คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1499 โอกาสทอง
เมื่อหุ่นเชิดสีม่วงโลหิตปรากฎตัว ดวงตาทั้งหกก็กลอกไปมาพร้อมกัน เปล่งแสงสีโลหิตสว่างวาบ ฉับพลันนั้นพลันตะปบมือออกไป ขวานยักษ์สีโลหิตด้ามหนึ่งพลันปรากฎขึ้นในมือ สับลงมายังฝั่งตรงข้าม
ภายใต้แรงกดดันดังภูเขาขนาดย่อมของขวานยักษ์ ยังไม่รอให้สับโดนอะไร พายุแรงกดที่น่าตกตะลึงกลุ่มหนึ่งก็กรีดร้องขึ้น ทำให้ประจุไฟฟ้าสีเงินที่อยู่ด้านล่างสั่นกระเพื่อมอย่างรุนแรง ท่าทีเหมือนจะปริแตกออก
เสียงร้องคำรามของอสูรระเบิดออกมาจากลำแสงอัสนี ชั่วพริบตาประจุไฟฟ้าที่อยู่ด้านล่างก็ตัดสลับไปมาราวกับสิ่งมีชีวิต ท่ามกลางเสียงร้องคำรามคาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นกระบี่อัสนีสีเงินเล่มหนึ่ง กระโจนขึ้นไปกลางอากาศ
หลังจากที่เสียงสั่นสะเทือนดังขึ้น ภายใต้การโจมตีจากประจุไฟฟ้าลำแสงสีโลหิต ใบมีดยักษ์ทั้งสองพลันสั่นเทา คาดไม่ถึงว่าจะปริแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกัน แล้วหายวับไป
ลำแสงอัสนีสว่างวาบ กรงเล็บสีเขียวยาวสองสามจั้งสองสามแห่งพลันปรากฎขึ้น พุ่งตรงเข้าไปหาหุ่นเชิดสีม่วงโลหิต
ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตที่ยืนอยู่บนบ่าของหุ่นเชิดสีม่วงโลหิตเห็นเช่นนั้น พลันแค่นเสียงหึอย่างเย็นชาออกมา อ้าปากออก พ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมาจากปาก แล้วพลิกฝ่ามือคว้าเอาไว้พลางขว้างออกไปอีกครั้ง
หยาดโลหิตหมุนคว้าง กลายเป็นทวนยาวสีโลหิตด้ามหนึ่งพุ่งออกไป
หลังจากเสียง “ตูมๆ” ดังขึ้นสองสามครั้ง ชั่วพริบตาทวนโลหิตก็ทะลุผ่านกรงเล็บลำแสงสองสามสายไป เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในประจุไฟฟ้าอัสนี
แต่ฉับพลันนั้นลำแสงสีเงินพลันเปล่งแสงสว่างวาบ เงาลวงตาหัวข้างหนึ่งของอสูรอเวจีอัสนีขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่าจากการถูกอัสนีสะท้อนอสงไป อ้าปากออกกลืนทวนยาวสีโลหิตเข้าไปในปาก จากนั้นก็ขย้อนออกมา ประจุไฟฟ้าหนาๆ สายหนึ่งกลายเป็นมังกรวารีสีเงินตัวหนึ่งพุ่งไปหาผู้สวมชุดคลุมสีโลหิต
ดวงตาสีโลหิตทั้งสองของหุ่นเชิดสีม่วงโลหิตเปล่งประกาย ลำแสงสีโลหิตสองสายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพ่นออกมาในทันีใด โจมตีไปบนมังกรวารีไฟฟ้าอย่างพอดิบพอดี ทั้งสองสลายหายไปในเวลาเดียวกัน
หุ่นเชิดสีม่วงโลหิตของผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตประมือกับอสูรอเวจีอัสนีอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า คาดไม่ถึงว่าจะแยกไม่ออก
แต่ทันใดนั้นเส้นไหมสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนในหมอกสีโลหิตก็พุ่งออกไปกลางอากาศ ชั่วพริบตาก็รวมตัวกัน เงาร่างอรชนอ้อนแอ้นสายหนึ่งปรากฎขึ้นท่ามกลางลำสแงสีเขียวสว่างวาบ เท้าเหยียบอยู่บนดอกไม้สีทอง เห็นได้ชัดว่าคือสตรีนามว่ามู่ชิงผู้นั้น
แทบจะในเวลาเดียวกัน วายุทมิฬก็ม้วนไปในบริเวณนอบ แล้วเผยเงาร่างของสตรีผู้งดงามเรือนผมสีขาวออกมา
ทั้งสองมีสีหน้าเครง่ขรึมมาก จ้องหัวอสูรตรงข้ามด้วยดวงตาที่ไม่กระพริบ
หัวอสูรอเวจีอัสนีตรงข้ามเห็นเช่นนั้น พลันมีสีหน้าเ**้ยมโหดฉายแวบผ่าน ด้านล่างมีเสียงอัสนีฟ้าฟาดดังขึ้น เขาเดี่ยวบนหัวอีกหัวหนึ่งเผยออกมา ขนาดเล็กกว่าหัวแรกเล็กน้อย และยิ่งไปกว่านั้นเขาเดี่ยวยังค่อนข้างแหลมบางอีกด้วย
เมื่อเห็นหัวอสูรอเวจีอัสนีทั้งสองหัว หญิงงามผมขาวก็มีสีหน้าปั้นยาก เอ่ยพึมพำกับตนเอง
“คาดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีอสูรอเวจีอัสนีสองตัว ข้าก็ว่าแม้อสูรอเวจีอัสนีจะร้ายกาจ เหตุใดครั้งที่แล้วที่สหายจูบุกเข้ามาถึงได้เพลี้ยงพล้ำไปอย่างง่ายดายเช่นนี้”
“ครานี้กล่าวอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ของเหลวเทวะกับชีพจรวิญญาณที่นี่เชื่อมโยงกัน คิดจะตัดสายสัมพันธ์ของทั้งสองออกแล้วเอาพวกมันไป ก็จำต้องยื้อเวลาให้เขาสักหน่อย พวกเราสามคนต้องทุ่มสุดตัวแล้ว” ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตแค่นเสียงอย่างเย็นชาออกมา พลางเอ่ยอย่างเย็นเยียบ ดูเหมือนว่าจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก
มู่ชิงและหญิงงามผมขาวเห็นเช่นนั้นก็มองสบตากันแวบหนึ่ง
ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตไม่ได้เผยสีหน้าแปลกใจอะไรออกมา ไม่ว่าผู้ใดที่รู้ว่าร่างแยกที่ตนเองทิ้งเอาไว้ข้างนอกถูกสังหาร ไม่โกรธจนเนื้อเต้นก็บ้าแล้ว
“สหายตี้เสวี่ย ร่างแยกที่รออยู่ภายนอกของเจ้าถูกกำจัดไปสักพักแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นก่อนที่อสูรอเวจีอัสนีอีกตนจะกลับมา ดูแแล้วที่นี่นอกอสูรอเวจีอัสสองตัวนี้ ก็น่าจะมีอะไรอย่างอื่นอีก พวกมันไม่เตรียมดักซุ่มโจมตีพวกเราอยู่ด้านนอก ก็คงแอบเข้ามาในนี้แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะกำลังดูการต่อสู้ของพวกเรากับอสูรอเวจีอัสนีสองตัวนี้อยู่ก็ได้” มู่ชิงแววตาฉายแววเย็นเยียบ พลางเอ่ยอย่างแช่มช้าออกมา
“ต่อให้เป็นเช่นนั้นแล้วยังไง? อสูรอเวจีอัสนีสองหัวนี่ก็รับมือยากอยู่แล้ว ไหนเลยจะไปสนใจสิ่งอื่นได้ แต่ข้าสัมผัสผนึกของเจ้าเด็กแซ่หานไม่ได้เลย ดูแล้วเขาคงถูกอสูรอเวจีอัสนีอีกตัวสังหารไปแล้ว ช่างน่าเสียดายจริงๆ” หญิงงามผมขาวถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“ในเมื่ออสูรอเวจีอัสนีกลับมาอย่างว่องไวเช่นนี้ เจ้าเด็กหานคงรักษาชีวิตเอาไว้ไม่ได้แน่ แต่อสูรอเวจีอัสนีตรงหน้านั้นสำคัญกว่า! แม้ว่าอสูรเ**้ยมสองหัวนี้จะมีสติปัญญาไม่สูงส่ง แต่อิทธิฤทธิ์ธาตุอัสนีนั้น ก็เป็นต่อพวกเราไปกว่าครึ่งแล้ว มีเพียงสหายลิ่วจู๋ที่สามารถต่อกรกับศัตรูได้ แต่มีแค่เขาที่ตัดชีพจรวิญญาณได้ ไม่อาจแยกร่างออกมาได้ ดูแล้วพวกเราก็มีเพียงต้องพยายามดูสักตั้งแล้ว ส่วนผู้ที่สังหารร่างแยกของข้าที่ภายนอกนั้น ในเมื่อตอนนี้ไม่กล้าเผยตัว เห็นได้ชัดว่ากำลังไม่พอให้หวาดกลัว ขอแค่ระวังตัวมากขึ้นหน่อย ไม่ให้อีกฝ่ายลอบโจมตีได้ก็พอแล้ว” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตเอ่ยปากทันที
เงาหัวลวงตาตรงข้ามที่ขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ หัวหนึ่งอ้าปากออกหมายจะเขมือบทั้งสามคน อีกหัวหนึ่งกลับก้มหน้า เขาบนหัวมีสายฟ้าลั่นเปรี๊ยะๆ ออกมา เจิดจ้าจนแสบตา ประจุไฟฟ้าสีเงินหนาๆ สองสามสายฟาดเปรี้ยงๆ ลงมาพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง
ร่างอสูรอเวจีอัสนีทั้งสองที่อยู่ด้านล่างพลันควบคุมพลังอัสนีพร้อมกัน สร้างลูกบอลอัสนีสีเงินจำนวนนมากออกมา ทะลักไปทางหมอกสีโลหิตฝั่งตรงข้าม
หญิงงามผมขาวมีสีหน้าเคร่งขรึม สะบัดหัวไหล่ บนหัวมีเงาร่างภูตหัวโล้นปรากฎขึ้น พายุทมิฬสีเทากลุ่มหนึ่งทะลักออกมาจากปากของเงาภูต
ร่างของมู่ชิงเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ เส้นไหมสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา และไม่กล้าดูแคลน!
ส่วนผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตกลับยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น แต่ดวงตาทั้งหกของหุ่นเชิดสีม่วงโลหิตใต้ฝ่าเท้าพลันลืมตาขึ้น พ่นเสาลำแสงสีแดงสดหกสายออกมา ในเวลาเดียวกันด้านล่างสุดของหมอกโลหิตมีเสียงอื้ออึงดังขึ้น ม้วนไปทางลูกบอลอัสนีทั้งหมดอย่างไม่ยอมสำแดงความอ่อนแอออกมา
ชั่วพริบตาราชันย์ปีศาจทั้งสามและอสูรอเวจีอัสนีสองตัวก็ระเบิดการต่อสู้ที่ดุเดือดออกมา
เห็นเพียงหมอกสีโลหิตหมุนวน เสียงอัสนีฟ้าฟาดดังขึ้น ชั่วพริบตาปรากฎการณ์น่าอัศจรรย์นี้ก็ม้วนมู่ชิงและพวกเข้าไปข้างในอีกครั้ง
หานลี่ยืนอยู่ตรงบริเวณทางเข้าอย่างเงียบๆ ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น ใช้สมาธิขบคิดอย่างหนักว่าจะช่วยหยวนเหยาและสตรีทั้งสองอย่างไร
หากไม่มีไอสีเขียวสายนั้น ทุกอย่างก็จะง่ายดาย ขอแค่เขาถือโอกาสที่เหล่าราชันย์ปีศาจกำลังต่อสู้กับอสูรอเวจีอัสนีอย่างดุเดือดที่สุดจนไม่อาจปลีกตัวออกมาได้ ก็จะลงมือพาสตรีทั้งสองหนีไปทันทีเพื่อเกษียรเทวะแม่น้ำอเวจี กว่าครึ่งสตรีผู้งดงามผมขาวและพวกคงไม่ละทิ้งคู่ต่อสู้มาไล่ล่าเขาแน่
แต่ครานี้มีไอสีเขียวที่ไม่รู้ที่มาเพิ่มเข้ามา หากเขาถูกสกัดกั้นตอนที่ลงมือ เขาจะไม่โชคร้ายหรือ!
หานลี่ไม่มีทางยอมเสี่ยงอันตรายครั้งนี้ง่ายๆ แน่
แววตาของหานลี่เปล่งประกายไม่หยุด ความคิดต่างๆ เคลื่อนคล้อยไปมาไม่หยุด
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป อสูรอเวจีอัสนีและเหล่าหญิงงามผมขาวที่กำลังต่อสู้ต่างก็สำแดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ออกมา ความร้อนแรงยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ อสูรอเวจีอัสนีสองตัวดูเหมือนจะรู้ว่าหากยื้อเวลาต่อไปจะส่งผลไม่ดีกับพวกมัน จึงสำแดงความโหดร้ายออกมาด้วยความร้อนลนไม่สบายใจ และเสียงคำรามของอสูร เสียงการต่อสู้ก็รุนแรงเป็นอย่างมาก
ร่างของอสูรทั้งสองมีประจุไฟฟ้านับหมื่นสาย เขาเดี่ยวบนหัวหนาขึ้นสองสามเท่า ไฟฟ้าที่พุ่งออกมาจากด้านบนทุกสายดูราวกกับหอกเทวะที่พุ่งออกมาจากนอกท้องฟ้าอย่างไรอย่างนั้น เมื่อโจมตีผ่านไป แน่นอนว่าย่อมทำให้ราชันย์ปีศาจทั้งสามถอยร่นไปสองสามก้าว เห็นได้ชัดว่าอสูรทั้งสองเป็นฝ่ายได้เปรียบ กดดันมู่ชิงและเหล่าปีศาจทั้งสาม
แต่หากจะทำให้เหล่าราชันย์ปีศาจทั้งสามเพลี้ยงไปในทันที กำจัดพวกเขาออกจากบ่อน้ำด้านล่างภายในระยะเวลาสั้นๆ กลับดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก
หานลี่มองดูสถานการณ์นี้ ดวงตาทั้งสองหรี่ลง ร่างลวงตาเคลื่อนย้ายออกไปไกลออกไปอย่างช้าๆ
ไม่ว่าจะเอ่ยอย่างไร ไปอยู่ข้างกายหยวนเหยาและเหยียนลี่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน เรื่องอื่นค่อยว่ากันไปตามสถานการณ์ เขาต้องช่วยคนให้ได้
เพราะกลัวว่าผู้คนที่กำลังต่อสู้กับอสูรอเวจีอัสนีจะพบตนเข้า ขั้นตอนการเคลื่อนย้ายของหานลี่จึงเชื่องช้าเป็นอย่างมาก ทุกตนที่อยู่ในตำหนักหลักน่าจะเป็นผู้ที่มีระดับพลังยุทธ์สูงกว่าเขา แม้ว่าจะใช้ยันต์ชำระพิสุทธิ์ หากระดับหลอมร่างแผ่จิตสัมผัสเต็มอตรามา ก็ยังคงมีมีอัตราที่จะถูกพบตัวอยู่ไม่น้อย โชคดีที่คนเหล่านั้นยอมสู้กันแบบตายกันไปข้างหนึ่ง ในสถานการณ์ปกติคงไม่มีทางแบ่งความสนใจมาทางนี้แน่
ครั้นเมื่อหานลี่พ่นลมหายใจออกมายาวๆ เฮือกหนึ่ง ในที่สุดคนก็อ้อมสนามการต่อสู้ไปยังอีกด้านของวิหาร มาถึงข้างกายของสตรีทั้งสอง
สายตากวาดไปบนเรือนร่างของหยวนเหยาอย่างรวดเร็ว
ระยะใกล้ขนาดนี้ หานลี่จึงมองเห็นเส้นไหมโลหิตเป้นเส้นๆ ที่ปรากฎขึ้นลางๆ บนใบหน้าของสตรีผู้นี้ เส้นเลือดเหล่านี้บางเฉียบดุจเส้นผม หากไม่ได้อยู่ระยะประชิดถึงเพียงนี้และมีเนตรวิญญาณคอยช่วยเสริม คนธรรมดาก็ไม่อาจมองออกได้เลยสักนิด
หานลี่พลันขมวดคิ้ว
สตรีทั้งสองถูกตัวประหลาดเฒ่าตี้เสวยี่ใช้ยันต์โลหิตประหลาดๆ กักเอาไว้ เจ้าสิ่งนี้แค่ดูก็รู้แล้วว่าเป็นเคล็ดวิชาสายมารที่ร้ายกาจ ใช้อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายหรือเพลิงกลืนวิญญาณก็น่าจะได้ผล ทว่าวิหคเพลิงกลืนวิญญาณถูกเขาเก็บเอาไว้ในปาก หากจะทลายอาคมล่ะก็มีเพียงต้องใช้อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายแล้ว
แน่นอนว่าตอนนี้ไม่ใช่โอกาสทองในการลมือ เมื่ออาคมนี้ถูกทำลาย ไม่เพียงตนเองจะเผยร่างออกมา ตัวประหลาดเฒ่าตี้เสวี่ยก็จะสัมผัสได้ในทันที
หานลี่ขบคิดเช่นนี้ในใจ ถอนสายตาออกมา มองไปทางไอสีเขียวแวบหนึ่งอีกครั้ง
เจ้าสิ่งนี้ต้องเกี่ยวจ้องกับภูตที่อยู่ด้านอกแน่ เขาไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะแค่มองไม่ลงมือ ครานี้ไม่ใช่โอกาสที่เขาจะลงมือ มีเพียงต้องทดสอบความอดทนกับอีกฝ่ายแล้ว
ความคิดนับร้อยฉายแวบผ่านไปมาในหัวของหานลี่ แล้วทำได้เพียงตัดสินใจอย่างหัวโบราณเช่นนี้
และยิ่งไปกว่านั้นสาเหตุหลักที่เขาทำเช่นนี้ ก็เพราะว่าครานี้ลิ่วจู๋ที่มีความสามารถที่สุดในเหล่าราชันย์ปีศาจแห่งเหวพสุธาหายตัวไป
ในสถานการณ์ที่ไม่รู้ที่มาที่ไปของอีกฝ่าย เขาไม่กล้าลงมือง่ายๆ แน่
ทว่าเมื่อหานลี่ถอนสายตาออกจากไอสีเขียว แล้วมองการต่อสู้ใต้บ่อน้ำนั้น ในใจก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาว่าราชันย์ปีศาจลิ่วจู๋ผู้นี้กำลังซ่อนตัวอยู่ใต้นั้นหรือไม่
ถึงอย่างไรเสียวิหารหลังนี้ก็กว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ นอกจากบ่อน้ำแล้ว ก็ไม่มีที่ใดที่สามารถหลบซ่อนตัวได้อีก
แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ ไอหมอกที่ลอยอยู่ในบ่อน้ำมีประสิทธิภาพในการกีดกันจิตสัมผัส หลังจากที่หานลี่กวาดจิตสัมผัสไปเบาๆ แล้ว ก็ไม่อาจสอดแทรกเข้าไปได้ แค่รู้สึกว่าหมอกวิญญาณสีขาวเหล่านี้มีไอวิญญาณบริสุทธิ์ที่เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกผสมอยู่ด้วย ดูเหมือนว่าหากสูดหมอกสีขาวนี้เข้าไปเฮือกหนึ่งก็จะทำให้เขาร่นระยะเวลาการฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างหนักหน่วงไปได้สองสามวัน
นี่คือสาเหตุที่หานลี่มองไปปราดเดียวก็มั่นใจว่าเจ้าสิ่งนี้คือเกษียรเทวะแม่น้ำอเวจี
คราแรกหานลี่รู้สึกประหลาดใจมาก เหตุใดมู่ชิงและพวกทั้งสามถึงไปตักน้ำในบ่อไปในทันที แม้ว่าอสูรอเวจีอัสนีสองตัวจะร้ายกาจ แต่ก็ไม่ถึงกลับจะทำให้ทั้งสามคนไม่มีโอกาสแม้แต่จะขโมยเกษียรเทวะมา
โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ทั้งสามคนยึดครองท้องฟ้าของบ่อสีเขียวเอาไว้ ก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องยาก
ต่อมาเมื่อขบคิดอย่างละเอียด หานลี่ก็เข้าใจขึ้นมา ไม่ใช่ว่าในบ่อเขียวมีอาคมที่ร้ายกาจอะไรสักอย่างทำให้ราชันย์ปีศาจทั้งสามไม่กล้าเสี่ยงลงมือ ก็คือวิธีที่จะเอาเกษียรเทวะมาได้ต้องมีความพิเศษอะไรสักอย่าง พวกมันจึงไม่อาจลงมือได้อย่างง่ายดาย
ไม่แน่ว่าการที่ลิ่วจู๋ไม่ยอมปรากฎตัวอาจจะเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้
เขายืนอยู่ด้านข้างสตรีทั้งสองอย่างซื่อๆ รอให้การต่อสู้กลางอากาศเหนือบ่อสีเขียวได้ผลตัดสินผู้แพ้ชนะ หรือว่าไอสีเขียวสายนั้นเกิดอะไรสักอย่างขึ้น
แม้ว่าผนึกในร่างของเขาจะไม่อาจประคับประคองไปได้นานนัก แต่ระดับความรุนแรงในการต่อสู้กลางอากาศและความเกรี้ยวกราดของอสูรอเวจีอัสนี ก็ไม่อาจยืนกรานไม่ยอมอ่อนข้อให้กันต่อไปได้ตลอด อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
ดังคาดหานลี่คาดเดาเอาไว้ไม่ผิด หลังจากที่ผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา ในที่สุดอสูรอเวจีอัสนีสองตัวก็ทนไม่ไหว พยายามต่อสู้อย่างสุดชีวิต