงทำได้เพียงเก็บ ‘ไม้กระบอง’ เข้าไปในกำไลเก็บของอีกครั้ง จากนั้นก็เผยสีหน้าครุ่นคิดออกมาขณะก้มหน้าลง

สองปีนี้ในที่สุดเขาก็นำโลหิตวิญญาณเที่ยงแท้ของนกยูงห้าสีเข้าไปในร่างด้วยคาถาตื่นจากจำศีลและแปลงกายเป็นสิ่งนี้ได้สำเร็จแล้ว

ผลคือพลันรู้สึกว่าพลังยุทธ์ของตนเองเพิ่มขึ้นไม่น้อย ช่างเป็นผลประโยชน์ที่คาดไม่ถึงจริงๆ

หากไม่ใช่เพราะตนเองยังไม่เคยฝึกฝนคาถาแลปงกายเป็นมังกรเที่ยงแท้หงส์สวรรค์ เขาคงคิดจะหลอมโลหิตวิญญาณเที่ยงแท้ทั้งสองชนิดเข้าไปในร่าง แล้วดูว่าพลังยุทธ์ของตนเองจะเพิ่มขึ้นไปได้ถึงขั้นไหน

ทว่าสองปีนี้เขาก็เริ่มกินของเหลววิญญาณคางคกเที่ยงแท้ไปแล้ว แต่น่าเสียดายที่แม้ว่าของเหลวชนิดนี้จะมีผลประสิทธิภาพที่น่าตกตะลึง แต่ภายในระยะเวลาสั้นก็ไม่อาจทำให้พลังยุทธ์ของเขาเพิ่มขึ้นได้เท่าใดนัก

ส่วนตราประทับราชันย์ปีศาจทั้งสี่ในร่างนั้นก็ยังคงทำอะไรมันไม่ได้

เช่นนี้การที่เขาต้องเข้าไปในแม่น้ำอเวจีก็คงเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

หานลี่ขบคิดมาถึงตรงนี้ หว่างคิ้วก็อดที่จะมีจิตสังหารสว่างวาบขึ้นมาไม่ได้

แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เขาก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับเปลี่ยนสีหน้า สายตากวาดไปยังประตุห้องลับที่ปิดสนิทอยู่ ใบหน้าฉายแววประหลาดใจสว่างวาบ

ฉับพลันนั้นมือหนึ่งก็ตะปบไปทางประตู!

เสียง “สวบ” ดังขึ้น เขตต้องห้ามบนประตูสั่นกระเพื่อม ของสีดำชิ้นหนึ่งพุ่งแหวกเขตต้องห้ามเข้ามา ถูกเขาคว้าเอาไว้

หานลี่มองของในมือนิ่ง ชั่วขณะนั้นพลันหน้าเปลี่ยนสี หยัดกายลุกขึ้นอย่างกะทันหันพร้อมกับเสียง “พรึ่บ”

กล่องไม้ความยาวสองสามฉื่อกล่องหนึ่ง ภายนอกเป็นสีถ่าน เต็มไปด้วยรอยหลุม ช่างอัปลักษณ์นัก!

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท