คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์) – ตอนที่ 1663 แลกเปลี่ยน

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1663 แลกเปลี่ยน

“อ้อ สหายเอ่ยให้ละเอียดได้หรือไม่” หานลี่มองชายหนุ่มด้วยสีหน้าเคารพและรอบคอบแวบหนึ่ง และแฝงไว้ด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย

“แน่นอนว่าได้ จะว่าไปแล้วชนรุ่นหลังของผู้แซ่สวี่ก็มีไม่มากนัก เสียงเอ๋อร์คือชนรุ่นหลังที่ข้าเลี้ยงดูมากับมือเพียงคนเดียว ไม่ใช่ว่าผู้แซ่สวี่พูดเกินไป คุณสมบัติชนรุ่นหลังของข้าผู้นี้ แม้ว่าในเผ่าเมฆาก็ยังเรียกว่าเหนือชั้น ไม่ถึงร้อยปีก็บรรลุระดับเผ่าเบื้องบนได้” สายตาที่ผู้แซ่สวี่มองชายหนุ่ม ก็เผยสีหน้ารักใคร่เอ็นดูออกมา เห็นได้ชัดว่าให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก

“คำพูดของท่านปู่เกินจริงไปแล้ว คุณสมบัติของเสียงเอ๋อร์แค่ธรรมดาๆ ไม่น่าอวดอ้างอันใด” ชายหนุ่มกลับโบกมือเป็นพัลวัน ดูเหมือนว่าจะขัดเขินเป็นพิเศษ

“ฮ่าๆ สิบกว่าปีเจ้าก็ฝึกฝนจนมาอยู่ในระดับนี้ คุณสมบัติดีกว่าข้าในตอนนั้นมาก เหตุใดต้องถ่อมตัวด้วย” ตัวประหลาดเฒ่าแซ่สวี่เอ่ยพร้อมกับหัวเราะยกใหญ่

“จากคำพูดของสหายสวี่ หลานสวี่มีคุณสมบัติที่น่าตกตะลึงจริงๆ” หานลี่เองก็พยักหน้าพร้อมยิ้มน้อยๆ

ชายหนุ่มหน้าเปลี่ยนสีระเรื่อไม่ได้เอ่ยอันใดอีก

“ตามหลักการแล้ว หลังจากที่ชนรุ่นหลังผู้นี้บรรลุแล้วน่าจะอยู่เหนือชั้นกว่าข้า แต่น่าเสียดายที่ร่างกายของเขามีข้อบกพร่อง ทำให้ไม่อาจคาดเดาอันใดได้” ตัวประหลาดเฒ่าสวี่เก็บสีหน้าพึงพอใจ น้ำเสียงเคร่งขรึมไปเล็กน้อย

หานลี่แววตาเปล่งประกายไม่ได้เอ่ยอันใดอีก รู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องอธิบายให้ฟังเอง

ดังคาดน้ำเสียงของตัวประหลาดเฒ่าหยุดชะงัก จากนั้นพลันเอ่ยอีกว่า

“แม้ว่าเขาจะมีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยม แต่กลับเกิดปัญหาที่อสูรเมฆาประจำกาย อสูรเมฆาประจำกายที่ควรจะฝึกฝนจนออกมาได้แล้วกลับติดอยู่ในขั้นสุดท้าย ไม่อาจหลอมออกมาได้ และจากประสบการณ์ที่ผ่านมา แน่นอนว่าอสูรเมฆาประจำกายยิ่งฝึกฝนต้องยิ่งดีขึ้น มิเช่นนั้นก็จะมีข้อบกพร่องในการพัฒนาระดับขั้นและพละกำลังในอนาคต ครั้งนี้ที่ตาเฒ่ามาหาสหายหานก็อยากถามถึงเรื่องปราณแท้ฟ้าดิน เจตนาก็เพื่อสิ่งนี้”

“คำนี้หมายความว่าอย่างไร?” หานลี่ชักสีหน้า ราวกับว่าไม่ค่อยเข้าใจนัก

“เรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน แต่พูดง่ายๆ ก็คือ ตาเฒ่าไปพบโดยบังเอิญยามที่รวบรวมพลังปราณฟ้าดินจากปรากฏการณ์สวรรค์ครั้งที่แล้ว คาดไม่ถึงว่าจะช่วยให้อสูรเมฆาประจำกายของชนรุ่นหลังของข้าหลอมรวมได้ แต่ปราณแท้ที่รวบรวมมาครั้งที่แล้วกว่าครึ่งถูกข้าใช้ไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ที่เหลือก็ไม่พอใช้ ดังนั้นตาเฒ่าจึงมาขอร้องสหาย” ในที่สุดตัวประหลาดเฒ่าสวี่ก็เผยจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ออกมา

“หากพลังปราณฟ้าดินมีประโยชน์ต่อหลาน จากอิทธิฤทธิ์ของสหาย การรวบรวมมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ยากเย็นอันใด เหตุใดต้องมาหาผู้แซ่หาน” หานลี่ตอบกลับอย่างราบเรียบ

“ข้าเคยลองแล้วสองสามครั้ง พลังปราณฟ้าดินธรรมดาๆ ไม่มีประโยชน์ต่ออสูรเมฆาประจำกายของชนรุ่นหลังของข้า ดูแล้วปรากฏการณ์สวรรค์ที่สหายก่อขึ้นครั้งที่แล้วคงจะมีลักษณะพิเศษ ในนั้นคงมีสิ่งอื่นที่ไม่อาจพบเห็นได้ผสมอยู่ และเจ้าสิ่งนี้ที่ช่วยเสียงเอ๋อร์ได้” ตัวประหลาดเฒ่าสวี่เองก็มีท่าทีกลัดกลุ้มเล็กน้อย

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” หานลี่เผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา

เขารู้ดี สิ่งที่เรียกว่าปรากฏการณ์สวรรค์ในตอนแรก ความจริงแล้วคือสิ่งที่แผ่ออกมาจากเม็ดผลึกต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้ ไม่แตกต่างอันใดกับพลังปราณฟ้าดินทั่วไปก็แปลกแล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าเจ้าสิ่งนี้จะมีประโยชน์กับอสูรเมฆาประจำกาย นี่จึงทำให้เขารู้สึกคาดไม่ถึง

“ผู้แซ่สวี่มาหาครั้งนี้ หวังว่าสหายจะรวบรวมพลังปราณฟ้าดินที่เหมือนกับครั้งที่แล้วได้อีกครั้ง ผู้แซ่สวี่จะตอบแทนอย่างหนัก” ตัวประหลาดเฒ่าสวี่เอ่ยด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยการรอคอย

“ไม่ใช่ว่าข้าน้อยไม่อยากช่วย แต่เรื่องนี้มันยากจริงๆ” มุมปากของหานลี่ขยับเล็กน้อย เอ่ยอย่างลังเล

ต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้นั้นหายากขนาดไหน ต่อให้เขาไม่อาจหลอมได้ แต่ก็ยังคงมีประโยชน์กับยาลูกกลอนพัฒนาระดับขั้นของอสูรวิญญาณครวญ เขาจะให้เอาออกมาดูดซับง่ายๆ อีกครั้งได้อย่างไร

แม้ว่าเม็ดผลึกกิเลนเที่ยงแท้ในร่างของอสูรวิญญาณครวญจะมีไม่น้อย แต่สุดท้ายอาจจะขาดสักเม็ดสองเม็ด และไม่อาจทำให้มันพัฒนาระดับพลังยุทธ์ให้สูงขึ้นได้พอดี

แน่นอนว่าหานลี่ย่อมไม่ยอมให้อสูรวิญญาณของตนเองยอมพลีชีพเพื่อชนต่างเผ่าที่รู้จักกันครั้งแรกแน่

“อันใด สหายหานมีอันใดที่พูดมิได้หรือ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของชนรุ่นหลังข้า ขอแค่สหายยอมช่วย ศิลาวิญญาณมากแค่ไหนก็คุยกันได้” ตัวประหลาดเฒ่าสวี่รู้สึกจิตใจหนักอึ้ง แต่ปากกลับให้คำมั่นอย่างไม่ต้องขบคิด

“นี่ไม่ใช่เรื่องที่ศิลาวิญญาณจะแก้ไขได้ ไม่ปิดบังสหาย ปรากฏการณ์สวรรค์ครั้งที่แล้วไม่ใช่เคล็ดวิชาลับของข้าน้อยหรือวรยุทธ์ใดๆ ที่สามารถปล่อยออกมาได้ แต่เพราะทำสมบัติเสียหายไป ถึงได้ปรากฏขึ้น ส่วนสมบัตินั้นคือสมบัติอันใด ข้าน้อยก็ไม่สะดวกที่จะพูด แต่ปรากฏการณ์สวรรค์ที่ทำให้สูญเสียสมบัติอาคมไป คิดดูแล้วพี่สวี่คงจะรู้ดีสินะ และยิ่งไปกว่านั้นในมือของข้าน้อยก็มีหร็อมแหร็ม” หานลี่ครุ่นคิดอยู่นาน ถึงได้เอ่ยอย่างลำบากใจออกมา

“สูญเสียสมบัติอาคมไป” ตัวประหลาดเฒ่าสวี่ได้ยินพลันหน้าเปลี่ยนสี

“ใช่แล้ว และยิ่งไปกว่านั้นเจ้าสิ่งนี้ก็สำคัญกับข้าน้อยมาก มีประโยชน์ด้านอื่นมาก ต่อให้มีศิลาวิญญาณมากมายขนาดไหน ข้าน้อยก็ไม่ยอมเสียไปแน่” หานลี่อธิบายด้วยสีหน้าขอโทษขอโพย

“หากเสียสมบัติอาคมไปจริงๆ เปลี่ยนเป็นข้าน้อยก็ไม่มีทางยอมแลกกับศิลาวิญญาณใดๆ ง่ายๆ แน่ แต่จะว่าไปแล้วไม่ว่าสมบัติจะล้ำค่าระดับใดก็ต้องมีมูลค่าของมัน ผู้แซ่สวี่มิได้ชาญฉลาด แต่ก็มั่นใจว่ามีเงินทองอยู่บ้าน ล้วนสามารถใช้สมบัติระดับเดียวกันแลกเปลี่ยนกับสหายหานได้” เห็นได้ชัดว่าก่อนมาตัวประหลาดเฒ่าได้หาข้ออ้างเอาไว้แล้ว จึงไม่มีเจตนาจะปล่อยไปเลยสักนิด

“แลกเปลี่ยน!” หานลี่ได้ฟังพลันชักสีหน้า ดูเหมือนว่าจะใจเต้นขึ้นสองสามส่วน

เมื่อเห็นสีหน้าของหานลี่ ตัวประหลาดเฒ่าสวี่ย่อมรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาจะไม่แลกเปลี่ยนจริงๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกดีใจ สะบัดแขนเสื้อไปบนโต๊ะด้านหน้าโดยไม่ปริปาก

ม่านลำแสงสีแดงม้วนออกมา บนโต๊ะมีกล่องหยกขนาดน้อยใหญ่เจ็ดแปดกล่องปรากฏออกมา

“ของเหล่านี้ล้วนเป็นของล้ำค่าที่ผู้แซ่สวี่สะสมมาหลายปี สองชิ้นในนั้นแม้กระทั่งเกือบเอาชีวิตของผู้แซ่สวี่ไป สหายหานลองดูเถิด ไม่ว่าจะเป็นของชิ้นใด ก็เอาไปได้ทั้งหมด และยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ก็ถือว่าข้าน้อยได้รับความกรุณาจากสหายไม่น้อย” ตัวประหลาดเฒ่าสวี่เอ่ยสัญญาอย่างอารมณ์ดี

หานลี่ได้ยินพลันฉีกยิ้มอย่างอ่อนโยน หลังจากกวาดสายตาไปบนกล่องหยกบนโต๊ะ ความคิดก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว

ตัวประหลาดเฒ่าสวี่อยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นสุดยอดแล้ว ประกอบกับเป็นชาวเผ่าเมฆา เดิมก็มีอิทธิฤทธิ์ไม่น้อย เอาของล้ำค่าออกมา คิดดูคงไม่ด้อยกว่ากันเท่าใดนัก

แต่เขาเองก็มีสมบัติล้ำค่าอยู่กับตัว แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ก็ยังไม่กล้าคิดฝันถึงสมบัติสวรรค์ทมิฬตั้งสองชิ้น ในใจจึงไม่ได้คาดหวังว่าสิ่งที่อยู่ในกล่องหยกเหล่านี้จะทำให้เขาอยากแลกได้

ถึงอย่างไรเสียหากไม่มีสิ่งที่ตนต้องการ เขาก็ไม่มีทางตอบรับง่ายๆ

หานลี่ครุ่นคิดเช่นนั้น แต่ปากกลับเอ่ยอย่างไม่ชัดเจนพร้อมรอยยิ้ม

“ในเมื่อสหายสวี่กล่าวเช่นนี้ เช่นนั้นผู้แซ่หานก็ขอเปิดหูเปิดตากับของสะสมของสหายก่อนแล้วกัน”

ปากเอ่ยเช่นนั้น มือข้างหนึ่งพลันตะปบไปกลางอากาศฝั่งตรงข้าม

ชั่วขณะนั้นกล่องหยกสีแดงเพลิงบนโต๊ะพลันพลิ้วไหว เปล่งเสียง “สวบ” ออกมาในทันที ถูกหานลี่ดูดเข้ามาอยู่ในมือ

สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายร้อนฉ่าที่แผ่ออกมาจากกล่องหยก หานลี่เลิกคิ้วขึ้น มิกล้าดูแคลนลำแสงสีเขียวในมือเปล่งแสงสว่างวาบ ถูกลำแสงวิญญาณชั้นหนึ่งห่อหุ้มเอาไว้ ในเวลาเดียวกันนิ้วมืออีกนิ้วก็ดีดไปทางกล่องหยก

เสียงแผ่วเบาดังขึ้น ฝากล่องเปิดออกโดยอัตโนมัติ

จากนั้นกลิ่นอายร้อนฉ่าก็ทะลักออกมาจากด้านใน ทั้งห้องโถงอุณหภูมิสูงขึ้น

รูม่านตาของหานลี่มีลำแสงสีฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วขณะนั้นก็มองเห็นของในกล่องอย่างชัดเจน

เป็นไข่อสูรสีขาวใบหนึ่ง ทว่ามีขนาดเท่าไข่ไก่ แต่ผิวของมันกับมีลวดลายสีแดง แผ่ลำแสงสีแดงที่น่าตกตะลึงออกมา และค่อยๆ ขยายตัวและหดตัวลงไม่หยุด

“นี่คือ?” หานลี่มีสีหน้าตกตะลึง อดที่จะเอ่ยถามไม่ได้

แม้ว่าเขาจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของไข่ใบนี้ที่ไม่อ่อนแอ แต่แน่นอนว่าย่อมไม่อาจแยกแยะได้ว่ามันอยู่ในประเภทไหน ถึงได้เอ่ยถามอย่างประหลาดใจ

“สหายหานช่างตาแหลมเสียจริง จับอันแรกก็จับไข่วิญญาณที่มีอยู่อย่างเดียวในเหล่าสมบัติเหล่านี้แล้ว นี่คือไข่แมลงใบหนึ่งที่ข้าบุกเข้าในส่วนลึกใต้ดิน และสังหารผีเสื้อเปลวไฟโหดเ**้ยมที่หายากตัวหนึ่งจนได้มันมา ผีเสื้อเปลวเพลิงตัวนี้มีอิทธิฤทธิ์ไม่ด้อยกว่าธาตุไฟของข้า ข้าเสียเวลาไปหนึ่งปีเต็ม วางกับดักอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดก็สังหารปีศาจอสูรตัวนี้ได้ เชื่อว่าหลังจากที่ไข่ใบนี้ฟักตัวออกมาและดูแลเป็นอย่างดี มันจะกลายเป็นอสูรวิญญาณที่ยอดเยี่ยมที่สุด หากไม่ใช่เพราะข้าเองก็มีอสูรปราณประจำกายอยู่แล้ว ไม่อาจแบ่งความสนใจไปหาอสูรวิญญาณตัวอื่นได้ ไม่แน่ว่าก็อาจจะฟักไข่ใบนี้ไปตั้งนานแล้ว” ตัวประหลาดเฒ่าสวี่ยิ้มจนตาหยีขณะเอ่ย

“มีอิทธิฤทธิ์เทียบเท่ากับสหายสวี่ ระดับของผีเสื้อเปลวเพลิงตัวนี้ คงทำให้ผู้คนที่ได้ยินตกตะลึง น่าเสียดายข้าเองก็มีอสูรวิญญาณอื่นแล้ว มิเช่นนั้นคงต้องน้ำลายไหล” หานลี่เลื่อนสายตาออกมาจากไข่แมลง แล้วส่งเสียงจุ๊ๆ เอ่ยชม

ตัวประหลาดเฒ่าสวี่พลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็ฉีกยิ้มแล้วเอ่ยว่า

“นี่เป็นเพราะข้าขบคิดไม่รอบคอบ จากพลังยุทธ์ของพี่หานในยามนี้ จะไม่มีอสูรวิญญาณที่บ่มเพาะมาหลายปีได้อย่างไร ไม่เป็นไร สหายดูสมบัติอื่นต่อเถิด”

หานลี่พยักหน้า ปิดฝากล่องหยกในมือ และโยนออกไปอีกครั้งเบาๆ

ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งพลันบินออกมาจากแขนเสื้อของหานลี่ ม้วนกล่องหยกเอาไว้ แล้วรองมันกลับมาบนโต๊ะฝั่งตรงข้าม แต่จากนั้นลำแสงสีเขียวพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ม้วนกล่องหยกอีกกล่องด้านข้างเข้ามาส่งให้หานลี่

หานลี่ยกมือขึ้น คว้ากล่องหยกอันใหม่เข้ามาอยู่ในมือ…

เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งกาน้ำชา หานลี่ก็หยิบกล่องหยกของตัวประหลาดเฒ่าสวี่ออกมาแปดเก้าส่วนแล้ว

กล่องหยกที่เหลือล้วนบรรจุวัตถุดิบหายากเอาไว้ และมีหนึ่งถึงสองชิ้นที่เป็นสมบัติที่มีอานุภาพไม่ธรรมดา แม้กระทั่งยังมีขวดยาลูกกลอนที่มีผลในการเพิ่มพลังยุทธ์ของระดับหลอมสุญตา

ของเหล่านี้ไม่อาจเรียกว่าไม่ใช่ของล้ำค่าเลยสักชิ้นได้ แม้กระทั่งมีจำนวนไม่น้อยที่ไม่ด้อยไปกว่าสิ่งที่เอาออกมาประมูลในงานประมูลสี่เผ่า

แต่น่าเสียดายตั้งแต่ต้นจนจบหานลี่ไม่ถูกใจเลยสักชิ้น ตั้งแต่ต้นจนจบแค่ฉีกยิ้มไม่พูดไม่จา

เมื่อเขาชมของที่อยู่ในกล่องหยกกล่องสุดท้ายเสร็จแล้ว ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีกพลางยกมือขึ้นส่งกลับไป ตัวประหลาดเฒ่าสวี่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามพลันมีสีหน้าดูไม่ได้

“อันใด ของเหล่านี้ไม่เข้าตาสหายเลยสักชิ้นหรือ?” ในที่สุดตัวประหลาดเฒ่าสวี่ก็อดไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น

“ความจริงแล้วของพวกนี้ของสหายสวี่ล้วนเป็นของล้ำค่า โดยเฉพาะไข่ของผีเสื้อเปลวเพลิงตัวนั้น หากขายให้กับสหายที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาธาตุไฟ เกรงว่าเขาคงยอมจ่ายแน่ ต่อให้เอาไปประมูล เชื่อว่าราคาต่ำกว่าสิบล้านศิลาวิญญาณล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ของเหล่านี้สำหรับข้าน้อยแล้ว…” หานลี่เองก็เผยท่าทีจนใจออกมา และสั่นศีรษะขณะเอ่ยอย่างไม่จบประโยค

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท