ตลอดเวลาทั้งสิบวันค่ายเขี้ยวหมาป่าสามารถทำการเคลื่อนย้ายชาวบ้านผู้อยู่อาศัยและเหล่าผู้รอดชีวิตทั้งหมดในค่ายเขี้ยวหมาป่าออกไปใช้ชีวิตอยู่ในส่วนอื่นของเมืองอันลูได้เรียบร้อย พวกเขาทำการตรวจสอบและกวาดล้างซอมบี้ทั้งหมดในเมืองอันลูจนสิ้นจน ตอนนี้ไม่ว่ามองไปทางไหนภายในค่ายเขี้ยวหมาป่าก็มีแต่พื้นที่โล่งและว่างเปล่า
ทีมก่อสร้างนำโดยซูชิงได้เริ่มการก่อสร้างอย่างเร่งด่วนขึ้นอีกครั้งทั้งค่ายเต็มไปด้วยเสียงดังอึกทึกหากมันไม่ได้โกลาหล มันเป็นเสียงการทำงานที่ทำเป็นลำดับขั้นตอนและเต็มไปด้วยพลังอำนาจที่ค่อยๆสร้างฐานทัพทหารต้นแบบแห่งแรกในโลกาวินาศขึ้นมา
มันไม่มีการปกปิดใดๆทั้งสิ้นทุกอย่างตกอยู่ในสายตาของเหล่าตัวแทนทั้งหลาย มันมีทั้งความชื่นชมและเหยียดหยามปนกันไป บางคนในใจก็ตั้งตารอคอยให้ชูฮันจัดตั้งฐานทัพทหารขึ้นมาแต่อีกใจก็อดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นการพยายามที่เปล่าประโยชน์และสิ้นเปลืองทรัพยากรเปล่าๆ
ในขณะเดียวกันแต่และแผนกของค่ายเขี้ยวหมาป่าก็กำลังอยู่ในความเฟื่องฟู พวกเขาต่างยุ่งวุ่นวายกับหน้าที่และภารกิจหากการทำงานก็ไม่สะดุดหรือติดขัดอะไร เพราะหลังจากสงครามครั้งใหญ่จบลงก็มีการเกณฑ์พลเรือนเข้ามาช่วยงานของทางการเพิ่ม แม้แต่ติงเซวที่เป็นดูแลแผนกที่รวบรวมข้อมูลทุกอย่างไว้ในมือเยอะที่สุดในค่ายเขี้ยวหมาป่าก็ยังมีเจ้าหน้าที่พลเรือนผู้หญิงมาช่วยงานหลายคน
เหว่ยอันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ทุกคนค่อยๆรับรู้ประมวลข้อมูล และนำแผนของชูฮันไปดำนเนิการ เหว่ยอันเองก็เข้าไปทำงานในแผนกข้อมูลและพยายามอย่างมากเพื่อปรับตัวเข้ากับคนอื่น ภาระอันยิ่งใหญ่จำเป็นต้องใช้คนที่มีความสามารถขั้นสูงดังนั้นรากฐานของความสำคัญของหน้าที่นี้จึงทำให้เธอเกิดความกลัว
แน่นอนว่าการเป็นหนึ่งในเขี้ยวหมาป่าหมายความว่าดีที่สุดแม้แต่คนที่ทำหน้าที่ระดับพื้นฐานที่สุดและตำแหน่งน้อยที่สุดก็ยังเป็นคนที่มีความสามารถสูง ภายในอาคารทำงานต่างๆของค่ายเขี้ยวหมาป่านั้นไม่มีการตกแต่งหรูหราฟุ่มเฟือย ทุกอย่างราบเรียบแถมยังหยาบไปในบางที
ตั้งแต่ที่ชูฮันให้แผนการที่มีระยะเวลาจำกัดกับทุกแผนกไปทุกคนก็ต่างเร่งมือรีบดำเนินการกันหมด!
”เหว่ยอันส่งงานนั้นไปให้คนอื่นแทน” ทันใดนั้นเสียงของติงเซวก็ดังขึ้นข้างๆเหว่ยอัน
เหว่ยอันรีบเงยหน้าขึ้นมาถามด้วยความรู้สึกท่วมท้นทันที”ฉันทำได้ไม่ดีเหรอ?”
ยามที่อยู่ต่อหน้าชูฮันและคนอื่นๆติงเซวและซางจิ่วตี้มักจะเข้มงวดต่อผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเองเสมอ พวกเธอมักจะมีสีหน้าเย็นชาเรียบยิ่งและเต็มไปด้วยแรงกดดัน
”เปล่า”ติงเซวส่งรอยยิ้มที่ยากจะมีใครได้เห็น “มีบางคนต้องการพบเธอ”
”เอ่ออ..”เหว่ยอันตะลึง จากนั้นก็มองตามนิ้วของติงเซวไป
มันมีต้นไม้ใหญ่อยู่ด้านนอกบานหน้าต่างเก้าอี้ยาววางอยู่ใต้เงาของร่มไม้ผืนใหญ่ เหว่ยอันมองไม่เห็นว่าใครคือคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวตัวนั้นแต่ท่านั่งที่ดูผ่อนคลายและแผ่นหลังขนาดกำลังพอดีนั้นทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคย
เหว่ยอันเดินออกมาจากอาคารด้วยความสงสัยและเขินอายเธอค่อยๆเดินเข้าไปหาคนที่นั่งหันหลังให้เธออยู่ที่เก้าอี้ยาวตัวนั้น และทันใดนั้นเองเธอก็พบว่าคนคนนั้นคือ…ชูฮัน!
ทั้งสองคนเคยเจอกันบนเรือจากนั้นก็มาพบกันอีกครั้งที่เมืองอันลู หลังจากเวลาผ่านไปยาวนานพวกเขาไม่ได้ติดต่อพูดคุยกันเลย แม้เหว่ยอันจะรู้ดีว่าชูฮันคือคนที่ช่วยเธอเอาไว้แต่ในค่ายเขี้ยวหมาป่าไม่มีใครสนใจความสัมพันธุ์ของเธอกับชูฮัน เพราะแต่ละแผนกในค่ายเขี้ยวหมาป่านั้น…มีใครบ้างที่ไม่มีความสัมพันธุ์กับชูฮัน?
ติงเซวเองก็เคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนในมหาวิทยาลัยกับชูฮันแถมยังเป็นน้องสะใภ้ของชูฮันเพราะเป็นคนรักกับน้องชายคนสนิทของชูฮันอย่างเฉินช่าวเย่
ดังนั้นเหว่ยอันจึงไม่ได้รู้สึกน้อยใจอะไรเธอเข้าใจชัดเจนดีถึงกฏของการมีชีวิตรอดในโลกาวินาศ…ถ้าไม่มีพลังต่อสู้ ก็ต้องมีความสามารถที่เป็นที่ต้องการขึ้นมาทดแทน
”พลเอกชูฮัน”เหว่ยอันยืนอยู่ต่อหน้าชูฮัน สายตาที่ใช้มองชูฮันนั้นมีความแตกต่างเล็กน้อยจากครั้งล่าสุดที่เคยเจอ
บางทีอาจจะมาจากสาเหตุที่รอบตัวชูฮันมีแรงกดดันจำนวนหนึ่งที่ทำให้เธอหายใจไม่สะดวกประกอบกับบรรยากาศเงียบสงบในยามบ่าย
ตอนที่เดินมาเหว่ยอันมองเห็นกระต่ายที่ขนาดเท่ากับฝ่ามือขนปุกปุยสีขาวราวหิมะ มันดิ้นรนไปมาอยู่บนตักชูฮันที่นั่งหันหลังให้เธออยู่ เจ้ากระต่ายเหมือนจะไม่ชอบใจชูฮันเท่าไหร่ มันพยายามใช้อุ้งเท้าของมาเตะไปมาพยายามดิ้นตัวหนีออกไป หากชูฮันก็แรงที่มีมากกว่ากดมันเอาไว้และปล่อยให้มันดิ้นต่อไปอยู่ในมือ
และทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกของเหว่ยอันชูฮันก็หันกลับมามองเหว่ยอันพร้อมส่งยิ้มบางๆให้
เหว่ยอันรู้สึกกดดันอย่างมากด้วยเพราะชูฮันมียศตำแหน่งใหญ่โตเป็นถึงพลเอก อีกทั้งยังเป็นผู้นำสูงสุดของค่ายเขี้ยวหมาป่า ชูฮันในตอนนี้เป็นคนละคนกับที่เธอเคยเจอ
”นั่นมัน…”เหว่ยอันพูดถึงกระต่ายในมือชูฮัน “มันดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบท่านเท่าไหร่”
ชูฮันขยับตัวจากนั้นก็กำหูหวังไคขึ้นมาและส่งให้ที่มือเหว่ยอัน “จับมันไว้ อย่าปล่อยให้มันกินเต้าหูละ”
เหว่ยอันยิ้มจากนั้นก็นั่งลงพร้อมกับหวังไคในมือ เธอไม่รู้ที่มาที่ไปของหวังไค เธอคิดแค่ว่ามันคงเป็นกระต่ายธรรมดาทั่วไปและชูฮันเพียงแค่พูดเล่นตลกเท่านั้น
กระต่ายเนี่ยนะจะกินเต้าหู้?
ไม่ใช่หมาซะหน่อย…
สำหรับชูฮันแล้วเขามองว่าเหว่ยอันเป็นคนที่มีเสน่ห์และความมุ่งมั่นสูงมาก เธอเดินทางกลับมาเมืองอันลูผ่านการเดินทางหลายพันกิโลเมตรเพื่อตามหาแฟนหนุ่ม ผู้หญิงคนนี้ไม่มีทางเป็นแค่คนธรรมดา?
แต่ตอนนี้ชูฮันรู้ดีถึงความสัมพันธุ์ของฮูเหมิงฮาวและฮูเหมิงฮานเขาเข้าใจแล้ว่าทำไมคนที่ถูกจัดอันดับว่าเป็นเทพเจ้าอันดับที่สองถึงได้คบกับเป็นแฟนกับเหว่ยอัน…ตอนนี้ทุกอย่างมันดูเข้าเค้าแล้ว
ไม่แปลกใจที่เหว่ยอันเลือกที่จะเสี่ยงชีวิตกลับไปหาฮูเหมิงฮาวในตอนนั้น
น่าสงสารที่เธอไม่รู้ว่าฮูเหมิงฮานได้ยักยอกชื่อของฮูเหมิงฮาวไปใช้แทนและคนที่เธอเจอในตอนนั้นไม่ใช่แฟนจริงๆของเธอ
พอชูฮันไม่พูดเหว่ยอันก็ไม่กล้าจะพูดอะไรเหมือนกัน แต่ตอนนี้เธอไม่ได้กลัวชูฮันเหมือนตอนแรกแล้ว เธอนั่งลงที่เก้าอี้เพื่อทำจิตใจให้สงบ ในยามบ่ายที่แดดจ้าในที่สุดเธอก็พบความสุขท่ามกลางความเงียบอันยาวนาน
”ฉันได้เจอฮูเหมิงฮาว”จู่ๆชูฮันก็โพล่งขึ้นมากลางอากาศ
ใบไม้แห้งร่วงหล่นจากต้นไม้มันลอยละลิ่วตามแรงลมในอากาศก่อนจะตกลงพื้น
เวลาและสถานที่ดูเหมือนจะหยุดนิ่งทั้งสองคนต่างนั่งเงียบนิ่งไม่ขยับอยู่ที่เดิม สายตามองไปข้างหน้าไกลออกไป
แต่แววตาชูฮันกลับดูสงบสุขขณะที่ของเหว่ยอันนั้นเบิกกว้างเต็มไปด้วยความตกตะลึง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความผิดหวังและค่อยๆกลายเป็นความเศร้า
”่ท่านพูดอะไร?เขาตายแล้วไม่ใช่เหรอ?” เหว่ยอันพูดเสียงแผ่ว มันมีความเศร้าอยู่ในน้ำเสียงอย่างเห็นได้ชัด
ชูฮันเหลือบมองเหว่ยอันพร้อมส่งยิ้มให้เขาชอบการมีสติและความเข้มแข็งจากข้างในของเด็กสาวคนนี้ คนที่กล้าจะบุกมาเมืองอันลูที่เต็มไปด้วยซอมบี้เพียงคนเดียวเพื่อตามหาคน ชูฮันไม่สามารถปล่อยให้ความผิดหวังทำร้ายจิตใจของเหว่ยอันได้
เหว่ยอันเป็นผู้หญิงที่พิเศษและคู่ควรที่จะอยู่เคียงข้างฮูเหมิงฮาว!
”คนที่เธอเจอที่ในตัวเมืองอันลูตอนนั้นเขาเป็นน้องชายฝาแฝดของฮูเหมิงฮาว ชื่อว่าฮูเหมิงฮาน” หลังจากพูดจบชูฮันก็เงียบไปสักพัก ก่อนจะเสริมต่อ “เป็นเศษขยะที่แตกต่างจากพี่ชายคนละโยชน์”
เหว่ยอันตะลึงค้างตาเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
”เขาไม่ได้บอกเธอเหรอว่าเขามีน้องชายฝาแฝด?”ชูฮันถาม
เหว่ยอันส่ายหัวรัวๆก่อนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างตื่นเต้น “เขายังไม่ตาย? แปลว่าเขายังมีชีวิตอยู่?!” ชูฮันมองเหว่ยอันด้วยสายตาชื่นชมอีกครั้งเหว่ยอันฉลาดพอที่ทำความเข้าใจทุกอย่างได้ง่ายๆ เธอไม่ได้สนใจฮูเหมิงฮานเลยและสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ออกมาได้ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมฮูเหมิงฮาวถึงได้คิดถึงผู้หญิงคนนี้อยู่เสมอ
”เชาปลอดภัยดีและฉันก็ส่งเขาออกไปทำภารกิจอื่นอยู่”ชูฮันยิ้มจากนั้นก็ลุกขึ้น หยิบหวังไคที่ดิ้นรนไม่เลิกมาจากเหว่ยอันที่ยังคงมึนงงไม่หาย
ทุกอย่างได้พูดออกไปแล้วดังนั้นไม่จำเป็นต้องยืดเยื้ออยู่ที่นี้ต่อเพราะคนที่ลำบากที่สุดจะเป็นเหว่ยอันซะเอง ชูฮันไม่อยากให้มีใครเอาเรื่องที่เขาเรียกเหว่ยอันออกมาคุยไปพูดต่อ เพราะเหว่ยอันจะกลายเป็นคนที่ถูกทุกคนจับตามองและอาจจะมองว่าที่เธอได้งาน ได้เลื่อนขั้นเป็นเพราะเส้นสายจากชูฮัน
ทีมก่อสร้างนำโดยซูชิงได้เริ่มการก่อสร้างอย่างเร่งด่วนขึ้นอีกครั้งทั้งค่ายเต็มไปด้วยเสียงดังอึกทึกหากมันไม่ได้โกลาหล มันเป็นเสียงการทำงานที่ทำเป็นลำดับขั้นตอนและเต็มไปด้วยพลังอำนาจที่ค่อยๆสร้างฐานทัพทหารต้นแบบแห่งแรกในโลกาวินาศขึ้นมา
มันไม่มีการปกปิดใดๆทั้งสิ้นทุกอย่างตกอยู่ในสายตาของเหล่าตัวแทนทั้งหลาย มันมีทั้งความชื่นชมและเหยียดหยามปนกันไป บางคนในใจก็ตั้งตารอคอยให้ชูฮันจัดตั้งฐานทัพทหารขึ้นมาแต่อีกใจก็อดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นการพยายามที่เปล่าประโยชน์และสิ้นเปลืองทรัพยากรเปล่าๆ
ในขณะเดียวกันแต่และแผนกของค่ายเขี้ยวหมาป่าก็กำลังอยู่ในความเฟื่องฟู พวกเขาต่างยุ่งวุ่นวายกับหน้าที่และภารกิจหากการทำงานก็ไม่สะดุดหรือติดขัดอะไร เพราะหลังจากสงครามครั้งใหญ่จบลงก็มีการเกณฑ์พลเรือนเข้ามาช่วยงานของทางการเพิ่ม แม้แต่ติงเซวที่เป็นดูแลแผนกที่รวบรวมข้อมูลทุกอย่างไว้ในมือเยอะที่สุดในค่ายเขี้ยวหมาป่าก็ยังมีเจ้าหน้าที่พลเรือนผู้หญิงมาช่วยงานหลายคน
เหว่ยอันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ทุกคนค่อยๆรับรู้ประมวลข้อมูล และนำแผนของชูฮันไปดำนเนิการ เหว่ยอันเองก็เข้าไปทำงานในแผนกข้อมูลและพยายามอย่างมากเพื่อปรับตัวเข้ากับคนอื่น ภาระอันยิ่งใหญ่จำเป็นต้องใช้คนที่มีความสามารถขั้นสูงดังนั้นรากฐานของความสำคัญของหน้าที่นี้จึงทำให้เธอเกิดความกลัว
แน่นอนว่าการเป็นหนึ่งในเขี้ยวหมาป่าหมายความว่าดีที่สุดแม้แต่คนที่ทำหน้าที่ระดับพื้นฐานที่สุดและตำแหน่งน้อยที่สุดก็ยังเป็นคนที่มีความสามารถสูง ภายในอาคารทำงานต่างๆของค่ายเขี้ยวหมาป่านั้นไม่มีการตกแต่งหรูหราฟุ่มเฟือย ทุกอย่างราบเรียบแถมยังหยาบไปในบางที
ตั้งแต่ที่ชูฮันให้แผนการที่มีระยะเวลาจำกัดกับทุกแผนกไปทุกคนก็ต่างเร่งมือรีบดำเนินการกันหมด!
”เหว่ยอันส่งงานนั้นไปให้คนอื่นแทน” ทันใดนั้นเสียงของติงเซวก็ดังขึ้นข้างๆเหว่ยอัน
เหว่ยอันรีบเงยหน้าขึ้นมาถามด้วยความรู้สึกท่วมท้นทันที”ฉันทำได้ไม่ดีเหรอ?”
ยามที่อยู่ต่อหน้าชูฮันและคนอื่นๆติงเซวและซางจิ่วตี้มักจะเข้มงวดต่อผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเองเสมอ พวกเธอมักจะมีสีหน้าเย็นชาเรียบยิ่งและเต็มไปด้วยแรงกดดัน
”เปล่า”ติงเซวส่งรอยยิ้มที่ยากจะมีใครได้เห็น “มีบางคนต้องการพบเธอ”
”เอ่ออ..”เหว่ยอันตะลึง จากนั้นก็มองตามนิ้วของติงเซวไป
มันมีต้นไม้ใหญ่อยู่ด้านนอกบานหน้าต่างเก้าอี้ยาววางอยู่ใต้เงาของร่มไม้ผืนใหญ่ เหว่ยอันมองไม่เห็นว่าใครคือคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวตัวนั้นแต่ท่านั่งที่ดูผ่อนคลายและแผ่นหลังขนาดกำลังพอดีนั้นทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคย
เหว่ยอันเดินออกมาจากอาคารด้วยความสงสัยและเขินอายเธอค่อยๆเดินเข้าไปหาคนที่นั่งหันหลังให้เธออยู่ที่เก้าอี้ยาวตัวนั้น และทันใดนั้นเองเธอก็พบว่าคนคนนั้นคือ…ชูฮัน!
ทั้งสองคนเคยเจอกันบนเรือจากนั้นก็มาพบกันอีกครั้งที่เมืองอันลู หลังจากเวลาผ่านไปยาวนานพวกเขาไม่ได้ติดต่อพูดคุยกันเลย แม้เหว่ยอันจะรู้ดีว่าชูฮันคือคนที่ช่วยเธอเอาไว้แต่ในค่ายเขี้ยวหมาป่าไม่มีใครสนใจความสัมพันธุ์ของเธอกับชูฮัน เพราะแต่ละแผนกในค่ายเขี้ยวหมาป่านั้น…มีใครบ้างที่ไม่มีความสัมพันธุ์กับชูฮัน?
ติงเซวเองก็เคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนในมหาวิทยาลัยกับชูฮันแถมยังเป็นน้องสะใภ้ของชูฮันเพราะเป็นคนรักกับน้องชายคนสนิทของชูฮันอย่างเฉินช่าวเย่
ดังนั้นเหว่ยอันจึงไม่ได้รู้สึกน้อยใจอะไรเธอเข้าใจชัดเจนดีถึงกฏของการมีชีวิตรอดในโลกาวินาศ…ถ้าไม่มีพลังต่อสู้ ก็ต้องมีความสามารถที่เป็นที่ต้องการขึ้นมาทดแทน
”พลเอกชูฮัน”เหว่ยอันยืนอยู่ต่อหน้าชูฮัน สายตาที่ใช้มองชูฮันนั้นมีความแตกต่างเล็กน้อยจากครั้งล่าสุดที่เคยเจอ
บางทีอาจจะมาจากสาเหตุที่รอบตัวชูฮันมีแรงกดดันจำนวนหนึ่งที่ทำให้เธอหายใจไม่สะดวกประกอบกับบรรยากาศเงียบสงบในยามบ่าย
ตอนที่เดินมาเหว่ยอันมองเห็นกระต่ายที่ขนาดเท่ากับฝ่ามือขนปุกปุยสีขาวราวหิมะ มันดิ้นรนไปมาอยู่บนตักชูฮันที่นั่งหันหลังให้เธออยู่ เจ้ากระต่ายเหมือนจะไม่ชอบใจชูฮันเท่าไหร่ มันพยายามใช้อุ้งเท้าของมาเตะไปมาพยายามดิ้นตัวหนีออกไป หากชูฮันก็แรงที่มีมากกว่ากดมันเอาไว้และปล่อยให้มันดิ้นต่อไปอยู่ในมือ
และทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกของเหว่ยอันชูฮันก็หันกลับมามองเหว่ยอันพร้อมส่งยิ้มบางๆให้
เหว่ยอันรู้สึกกดดันอย่างมากด้วยเพราะชูฮันมียศตำแหน่งใหญ่โตเป็นถึงพลเอก อีกทั้งยังเป็นผู้นำสูงสุดของค่ายเขี้ยวหมาป่า ชูฮันในตอนนี้เป็นคนละคนกับที่เธอเคยเจอ
”นั่นมัน…”เหว่ยอันพูดถึงกระต่ายในมือชูฮัน “มันดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบท่านเท่าไหร่”
ชูฮันขยับตัวจากนั้นก็กำหูหวังไคขึ้นมาและส่งให้ที่มือเหว่ยอัน “จับมันไว้ อย่าปล่อยให้มันกินเต้าหูละ”
เหว่ยอันยิ้มจากนั้นก็นั่งลงพร้อมกับหวังไคในมือ เธอไม่รู้ที่มาที่ไปของหวังไค เธอคิดแค่ว่ามันคงเป็นกระต่ายธรรมดาทั่วไปและชูฮันเพียงแค่พูดเล่นตลกเท่านั้น
กระต่ายเนี่ยนะจะกินเต้าหู้?
ไม่ใช่หมาซะหน่อย…
สำหรับชูฮันแล้วเขามองว่าเหว่ยอันเป็นคนที่มีเสน่ห์และความมุ่งมั่นสูงมาก เธอเดินทางกลับมาเมืองอันลูผ่านการเดินทางหลายพันกิโลเมตรเพื่อตามหาแฟนหนุ่ม ผู้หญิงคนนี้ไม่มีทางเป็นแค่คนธรรมดา?
แต่ตอนนี้ชูฮันรู้ดีถึงความสัมพันธุ์ของฮูเหมิงฮาวและฮูเหมิงฮานเขาเข้าใจแล้ว่าทำไมคนที่ถูกจัดอันดับว่าเป็นเทพเจ้าอันดับที่สองถึงได้คบกับเป็นแฟนกับเหว่ยอัน…ตอนนี้ทุกอย่างมันดูเข้าเค้าแล้ว
ไม่แปลกใจที่เหว่ยอันเลือกที่จะเสี่ยงชีวิตกลับไปหาฮูเหมิงฮาวในตอนนั้น
น่าสงสารที่เธอไม่รู้ว่าฮูเหมิงฮานได้ยักยอกชื่อของฮูเหมิงฮาวไปใช้แทนและคนที่เธอเจอในตอนนั้นไม่ใช่แฟนจริงๆของเธอ
พอชูฮันไม่พูดเหว่ยอันก็ไม่กล้าจะพูดอะไรเหมือนกัน แต่ตอนนี้เธอไม่ได้กลัวชูฮันเหมือนตอนแรกแล้ว เธอนั่งลงที่เก้าอี้เพื่อทำจิตใจให้สงบ ในยามบ่ายที่แดดจ้าในที่สุดเธอก็พบความสุขท่ามกลางความเงียบอันยาวนาน
”ฉันได้เจอฮูเหมิงฮาว”จู่ๆชูฮันก็โพล่งขึ้นมากลางอากาศ
ใบไม้แห้งร่วงหล่นจากต้นไม้มันลอยละลิ่วตามแรงลมในอากาศก่อนจะตกลงพื้น
เวลาและสถานที่ดูเหมือนจะหยุดนิ่งทั้งสองคนต่างนั่งเงียบนิ่งไม่ขยับอยู่ที่เดิม สายตามองไปข้างหน้าไกลออกไป
แต่แววตาชูฮันกลับดูสงบสุขขณะที่ของเหว่ยอันนั้นเบิกกว้างเต็มไปด้วยความตกตะลึง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความผิดหวังและค่อยๆกลายเป็นความเศร้า
”่ท่านพูดอะไร?เขาตายแล้วไม่ใช่เหรอ?” เหว่ยอันพูดเสียงแผ่ว มันมีความเศร้าอยู่ในน้ำเสียงอย่างเห็นได้ชัด
ชูฮันเหลือบมองเหว่ยอันพร้อมส่งยิ้มให้เขาชอบการมีสติและความเข้มแข็งจากข้างในของเด็กสาวคนนี้ คนที่กล้าจะบุกมาเมืองอันลูที่เต็มไปด้วยซอมบี้เพียงคนเดียวเพื่อตามหาคน ชูฮันไม่สามารถปล่อยให้ความผิดหวังทำร้ายจิตใจของเหว่ยอันได้
เหว่ยอันเป็นผู้หญิงที่พิเศษและคู่ควรที่จะอยู่เคียงข้างฮูเหมิงฮาว!
”คนที่เธอเจอที่ในตัวเมืองอันลูตอนนั้นเขาเป็นน้องชายฝาแฝดของฮูเหมิงฮาว ชื่อว่าฮูเหมิงฮาน” หลังจากพูดจบชูฮันก็เงียบไปสักพัก ก่อนจะเสริมต่อ “เป็นเศษขยะที่แตกต่างจากพี่ชายคนละโยชน์”
เหว่ยอันตะลึงค้างตาเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
”เขาไม่ได้บอกเธอเหรอว่าเขามีน้องชายฝาแฝด?”ชูฮันถาม
เหว่ยอันส่ายหัวรัวๆก่อนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างตื่นเต้น “เขายังไม่ตาย? แปลว่าเขายังมีชีวิตอยู่?!” ชูฮันมองเหว่ยอันด้วยสายตาชื่นชมอีกครั้งเหว่ยอันฉลาดพอที่ทำความเข้าใจทุกอย่างได้ง่ายๆ เธอไม่ได้สนใจฮูเหมิงฮานเลยและสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ออกมาได้ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมฮูเหมิงฮาวถึงได้คิดถึงผู้หญิงคนนี้อยู่เสมอ
”เชาปลอดภัยดีและฉันก็ส่งเขาออกไปทำภารกิจอื่นอยู่”ชูฮันยิ้มจากนั้นก็ลุกขึ้น หยิบหวังไคที่ดิ้นรนไม่เลิกมาจากเหว่ยอันที่ยังคงมึนงงไม่หาย
ทุกอย่างได้พูดออกไปแล้วดังนั้นไม่จำเป็นต้องยืดเยื้ออยู่ที่นี้ต่อเพราะคนที่ลำบากที่สุดจะเป็นเหว่ยอันซะเอง ชูฮันไม่อยากให้มีใครเอาเรื่องที่เขาเรียกเหว่ยอันออกมาคุยไปพูดต่อ เพราะเหว่ยอันจะกลายเป็นคนที่ถูกทุกคนจับตามองและอาจจะมองว่าที่เธอได้งาน ได้เลื่อนขั้นเป็นเพราะเส้นสายจากชูฮัน