คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์) – ตอนที่ 1643 ได้กระจก

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1643 ได้กระจก

ในชั่วพริบตาที่จิตวิญญาณดั้งเดิมของผึ้งเขียวถูกทำลาย ห่างออกไปสองสามร้อยจั้ง ผึ้งมารที่บินหึ่งๆ อยู่ท่ามกลางม่านหมอกเหล่านั้น ก็เปล่งแสงสว่างวาบ

เสียง “ปังๆ” ดังขึ้น ระเบิดร่างกายตัวเองออกทีละตัวๆ

ตั้งแต่ที่ผึ้งยักษ์สีเขียวถูกทำลายร่าง จนถึงตอนที่จิตวิญญาณมารสองตัวสลายหายไป ก็เกิดขึ้นแค่ชั่ววินาทีเท่านั้น

หานลี่ไม่แม้แต่จะมองซากศพของมารอินทรีที่ตกลงมา เลื่อนสายตาไปมองอสูรมารระดับสูงตัวสุดท้ายที่อยู่ไกลออกไป

สายตาเย็นชาดุจน้ำแข็ง

แน่นอนว่ามารสองเขาย่อมมองเห็นเหตุการณ์ทางด้านนี้ทั้งหมด ภายใต้ความตกตะลึง ก็มีสีหน้าเขียวคล้ำ

แม้ว่าผึ้งยักษ์และมารอินทรีจะมีพลังยุทธ์ไม่เท่าเขา แต่ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก คาดไม่ถึงว่าแค่ปะหน้าทั้งสองก็จะถูกอีกฝ่ายสังหารได้อย่างง่ายดาย แม้แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมก็ยังหนีไม่พ้น

นี่จะไม่ทำให้มันรู้สึกหนาวสะท้านได้อย่างไร

แม้ว่าอีกฝ่ายจะทำสำเร็จ แต่ก็เป็นเพราะใช้การลอบโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว เขาถามตัวเองหากตนอยู่ในสถานการณ์เดียวกับอีกฝ่าย ก็ไม่อาจสังหารสหายร่วมวิถีได้อย่างเรียบร้อยเช่นนี้

ทว่ามารตัวนี้เองก็แปลกประหลาดใจอยู่บ้าง

การดึงดูดความสนใจของพวกเขาเมื่อครู่และสิ่งที่ปรากฏขึ้นทีหลังอย่างเงาสีทองซึ่งถูกค้อนของเขาทำลาย มันคืออะไรกัน

พวกเขาสัมผัสได้ชัดๆ ว่ามีพลังวิญญาณที่ไม่ธรรมดา มิเช่นนั้นคงไม่ถูกหลอกอย่างง่ายดายเช่นนี้

ไม่ว่าจะอย่างไร หากเขาเข้าไปประมือเพียงลำพังละก็ แปดเก้าส่วนคงต้องเพลี่ยงพล้ำ ไม่สู้รอให้กำลังเสริมมา แล้วค่อยคิดหาวิธีสังหารอีกฝ่ายจะดีกว่า

หากไม่ไหวจริงๆ ก็ฝ่าฝืนกฎของเทือกเขาและสัญญาที่ทำกับแดนนอกปิดทางเข้าเอาไว้ แล้วสังหารคนผู้นี้ทิ้งไปเสียเลย

คิดดูแล้วบรรดาระดับสุดยอดที่มาจากภายนอก คงไม่มาถกปัญหาอะไรกับนายท่านระดับศักดิ์สิทธิ์ที่เทือกเขาเพื่อคนเพียงคนเดียว

มารสองเขาช่างเจ้าเล่ห์เพทุบายนัก หลังจากได้สติจากการตกตะลึงแล้ว ก็คิดหาวิธีรับมือออกในทันใด

ดังนั้นในเวลาเดียวกันที่หานลี่มองมา ฉับพลันนั้นเขาก็ตะปบมือทั้งสองออกไป

หลังจากเสียง “สวบๆ” ดังขึ้น ค้อนเหล็กสองด้ามก็หดเล็กลงจนมีขนาดเท่าปกติ และบินกลับมาในมือของเขา

จากนั้นพลันอ้าปากออกพ่นกระจกสัมฤทธิ์สามเหลี่ยมก่อนหน้านี้ออกมาอีกครั้ง มือหนึ่งชี้ไปที่สมบัติชิ้นนี้อย่างรวดเร็ว

ผิวของกระจกสัมฤทธิ์เปล่งเสียงหึ่งๆ พลางพ่นลำแสงเย็นเยียบออกมากลุ่มหนึ่ง แล้วห่อหุ้มลงมาด้านล่าง

ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น

หลังจากลำแสงเย็นเยียบลดระดับลงมา เงาร่างสูงใหญ่ของมารสองเขาก็หายวับไปจากที่เดิม

จากนั้นกระจกสัมฤทธิ์ก็สั่นเทากลายเป็นเงาสายหนึ่ง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วสลายหายไปจากกลางอากาศ

ฉากนี้ทำให้หานลี่ที่อยู่ไกลออกไปตกตะลึง และรู้สึกคาดไม่ถึงไปเล็กน้อย

แต่ทันใดนั้นเขาก็มีสีหน้าเคร่งขรึม รูม่านตามีลำแสงสีฟ้าสว่างวาบ ระลอกคลื่นประหลาดปรากฏขึ้น ทำให้ผู้คนที่มองดวงตาของเขา ถูกดึงดูดสายตาแม้กระทั่งจิตวิญญาณเข้าไป

ดูเหมือนว่าจะมองอะไรออก หานลี่ใช้มือหนึ่งร่ายอาคม สองนิ้วจึงแตะไปที่หว่างคิ้วอย่างรวดเร็ว

ไอสีดำกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น และผนึกรวมกันกลายเป็นดวงตาสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกดวงหนึ่ง

นั่นก็คือเนตรทำลายล้าง

เมื่อเนตรปีศาจปรากฏรูป ก็กลอกตาไปมาทันที ลำแสงสีดำสนิทไหลวนอยู่ มีอักขระไหลวนไปมาอยู่ในแววตารางๆ

เสียงแผ่วเบาดังขึ้น ลำแสงสีดำความหนาเท่านิ้วมือถูกพ่นออกมาจากเนตรทำลายล้าง และเปล่งแสงสว่างวาบพลางจมหายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย

หลังจากผ่านไปชั่วครู่บรรยากาศรอบๆ ห่างออกไปรอยจั้งเศษ พลันมีเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นดังขึ้น จากนั้นรัศมีลำแสงสีดำกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ระลอกคลื่นสั่นเทากลางอากาศและสลายออก

เสียงอึกทึกดังขึ้น ลำแสงเย็นเยียบสีหม่นหมองดีดออกมาจากรัศมีลำแสง และบินห่างออกไปสิบจั้งเศษ ถึงได้ซวนเซหยุดลง

ลำแสงหม่นแสง มารสองเขาพลันปรากฏตัวขึ้นด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว

แทบจะในเวลาเดียวกันเสียงฟ้าผ่าก็ดังเหนือหัวของมารตนนั้น ประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบ ด้านในมีเงาร่างคนสายหนึ่งปรากฏขึ้นรางๆ

“แย่แล้ว”

ร่างของมารสองเขายังไม่ทันยืนให้มั่นคง แต่หลังจากกวาดสายตาไปเหนือศีรษะ จิตใจพลันหนักอึ้ง แทบจะสะบัดมือทั้งสองไปตามความรู้สึก

ชั่วขณะนั้นค้อนยักษ์สองด้ามในมือพลันเปล่งเสียงหวีดร้อง แล้วพุ่งลงไปทับเงาร่างคนเหนือศีรษะ

ในเวลาเดียวกันตรงทรวงอกก็มีผลึกลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ ธงสีฟ้าด้ามหนึ่งบินออกมา พลิ้วไหวเล็กน้อย แล้วกลายเป็นม่านลำแสงสีฟ้า ห่อหุ้มเรือนร่างของเขาเอาไว้

ส่วนตัวของมารสองเขาพลันมีลำแสงสีดำเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างกายกลับพุ่งออกไปราวกับลูกธนู หมายจะดึงระยะห่างออกจากหานลี่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

แต่หานลี่จะปล่อยให้มารตนนี้สมใจได้อย่างไร เห็นเพียงอัสนีสีเขียวขาวบนท้องฟ้าระเบิดออกเสียงดังสนั่น สายฟ้าเปลี่ยนสีกลายเป็นประจุไฟฟ้าสีเงินระยิบระยับ

จากนั้นร่างกายพลันขยายใหญ่ขึ้น หมุนวนแล้วกลายเป็นวิหคยักษ์สีเขียวขนาดสองสามจั้งตัวหนึ่ง สยายปีกทั้งสองข้างออก แล้วพาประจุไฟฟ้าสีเงินหนาเท่าปากชามกระโจนเข้ามาเป็นสายๆ

ความเร็วของมันนั้น ชั่วพริบตาที่ลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ กรงเล็บยักษ์ก็ตะปบไปหาค้อนสีดำที่บินเข้ามา

เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นขึ้น!

ค้อนยักษ์ถูกกรงเล็บยักษ์เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปราวกับกระดาษ จากนั้นเสียงโอดครวญพลันดังขึ้น อสรพิษสีเงินระเบิดออกแล้วดีดตัวออกมาเป็นสายๆ

ครู่ต่อมากรงเล็บยักษ์ก็ไม่หยุดชะงักเลยแม้แต่น้อย ชั่วครู่ก็ตะปบไปที่ม่านลำแสงสีฟ้าบนเรือนร่างของมารสองเขา

นอกเหนือความคาดหมายไปเล็กน้อย ม่านลำแสงสีฟ้าที่ดูธรรมดาๆ กลับเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นม่านลำแสงที่ดูราวกับผลึกน้ำ

ไม่ว่าประจุไฟฟ้าหรือว่าพลังมหาศาลของกรงเล็บยักษ์ เมื่อตะปบไปที่มัน ก็จมหายเข้าไปราวกับโคลนที่จมลงสู่มหาสมุทร ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด

เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มารสองเขาที่อยู่ในรัศมีลำแสงพลันผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง อดที่จะเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้

แต่ไม่รอให้เขาได้เคลื่อนไหวใดๆ อีก ด้านนอกรัศมีลำแสงก็มีเสียงกรีดร้องแหลมสูงดังขึ้น เห็นจะงอยวิหคสีเขียวกลายเป็นลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจิกลงมาเป็นสายๆ

เสียง “ปังๆๆ” ดังขึ้นสามครั้ง รัศมีลำแสงระเบิดออก จากนั้นเสียงไพเราะก็ดังขึ้น คาดไม่ถึงว่ารัศมีลำแสงแวววาวจะถูกจิกอยู่ที่เดียว แล้วแตกออกเป็นเสี่ยงๆ สุดท้ายก็กลายเป็นลำแสงสีฟ้าแล้วสลายหายไป

“เอ๋”

มารสองเขาที่อยู่ด้านในพลันตกตะลึง แขนสองข้างโบกสะบัดขึ้นไปด้านบนพร้อมกัน

เสียงแหวกอากาศดังขึ้น กรงเล็บสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏออกมา กลายเป็นกรงเล็บตาข่ายตัดสลับกันไปมาอย่างหนาแน่น ต้านทานเหนือศีรษะของเขาเอาไว้

แต่จะงอยปากของวิหคยักษ์สีเขียวพลันขยับอีกครั้ง

ลำแสงสีเขียวสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง ชั่วครู่ก็จมหายเข้าไปในกรงเล็บลำแสง

ชั่วขณะนั้นสายฟ้าสีเงินพลันออกฤทธิ์ กรงเล็บตาข่ายถูกฉีกออกอย่างง่ายดาย ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปราวกับเงาลวงตา

ร่างมารสองเขาสั่นเทาอย่างหนัก รูโลหิตขนาดเท่าปากชามปรากฏขึ้นตรงนั้น และยิ่งไปกว่านั้นในรูโลหิตยังมีลำแสงสีเงินเปล่งแสงเป็นระยะๆ

ชั่วขณะนั้นใบหน้าของมารตัวนี้พลันเผยสีหน้าหวาดกลัวไม่อยากจะเชื่อออกมา แต่ไม่รอให้มันได้เปล่งเสียงร้องคร่ำครวญ รูโลหิตตรงทรวงอกก็มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีเงินพุ่งออกมาเป็นสายๆ แล้วระเบิดออกอีกครั้ง

สายฟ้าสีเงินจมหายเข้าไปในม่านสองเขา

หลังจากเสียงฟ้าร้องดังขึ้นชั่วครู่ ถึงได้หยุดลง

กายเนื้อของมารสองเขารวมทั้งจิตวิญญาณดั้งเดิมด้านใน กลายเป็นผุยผงท่ามกลางลำแสงอัสนีที่รุนแรงตั้งนานแล้ว สลายหายไปจากยุทธภพนี้อย่างไร้ร่องรอย

เหลือเอาไว้เพียงกระจกสัมฤทธิ์สามเหลี่ยมบานนั้น!

หลังจากที่หานลี่กวาดสายตาไปบนกระจกสัมฤทธิ์ ก็ยกมือขึ้นกวัก ชั่วขณะนั้นพลังแรงดูดกลุ่มหนึ่งพลันก่อตัวขึ้น ชั่วครู่ก็ดูดสมบัติที่ไร้เจ้าของเข้ามาอยู่ในมือ และก้มหน้าลงพิจารณาสองแวบ

แต่ก็ไม่พบอะไรจากการมองแบบลวกๆ นั้น

ทว่าเขากลับรู้สึกสนใจเจ้าสิ่งนี้มาก

กระจกบานนี้สามารถรวบรวมพลังปราณ และยังพาคนหลีกหนีไปกลางอากาศได้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สมบัติอาคมธรรมดาๆ และไม่รู้ว่ามารตัวนี้ได้สมบัติชิ้นนี้มาอย่างไร

มือหนึ่งโบกสะบัด ฉับพลันนั้นลำแสงสีเหลืองที่แผ่ออกมาจากกระจกพลันสลายหาย

ก่อนหน้านี้เป็นเพราะต้องการสังหารอีกฝ่าย เขาจึงสำแดงยันต์ชำระพิสุทธิ์และยันต์เกราะเอกออกมาทีเดียว แต่ตอนนี้ได้สมบัติชิ้นนี้มาแล้ว ก็นับว่าไม่เสียเปรียบนัก

หานลี่ขบคิดเช่นนี้ ก็ไม่ได้มีเจตนาจะรั้งรอต่อ ลำแสงหลีกปรากฏขึ้น กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่ง พุ่งไปยังส่วนลึกของทะเลหมอก

สองสามเค่อพายุมารสีดำผืนหนึ่งก็หวีดร้องดังขึ้นมาจากขอบฟ้า

แต่หลังจากที่หมุนวนหน้าทะเลหมอก ชั่วขณะนั้นก็หม่นแสงลงแล้วสลายหายไป ด้านในวายุมีมารอสูรรูปร่างประหลาดๆ ห้าตนปรากฏขึ้น

“ที่ที่พวกเขาสามคนหายไปครั้งสุดท้ายคือที่นี่” อสูรน้อยหนึ่งในนั้นที่ร่างกายดูเหมือนสร้างขึ้นจากกระเบื้องเคลือบกวาดสายตาไปยังทะเลหมอกแวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น

อสูรทั้งสี่ที่เหลือมองทะเลหมอก แววตาฉายแววระแวดระวัง

“จากการร่วมมือของนายท่านอู่ลี่และพวกทั้งสาม จะไม่มีข่าวคราวในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้ได้อย่างไร หรือว่าพบความยุ่งยากอะไรระหว่างทาง?” มารอสูรหัวงูเหลือมตัวนั้นเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา

“ก็ไม่แน่ใจนัก ทว่าไม่ว่าอย่างไร ทุกท่านก็ต้องกระตือรือร้นไว้ พวกเราต้องระวังมากหน่อย” อสูรน้อยสั่นศีรษะ จากนั้นก็ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่ไม่ปล่อยให้สงสัยอีก

“ขอรับ”

มารอสูรที่เหลือทยอยกันก้มหน้าลงตอบรับอย่างนอบน้อม

จากนั้นมารอสูรห้าตนก็กลายเป็นวายุมาร พุ่งเข้าไปในทะเลหมอก

หลังจากผ่านไปครึ่งเค่อ ตรงจุดที่หานลี่สังหารมารสองเขา มารอสูรเหล่านั้นก็ทยอยกันปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

พวกมันใช้สายตาฉงนสงสัยพิจารณาทุกอย่างรอบด้าน

อสูรประหลาดตัวที่เหมือนเป็ดแต่หัวมีเขาเดี่ยวสีขาวตัวนั้น กลายเป็นลำแสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งไปด้านล่าง แค่กะพริบวาบก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย

การเคลื่อนไหวนี้แน่นอนว่าย่อมดึงดูดความสนใจจากมารอสูรตนอื่นๆ จึงอดที่จะมองสบตากันไปมาแวบหนึ่งไม่ได้

แต่ผ่านไปแค่ชั่วครู่ ไอมารด้านล่างพลันหมุนวน มารอสูรเป็ดตัวนั้นบินออกมาจากด้านใน

แค่ตะปบเท้าที่มีพังผืดออกมา ก็มีเศษเขาวัวขนาดเท่ากำปั้นปรากฏขึ้นในเท้าทั้งสองข้าง

“นี่คือเขาวิญญาณของนายท่านอู่ลี่ มาตกอยู่ที่นี่ได้อย่างไร หรือว่ากลับคืนสวรรค์แล้ว” มารอสูรเสืออีกตนหนึ่ง เอ่ยพึมพำด้วยความหนาวเหน็บหัวใจ

“ดูแล้วพวกเขาสามคนคงเพลี่ยงพล้ำไปแล้วจริงๆ คาดไม่ถึงว่าผู้ที่กำลังไล่ตามจะมีอิทธิฤทธิ์ถึงเพียงนี้?” อสูรน้อยหรี่ตาทั้งสองข้างลง แล้วเอ่ยพึมพำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“เช่นนั้นพวกเราจะทำอย่างไรต่อ ผู้ที่มาจากภายนอกผู้นั้นหนีไปตั้งนานแล้ว พวกเราไม่อาจไล่ตามได้อีก” มารอสูรงูเหลือมมีสีหน้าเคร่งขรึมสลับกับสดใส แล้วอดไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น

“หึ ต่อให้รู้ตำแหน่งของคนผู้นี้ ข้าก็ไม่อาจไล่ตามไปได้อีก ในเมื่ออีกฝ่ายสังหารอู่ลี่และพวกทั้งสามได้อย่างง่ายดาย พวกเราเข้าไปก็คงไม่ใช่คู่มือ กลับกันเถิด!” อสูรน้อยแค่นเสียงด้วยความเย็นชา เอ่ยอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

“แต่หากเป็นเช่นนี้ กลับไปก็ไม่รู้ว่าจะรายงานอย่างไรสินะ นายท่านจะต้องโกรธมากแน่” อสูรกลับเอ่ยอย่างแช่มช้าและหวาดกลัว

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท