คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1527 บวงสรวง
ตรงส่วนลึกของภูเขายักษ์ ภายในห้องลับของถ้ำพำนัก ประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวสายหนึ่งพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างของหานลี่ปรากฎตัวออกมา
ใบหน้าเต็มไปด้วยความปิติยินดี
ภายใต้ความช่วยเหลือของของเหลววิญญาณคางคกเที่ยงแท้ เมื่อฝึกฝนอย่างหนักมาร้อยกว่าปี เขาก็ฝึกฝนจนมาอยู่ในระดับยอดสุดของระดับเทพแปลงขั้นปลายแล้ว ในที่สุดพลังเทวาบริสุทธิ์ของพระสารีริกธาตุของวิหคสวรรค์เองก็ถูกหลอมจนเกลี้ยง และได้คาถาลับในการหลอมโลหิตวิญญาณเที่ยแท้ทั้งสองชนิดมาจากมังกรเที่ยงแท้และหงส์สวรรค์
เช่นนั้นแน่นอนว่าเขาจึงหลอมโลหิตวิญญาณทั้งสองชนิดเข้าไปในร่างอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด ในเวลาเดียวกันก็เรียนรู้เคล็ดวิชาตื่นจากจำศีลแปลงกายของมังกรเที่ยงแท้และหงส์สวรรค์ทั้งสองชนิดไปด้วย
หานลี่ในครานี้ไม่ว่ากายเนื้อหรือพลังลมปราณต่างก็อยู่ในระดับที่น่าเหลือเชื่อ อยู่ในระดับยอดสุดที่จะมีได้ในระดับเทพแปลงแล้ว
และในเวลาเดียวกันแกนผลตาข่ายสีเขียวเม็ดนั้นก็ถูกบ่มเพาะจนกลายเป็นต้นผลตาข่ายสีเขียวสองสามต้น
เขาใช้ผลชนิดนี้เป็นวัตถุดิบหลัก หลังจากล้มเหลวไปสองสามครั้ง ก็หลอมยาลูกกลอนตาข่ายสวรรค์สำเร็จเตาหนึ่งได้มาสิบกว่าเม็ด
ภายใต้สถานการณ์ที่เตรียมการทุกอย่างพร้อมสรรพแล้ว ในที่สุดหานลี่จึงเริ่มทะลวงระดับหลอมสูญโดยมียาลูกกลอนเพลิงทมิฬสามเม็ดและยาลูกกลอนตาข่ายสวรรค์สามเม็ดคอยช่วยเหลือ
จะว่าไปแล้วก็นับว่าหานลี่นั้นดวงดีไม่เลว
ในบรรดายาลูกกลอนตาข่ายสวรรค์สามเม็ดนั้นได้ผลไปสองเม็ด ทำให้ประสิทธิภาพของยาลูกกลอนเพลิงทมิฬสองเม็ดเพิ่มขึ้นสองสามส่วน
ภายใต้เงื่อนไขที่ครบครันเช่นนี้ หานลี่ใช้เวลาไปสองสามเดือน ในที่สุดก็รวบรวมพลังปราณฟ้าดินในรัศมีหมื่นลี้มาไว้ในร่างกายได้ และพัฒนาขึ้นมาสู่ระดับหลอมสูญได้สำเร็จอย่างราบรื่น
ไม่ว่าพลังยุทธ์หรือจิตสัมผัสล้วนเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่า
แต่ครานี้หานลี่กำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศในห้องลับ หลับตาทั้งสองลงพลางสัมผัสทุกสรรพสิ่งรอบๆ
เดิมรู้สึกได้ถึงพลังปราณฟ้าดินที่ลางเลือน ครานี้กลับเป็นชัดเจนแล้ว ราวกับว่ายกมือก็สามารถรวบรวมพลังปราณเหล่านี้มาอยู่ในมือได้ และจับมาจากกลางอากาศได้อย่างไรอย่างนั้น
คาดไม่ถึงว่าเปลือกตาของเขาจะขยับ ยกมือขึ้นตะปบไปกลางอากาศในบริเวณนั้นจริงๆ
เสียงแหวกอากาศดัง “ฟิ้วๆ” ดังขึ้น ผลึกลำแสงห้าสายที่ดูเหมือนมีรูปร่างพุ่งออกมาจากหว่างนิ้ว ทันใดนั้นจุดลำแสงวิญญาณที่อยู่ในบริเวณนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบ จุดลำแสงห้าสีขนาดเท่าเม็ดข้าวสารจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฎขึ้น เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในผลึกลำแสง
ทันใดนั้นผลึกลำแสงพลันขยายใหญ่ขึ้น มือยักษ์ห้าสีเปล่งแสงแวววาวข้างหนึ่ง ปรากฎขึ้นจากกลางอากาศ
“เป็นเช่นนี้นี่เอง! หลังจากบรรลุระดับหลอมสูญแล้ว ระดับการควบคุมพลังปราณฟ้าดินก็แตกต่างจากระดับเทพแปลงราวกับฟ้ากับเหวแล้ว” หานลี่เอ่ยพึมพำ
ระดับเทพแปลงของเขาทำได้แค่สัมผัสได้ถึงพลังปราณฟ้าดินและนำมาใช้ได้เพียงผิวเผินเท่านั้น ครานี้จึงจะนับว่าสามารถควบคุมพลังปราณฟ้าดินได้อย่างแท้จริง แค่ยกมือขึ้นสำแดงเคล็ดวิชาใดๆ ออกมา กอปรกับพลังปราณฟ้าดินล้วนทรงพลังกว่าเดิมไม่น้อย หากเป็นอิทธิฤทธิ์ที่อาศัยพลังปราณฟ้าดินโดยเฉพาะ คิดดูแล้วอานุภาพก็คงจะน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง อาจจะเพิ่มความรุนแรงขึ้นสองสามเท่าก็เป็นได้
หานลี่ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น เผยสีหน้าพึงพอใจออกมา โบกสะบัดมือ มือยักษ์แวววาวเบื้องหน้าพลันสลายหายไป
ร่างของหานลี่ลดระดับลงบนพื้นดินอย่างเชื่องช้า
กวาดสายตาไปตกยังสิ่งที่อยู่มุมหนึ่งของห้องโถง นั่นก็คือภูเขาเทวะดูดปราณที่วางอยู่ตรงนั้นมาร้อยปีแล้ว
ร้อยกว่าปีที่ผ่านมาหานลี่ได้นำก้อนหินที่เหลืออยู่สองก้อนใส่เข้าไปหลอมในภูเขาลูกนี้
ลองคำนวณเวลาดูก็ดูเหมือนว่าน่าจะถึงเวลาอันสมควรแล้ว
เมื่อครุ่นคิดเช่นนี้ หานลี่ก็ใช้มือหนึ่งกวักเรียกไปยังจุดที่ไกลออกไปอย่างไม่ลังเลอีก
เสียง “ตึง” ดังขึ้น ห้องลับทั้งห้องสั่นสะเทือน ภูเขาน้อยสีดำหมุนวนบินขึ้นไปข้างบน ตรงมาทางนี้
นิ้วทั้งห้าแยกออกจากกัน ชั่วขณะนั้นภูเขาน้อยสีดำพลันหยุดอยู่ใกล้กับที่นี่แค่คืบท่ามกลางเสียงร้องคำราม
ครั้งนี้หานลี่พลันพินิจอย่างละเอียด
เทียบกับก่อนหน้าแล้วภูเขาเทวะดูดปราณดูไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย ยังคงเป็นสีดำสนิท
ทว่าถูกเขาเรียกมาอย่างง่ายดายไม่เปลืองแรงเลยสักนิดเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าก้อนหินในภูเขาถูกหลอมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับภูเขาลูกนี้แล้ว
มิเช่นนั้นแม้ว่าพลังปราณของของจะเพิ่มขึ้น ก็ไม่อาจควบคุมได้อย่างสบายๆ เช่นนี้
เขาพยักหน้า อาคมสายหนึ่งโจมตีไปยังภูเขาลูกเล็ก
ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ เมื่ออาคมสัมผัสกับตัวภูเขาก็จมหายไปอย่างไม่เห็นเงาทันที
ส่วนผิวของภูเขาลูกเล็กพลันเปล่งแสงสีเงินเจิดจ้า เปลวเพลิงสีเงินกลุ่มหนึ่งบินออกมา หลังจากหมุนวนรอบหนึ่งก็กลายเป็นวิหคเพลิงสีเงิน
นั่นก็คือวิหคเพลิงกลืนวิญญาณ!
เห็นได้ชัดว่าขนาดของวิหคเพลิงตัวนี้เล็กกว่าแต่เดิมเท่าหนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้นท่าทางยังซูบผอมไปเล็กน้อย!
แสดงให้เห็นว่าการหลอมก้อนหินไม่หยุดร้อยกว่าปี ทำให้เพลิงชนิดนี้สูญเสียพลังพื้นฐานไปไม่น้อย
หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย ปากพลันสบถต่ำๆ ออกมา ยกมือขึ้นชี้ไปทางวิหคเพลิง
ชั่วขณะนั้นวิหคเพลิงตัวนี้พลันพุ่งมาหาหานลี่ หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ ก็ทะลวงเข้ามาในร่าง
เกรงว่าหานลี่คงจะต้องบ่มเพาะในร่างกายสักรอบหนึ่ง ถึงจะสามารถทำให้เพลิงชนิดนี้ฟื้นฟูปราณแท้กลับมาได้
หานลี่เผยรอยยิ้มที่มุมปากออกมา ร่ายอาคมสายหนึ่งโจมตีไปยังภูเขาน้อยสีดำ
ภูเขาลูกนี้หมุนคว้าง เปล่งแสงสีเทาสว่างวาบแล้วหายวับไป
ครู่ต่อมาหานลี่พลันพลิกฝ่ามือสีดำสนิทข้างหนึ่งขึ้น
ท่ามกลางลำแสงสีดำที่เปล่งแสงสว่างวาบ กลางฝ่ามือพลันมีภูเขาขนาดจิ๋วสูงสามชุ่นปรากฎขึ้น จากนั้นก็ร่อนลงมาด้านล่างอย่างไม่เกรงใจ
เปล่งแสงสว่างวาบแล้ว ภูเขาขนาดจิ๋วหายวับไป
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น หลังมือกลับมีลายรูปภูเขาสีเงินปรากฎขึ้น
ชั่วพริบตานั้นหานลี่ก็ผนึกภูเขาเทวะดูดปราณเข้าไปในฝ่ามืออีกครั้ง
แต่ฉับพลันนั้นหานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี แขนที่เดิมทีชูขึ้นตกลงมาอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันร่างกายก็ถูกพาให้เซถลาไปเบื้องหน้า
“แย่แล้ว!”
หานลี่ร้องอุทานในใจ งอเข่าทั้งสองอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันแขนอีกข้างหนึ่งก็ลางเลือนไปเล็กน้อย ชั่วขณะนั้นพลันประคองฝ่ามือที่ตกลงสู่เบื้องล่างเอาไว้
จากนั้นร่างกายก็พลิ้วไหวอย่างต่อเนื่องสองสามครั้ง สุดท้ายก็ยืนได้อย่างมั่นคง
ชั่วพริบตาที่ผนึกภูเขาเทวะดูดปราณไปบนในฝ่ามือนั้น แขนทั้งแขนจึงเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งทันที แม้ว่าเขาจะมีพลังเทวะที่น่าตกตะลึง ก็เกือบจะถูกกดจนล้มลงกับพื้น
ครานี้แค่ฝืนรักษากิริยาเอาไว้เท่านั้น
แน่นอนว่าหานลี่ทั้งตกตะลึงทั้งโกรธเกรี้ยว แต่ชั่วพริบตาที่จิตสัมผัสเคลื่อนคล้อยอย่างรวดเร็วนั้น ก็เข้าใจขึ้นมาในที่สุด
แม้ว่าก่อนหน้าจะใช้คาถาร้อยชีพจรหลอมสมบัติและฝ่ามือหลอมภูเขาเทวะดูดปราณจนเป็นหนึ่งเดียวกันกับร่างแล้ว แต่เมื่อใส่วัตถุดิบอย่างก้อนหินเหล่านี้ลงไป กลับยังไม่เคยผ่านการบวงสรวงด้วยคาถานี้ ดังนั้นเมื่อเก็บเข้ามาในร่างถึงได้มีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้น
ดูแล้วหากอยากควบคุมภูเขาลูกนี้ได้อย่างสมประสงค์เมื่อในอดีต คงต้องใช้คาถาร้อยชีพจรหลอมสมบัติบวงสรวงใหม่อีกครั้งถึงจะใช้ได้
เมื่อขบคิดอย่างละเอียดเช่นนี้รอบหนึ่ง หานลี่ก็ไม่ลังเลอีก พลันนั่งขัดสมาธิลงในทันใด มือหนึ่งถือแขนข้างหนึ่งเอาไว้ เหนือศีรษะมีลำแสงสีทองสว่างวาบ ตรงหน้าผากมีทารกวิญญาณสีทองอมเขียวสูงครึ่งฉื่อปรากฎออกมา
ทารกวิญญาณผู้นี้มีสีหน้าเคร่งขรึม หมอกลำแสงสีทองอมเขียวสองสีเปล่งออกมาจากร่างระยิบระยับ!
แต่ทันใดนั้นทารกวิญญาณผู้นี้ก็ใช้มือหนึ่งร่ายอาคม อ้าปากเล็กๆ ออก ชั่วขณะนั้นพลันพ่นเปลวเพลิงสีเขียวดวงหนึ่งออกมา โจมตีไปยังภูเขาน้อยที่ผนึกอยู่บนฝ่ามือข้างนั้น
มือนี้เป็นสีดำสนิทราวกับน้ำหมึก ชั่วพริบตาพลันถูกเพลิงทารกสีเขียวห่อหุ้มเอาไว้
กายเนื้อของหานลี่หลับตาทั้งสองข้างลงอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันที่แผ่นหลังพลันมีลำแสงสีทองสว่างวาบ พระพุทธรูปพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้ปรากฎขึ้นอีกครั้ง และนั่งสมาธิร่ายอาคมอยู่เช่นกัน แต่แค่เห็นได้ชัดว่าพระพุทธรูปในครานี้ ไม่ว่าจะเป็นระดับความหนาหรือลำแสงสีทองที่แผ่ออกมา ก็เหนือชั้นกว่าคราที่หานลี่อยู่ในระดับเทพแปลงเป็นอย่างมาก
มองจากไกลๆ พระพุทธรูปสามเศียรหกหัตถ์ดูราวกับรูปปั้นทองคำสมจริงอย่างไรอย่างนั้น
ครั้งนี้หานลี่ใช้คาถาร้อยชีพจรบวงสรวงสมบัติหลอมภูเขาเทวะดูดปราณอีกครั้งไปครึ่งปีเต็มๆ โชคดีที่ภูเขาลูกนี้ถูกบวงสรวงไปแล้วครั้งหนึ่ง ครานี้แค่ละลายก้อนหินที่อยู่ในภูเขาเหล่านั้นแล้วบวงสรวงอีกเล็กน้อย มิเช่นนั้นคงไม่ได้เสียเวลาไปเพียงเท่านี้แน่นอน
วันนี้ทารกวิญญาณหยุดเพลิงทารกวิญญาณที่พ่นออกมาจากปากลง จากนั้นลำแสงบนร่างพลันเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
ส่วนหานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี มือที่ร่ายอาคมพลันผ่อนลง จบการบวงสรวงในครั้งนี้
แม้ว่าระยะเวลาสั้นเช่นนี้จะไม่อาจบวงสรวงทั้งหมดได้ แต่อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ทำให้ฝ่ามือหนักอึ้ง ระดับความลึกซึ้งที่เหลือ แน่นอนว่ารอให้ภูเขาลูกนี้ถูกผนึกไว้ในฝ่ามือเสร็จแล้ว ค่อยๆ ถูกเขาหลอมเข้ากับฝ่ามือจนเป้นหนึ่งเดียวกันทีละนิดๆ อีกครั้ง
ช่วงเวลานี้ไม่ใช่สิ่งที่จะทำสำเร็จได้ภายในระยะเวลาไม่กี่ปี
แขนขยับ หานลี่ขยับฝ่ามือที่มีภูเขาน้อยผนึกอยู่เล็กน้อย เมื่อไม่รู้สึกผิดปกติแล้ว ใบหน้าก็เผยสีหน้าพึงพอใจออกมา
ในตอนนั้นเองฉับพลันนั้นหานลี่พลันขมวดคิ้ว แล้วลุกขึ้นยืน สาวเท้ายาวๆ ออกไปจากประตู
เสียง “ครืด” ดังขึ้น ประตูหินอันหนักอึ้งเปิดออกโดยอัตโนมัติ
ร่างกายของหานลี่พลิ้วไหว คนมาปรากฎตัวด้านนอกห้องลับ
ด้านนอกห้องลับ มนุษย์น้อยเรือนกายสีดำสนิทลอยอยู่กลางอากาศ มองมาทางหานลี่พร้อมกับอมยิ้ม
นั่นก็คือทารกวิญญาณที่สอง!
หานลี่เองก็ไม่ได้เอ่ยอะไร มือหนึ่งพลันร่ายอาคม ทารกวิญญาณที่สองร่างกายพลิ้วไหว กลายเป็นลำแสงสีดำสายหนึ่งจมหายเข้าในหน้าผากของหานลี่
หานลี่หลับตาลงขบคิดเล็กน้อย และทำความเข้าใจกับเรื่องที่เกือบขึ้นในช่วงร้อยปีที่ผ่านมาอย่างละเอียด
“มิคาดว่าอสูรปีศาจเหล่านั้นจะมาหาถึงที่ และยังอยากพบข้า?” หานลี่ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น แววตาฉายแววประหลาดใจ
ทว่าเขากลับไม่ได้ลังเลอะไร สาวเท้ายาวๆ ตรงไปยังห้องโถงทันที
หลังจากหักเลี้ยวไปสองสามครั้ง หานลี่ก็มาปรากฎตัวตรงประตุของห้องโถง ด้านในมีเสียงพูดคุยดังแว่วออกมา
หานลี่มุ่นหัวคิ้ว เดินเข้าไปอย่างไม่เกรงใจทันที
เสียงพูดคุยของผู้ที่อยู่ด้านในหยุดชะงักลงทันที ทุกสายตาล้วนพุ่งปราดเข้ามา ผลคือทุกตนล้วนตกตะลึงจนตาค้าง!
หานลี่กวาดสายตไปเห็นทั้งสองฝั่งของห้องโถงมีอสูรปีศาจยืนอยู่สี่ตน นั่นก็คืออสูรน้อยหัววัว วานรสีทอง งูหลามสามหัวรวมทั้งปีศาจหมูยักษ์ทั้งสี่ตนที่เคยเจรจาแลกเปลี่ยนดอกกระดิ่งพฤกษากับเขาตอนนั้น
ตรงตำแหน่งหลักมีผู้ที่ฉีกยิ้มจนตาหยีสวมชุดคลุมสีเขียวนั่งอยู่ ที่น่าแปลกคือนั่นคือ ‘หานลี่’ อีกคนหนึ่ง!
‘หานลี่’ ที่นั่งอยู่เห็นหานลี่เข้ามา ก็หุบยิ้ม ชั่วขณะนั้นพลันหยัดกายลุกขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หลังจากคารวะหานลี่อย่างนอบน้อมแล้ว ก็เอ่ยขึ้น
“คารวะนายท่าน ขอแสดงความยินดีที่นายท่านบรรลุระดับขั้นสำเร็จขอรับ!”
“อืม ที่ผ่านมาต้องลำบากเจ้าแล้ว!”
เป็นเพราะหานลี่รู้ทุกอย่างผ่านทารกวิญญาณที่สองแล้ว จึงไม่ได้เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาเมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ แค่พยักหน้าแล้วโบกมือให้เขา
“เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่วิญญาณครวญควรทำ แต่แค่เรื่องนี้ออกจะใหญ่ไปสักหน่อย จำต้องให้นายท่านจัดการด้วยตนเอง!” ‘หานลี่’ ตอนกลับอย่างนอบน้อม ทันใดนั้นพลันเหล่ตาไปด้านข้าง ไปตกอยู่บนร่างของปีศาจที่ตกตะลึงจนตาค้างเหล่านั้น ชั่วขณะนั้นพลันแบะปากแสยะยิ้มออกมา
จากนั้นร่างของเขาพลันพลิ้วไหว ชั่วขณะนั้นพลันกลายเป็นวานรน้อยขนาดครึ่งฉื่อท่ามกลางลำแสงสีดำ หลังจากนั้นก็ตีลังกาบินมาทางหานลี่
หานลี่สะบัดแขนเสื้อ ม่านลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ วานรน้อยจมหายเข้าไปในแขนเสื้ออย่างไร้ร่องรอย
“เอาล่ะ ครานี้พวกเจ้ากล่าวจุดประสงค์ที่มาถึงที่นี่อีกครั้งได้แล้ว!” หานลี่สาวเท้าไปข้างหน้าสองสามก้าว นั่งลงบนตำแหน่งหลักที่อสูรวิญญาณครวญนั่งอยู่เมื่อครู่ แววตาเปล่ปงระกาย เอ่ยถามอสูรทั้งสี่ที่อยู่ด้านล่างด้วยท่าทีทระนงองอาจ