A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1683 ภูเขาเทวะดูดปราณลูกใหม่
คาดไม่ถึงว่าหานลี่จะสำแดงปีกวายุอัสนีออกมา กระพือเล็กน้อย ผิวของปีกทั้งสองก็ปรากฏประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวขึ้นพร้อมกัน จากนั้นร่างกายก็พลิ้วไหว กลายเป็นลำแสงสีเขียวขาวสายหนึ่งพุ่งออกไป
เส้นไหมลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ อยู่ห่างออกไปเจ็ดแปดสิบจั้ง และยิ่งไปกว่านั้นยังไร้สุ้มเสียง ปรากฏขึ้นที่ปลายขอบฟ้าอีกด้าน
ความเร็วน่าตกตะลึงเช่นนี้ แทบจะไม่ต่างอันใดกับระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ เพียงพอที่จะมองสิ่งมีชีวิตระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ลงไปอย่างเย้ยหยันได้
ในที่สุดหานลี่ก็เริ่มเข้าใกล้หลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกทั้งสองที่กำลังหนีอยู่ด้านหน้าทีละนิดๆ
โชคดีที่อสูรลับทั้งหมดในบริเวณรอบดูเหมือนจะถูกอสูรลับราชาตัวนั้นเรียกไป การบินอย่างเปิดเผยเช่นนี้ จึงไม่พบกับการขัดขวางของอสูรลับตนอื่นอีก
หนึ่งชั่วยามผ่านไป ในที่สุดเขาก็ไล่ตามเป้าหมายทัน และมองเห็นเงาร่างของสองคนด้านหน้าอยู่ไกลๆ
ความจริงแล้วก็ไม่อาจกล่าวว่าไล่ตามทันได้
เพราะว่ายามที่เขาไล่ตาม หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนถูกบีบให้หยุดลำแสงหลีกหนีลง และกำลังต่อสู้กับอสูรลับตาสีเงินสองสามตัวอย่างครึกโครม
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง มองเห็นทุกสิ่งในระยะสองสามลี้อย่างชัดเจน
ยามนั้นเกราะสงครามสีเหลืองที่สือคุนสวมอยู่พลันเปล่งแสงสว่างวาบ สองเท้าขยับยืนอยู่บนท้องฟ้า ค้อนยักษ์สีแดงสดคู่หนึ่งปรากฏขึ้นในมือ สะบัดพลิ้วไหว เปลวเพลิงขนาดเท่ากำปั้นวนล้อมรอบจำนวนนับไม่ถ้วน กลิ่นอายร้อนฉ่าส่งมาเป็นระยะๆ กลายเป็นมังกรวารีเพลิงแดงรางๆ ตัวหนึ่ง เลื้อยวนไปมาอยู่ข้างกายเขา ท่าทางน่าเกลียดน่ากลัว
เหนือหัวของชายร่างใหญ่ ขวดหยกสีแดงขวดหนึ่งหมุนคว้างไม่หยุด พ่นเสาลำแสงสีแดงสดออกมาเป็นสายๆ พุ่งโจมตีไปรอบด้านไม่หยุด
อิทธิฤทธิ์ที่แท้จริงของสือคุน คาดไม่ถึงว่าจะไม่ใช่เคล็ดวิชาธาตุดิน แต่เป็นอิทธิฤทธิ์การโจมตีด้วยธาตุไฟที่แข็งแกร่งที่สุด
ช่างทำให้หานลี่รู้สึกประหลาดใจจริงๆ
อสูรลับตาสีเงินสามตัวที่ล้อมสือคุนอยู่เองก็แยกร่างออกอย่างไม่ยอมสำแดงความอ่อนแอ กลายเป็นเงาสีดำที่มองเห็นไม่ชัดสิบกว่าสาย พลางทำการโจมตีมาจากทั่วทุกสารทิศอย่างไม่ยอมหยุดพัก
ลำแสงสีดำและลำแสงสีแดงจำนวนนับไม่ถ้วนปะทะเข้าหากัน และเกิดเป็นเสียงระเบิดดังสนั่น
แม้ว่าอานุภาพค้อนคู่ของสือคุนจะไม่อาจต้านทานได้ แต่เงาสีเงินเหล่านั้นก็แปลกประหลาดมาก ไม่อาจโจมตีมันได้ ทำได้เพียงพยายามปกป้องตนเองเท่านั้น
และยิ่งไปกว่านั้นอสูรลับตาสีเงินสามตัวไม่เพียงจะเข้าร่วมการโจมตีด้วยตัวเอง บางครั้งดวงตาที่สามก็เปล่งแสงสีเงินที่อันตรายเป็นยิ่งออกมา!
สือคุนไม่กล้าปล่อยให้ตนเองเสียการป้องกัน หากถูกโจมตีที่ร่างก็จะใช้ค้อนทั้งสองในมือต้านทานเอาไว้
หานลี่มองเห็นทุกอย่าง เส้นลำแสงสีเงินที่ปล่อยออกมาจากดวงตาของอสูรลับโจมตีไปบนค้อนสีแดงสด ชั่วพริบตานั้นจุดที่ถูกโจมตีจะกลายเป็นสีดำเขียว แม้ว่าหมอกสีแดงตรงอื่นจะม้วนวนเข้ามาอย่างรวดเร็ว หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงจะฝืนทำให้ค้อนยักษ์ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติได้
โชคดีที่อสูรปีศาจตาสีเงินไม่อาจปล่อยลำแสงนั้นออกมาได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าทั้งสามตัวจะร่วมมือกันโจมตี ก็ไม่อาจทลายเกาะป้องกันของสือคุนได้ จึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กันกับสือคุน
หลิวสุ่ยเอ๋อร์และอสูรลับตาสีเงินอีกสี่ตัวที่อยู่อีกด้าน สถานการณ์กลับไม่เหมือนกัน
หญิงสาวผู้นี้สำแดงกระสวยสีเงินเจิดจ้าจนแสบตาออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ทว่ามีความยาวแค่สองสามฉื่อ แต่มีขนาดใหญ่หนึ่งอันและเล็กเจ็ดอัน ลำแสงสีเงินบินโฉบไปมา ราวกับดาวสีเงินสุกสกาวเต็มท้องฟ้าท่ามกลางความมืดมิด ท่าทางน่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
และนอกจากสมบัติชิ้นนี้ แผ่นหลังของหลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็มีเทวรูปประหลาดสีเงินปรากฏขึ้น ดูเหมือนหญิงสาวหน้าตางดงามสวมชุดเกราะสีเงิน แต่แขนทั้งสองข้างพลันโบกสะบัดเล็กน้อย พลันมีเงาแขนเลือนรางสองสามสายปรากฏขึ้น ราวกับว่ามีแขนนับร้อยรับพันแขนปรากฏขึ้นพร้อมกันอย่างไรอย่างนั้น
ภายใต้แขนที่โบกสะบัดไปมา ทุกครั้งที่ในมือมีกระบี่ยาวสีเงินที่เลือนรางเหมือนกันปรากฏขึ้นในมือ ก็ปล่อยไอกระบี่สีขาวออกมาเป็นสายๆ
เช่นนั้นเมื่อแขนของเทวรูปโบกสะบัดไปมา ไอกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนก็ทะลักออกมา เชื่อมเข้ากับกระสวยสีเงินที่กลายเป็นดาวสีเงิน ห่อหุ้มทุกอย่างในระยะร้อยกว่าจั้ง
แม้ว่าอสูรลับตาสีเงินทั้งสี่ตัวนั้นจะกระโดดไปมาราวกับสายฟ้า ร่างแยกที่สร้างขึ้นพลันโจมตีอย่างสุดชีวิตไม่หยุด ยังคงถูกต้านทานเอาไว้ภายนอก
หญิงสาวกลายเป็นฝ่ายเหนือกว่าชั่วคราว
หานลี่มองฉากนี้ ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกผ่อนคลายลง แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง สิ่งที่ทั้งสองคุยกันก่อนหน้าว่าเผชิญหน้ากับอสูรลับธรรมดาๆ สามตัวขึ้นไปแล้วไม่มั่นใจว่าจะชนะ ผลคือยามนี้เผชิญหน้ากับอสูรลับสามตาระดับสูงพร้อมกัน ยังมีฝีมือพอๆ กัน คนหนึ่งเป็นฝ่ายเหนือกว่า คำพูดก่อนหน้าแน่นอนว่าย่อมไม่อาจเชื่อถือได้
ทว่านี่ก็ไม่แปลกประหลาดเลยสักนิด ต่อให้เขาปะทะกับคนแปลกหน้าเป็นครั้งแรก ก็ไม่มีทางเผยไม้ตายออกมาแน่
คิดดูแล้วแม้ว่าอสูรลับสีทองตัวนั้นจะมองระดับพลังยุทธ์ของสือคุนและพวกทั้งสองในแวบเดียว แต่ก็ไม่มีทาง
แต่คิดไม่ถึงว่าทั้งสองจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาขั้นปลายธรรมดาๆ ดังนั้นถึงได้แค่ส่งอสูรลับตาสีเงินสองสามตัวที่อยู่ข้างกายมาไล่ตามเท่านั้น
หากเป็นแค่สิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาขั้นปลายธรรมดาๆ คิดดูแล้วคงไม่อาจต้านทานพลังการร่วมมือของอสูรลับตาสีเงินสองสามตัวได้
แน่นอนว่าสถานการณ์เบื้องหน้านั้น ไม่อาจกล่าวได้ว่าอิทธิฤทธิ์ของหลิวสุ่ยเอ๋อร์สูงกว่าสือคุนขั้นหนึ่ง หรืออสูรลับตาสีเงินสองสามตัวสู้ทั้งสองคนไม่ได้
ไม่ว่าอสูรลับหรือว่าหลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกก็ยังไม่ได้ออกแรงเต็มกำลัง ล้วนตามหาโอกาสในการสังหารอีกฝ่ายให้ตาย
เมื่อถึงยามเป็นตาย ถึงจะเห็นว่าอิทธิฤทธิ์ที่แท้จริงของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร
ทว่าภายใต้อิทธิฤทธิ์ของเนตรวิญญาณ หานลี่พลันมองเห็นสือคุนและหลิวสุ่ยเอ๋อร์มีสีหน้าเคร่งขรึม และแฝงไว้ด้วยสีหน้าร้อนใจ
นั่นก็ไม่แปลกที่นี่คือใจกลางของป่าอสูรลับ แม้ว่าอสูรลับทั้งหมดจะดูเหมือนว่าถูกอสูรลับระดับราชาพาไป แต่ผู้ใดจะรู้ว่าอีกฝ่ายจะกลับมายามไหน ถึงยามนั้นหากฝูงอสูรกรูกันเข้ามา แม้ว่าพวกเขาจะมีสามเศียรหกกรแต่ก็ต้องเพลี่ยงพล้ำอย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่าหากพยายามต่อสู้ยามนี้ เผชิญหน้ากับการร่วมมือของอสูรลับสีเงินเจ็ดตัวก็ไม่ต่างอันใดกับพวกนางมากนัก แม้ว่าพวกเขาจะสำแดงไพ่ตายทั้งหมดออกมาสังหารอีกฝ่าย ตนเองก็ต้องสูญเสียปราณแท้ และได้รับบาดเจ็บหนัก
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จะออกจากป่าอสูรลับได้นั้นจะต้องหลบหลีกการถูกไล่สังหารอย่างต่อเนื่องแน่
ขณะที่หลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกทั้งสองกำลังสับสน แน่นอนว่าก็อดที่จะร้อนใจไม่ได้ ทั้งสองล้วนรอให้หานลี่ไล่ตามมาทัน หากทั้งสามคนร่วมมือกันถึงจะมีโอกาสชนะเพิ่มมากขึ้น
หานลี่ขบคิดอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็เข้าใจความลำบากใจของสือคุนและพวก
รู้ว่าต้องจบสงครามให้ได้ ไม่อาจพัวพันกับอสูรลับเหล่านี้ต่อไปได้ มิเช่นนั้นหากชักช้าผลลัพธ์จะเปลี่ยนแปลงไป!
ทันใดนั้นพลันสะบัดแขนเสื้อด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก แขนที่ซ่อนอยู่พลันพลิกฝ่ามือ แล้วมีอีกสิ่งปรากฏขึ้นในมือ
สะบัดข้อมืออีกครั้ง กำไลกลมๆ สีดำพลันพุ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะจมหายไปกลางอากาศแล้วหายวับไป
ในเวลาเดียวกันนั้นแขนอีกข้างหนึ่งพลันเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกในชั่วพริบตา หมอกเป็นเส้นๆ พุ่งออกมาจากปลายนิ้ว ส่วนลำตัวก็เปล่งแสงสีทองสว่างวาบ ผิวหนังมีเกล็ดสีทองปรากฏขึ้น กระตุ้นเคล็ดวิชาพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้จนถึงขีดสุด
ยามนี้พลันชูมือข้างหนึ่งขึ้น ผ้าไหมบินออกมา หมุนคว้างติ้วๆ แล้วม้วนวนมาที่ร่างของเขา
ร่างของเขาเปลี่ยนเป็นโปร่งใสไร้รูปร่าง สุดท้ายก็หายวับไปจากที่เดิมอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ทางด้านสือคุนที่กำลังต่อสู้กัน กระบี่ลำแสงที่กำลังวนล้อมรอบอย่างหนาแน่นและกรงเล็บลำแสงสีเงินที่กำลังตะปบลงมาของอสูรลับพลันผ่อนการโจมตีลง แววตาเปล่งประกายตกตะลึงระคนสงสัย
ในยามนั้นอากาศด้านหลังก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ก้อนสีขาวโพลนพลันบินออกมา แล้วตรงเข้าไปหาอสูรตัวนั้น
อสูรลับตาสีเงินตัวนั้นกลับมีประสาทสัมผัสว่องไว ยังไม่ทันหันกลับมา ก็ตะปบกรงเล็บข้างหนึ่งออกไปด้านหลังอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีดำพลันสว่างวาบ กรงเล็บลำแสงสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งออกไป
เสียง “ตูม” ดังสนั่นขึ้น กรงเล็บสีดำและก้อนสีขาวที่พ่นลำแสงสีขาวออกมาพลันปะทะเข้าด้วยกัน และเกิดเป็นเสียงระเบิดที่น่าตกตะลึง
อสูรตัวนี้ที่ร่างกายเพิ่งจะเลือนรางพลันถือโอกาสนี้หันหัวอย่างฉับพลัน ในที่สุดก็มองเห็นสิ่งที่ลอบโจมตีมันชัดเจน
เป็นงูเหลือมสีขาวเกล็ดโปร่งใสความยาวสองสามจั้งตัวหนึ่ง ผิวของมันมีไอเย็นเยียบแผ่ออกมา ดวงตาทั้งสองจ้องมองอสูรตัวนี้ด้วยแววตาไร้ความรู้สึก
อสูรลับตัวนี้เห็นเช่นนั้น ย่อมโกรธเกรี้ยวอย่างสุดๆ
แต่ไม่รอให้มันได้เคลื่อนไหวใดๆ เหนือศีรษะของมันพลันมีภูเขาขนาดสองสามชุ่นปรากฏขึ้น แค่หมุนคว้างก็มีขนาดยักษ์ร้อยกว่าจั้ง กดลงมาอย่างเงียบเชียบ
ผิวของภูเขานี้ใช้ตัวอักษรลูกอ๊อดสีเงินสลักอักขระยันต์สีเงินสองสามตัวเอาไว้
เพราะว่าภูเขาที่ปรากฏตัวนี้แปลกประหลาดเกินไป ประกอบกับยามที่ร่อนลงมาไม่เกิดเสียงใดๆ จนถึงยามที่เริ่มร่อนลงมา อสูรลับด้านล่างถึงได้พบเจ้าสิ่งนี้
และในยามนี้เมื่อเผชิญหน้ากับงูเหลือมยักษ์สีขาวก็พ่นพัดหยกสีฟ้าด้ามหนึ่งออกมาจากปาก แล้วพัดไปทางอสูรลับ
ลำแสงเย็นเยียบสีฟ้าม้วนวนออกมา พลางกระโจนออกไปเผชิญหน้า
อสูรตัวนี้พลันหน้าถอดสีทันที
อสูรลับอีกสองตัวเห็นฉากนี้ ทันใดนั้นพลันคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวออกมา ล้มเลิกการกระโจนไปหาสือคุนทันที
สือคุนกลับบินออกมาพร้อมกับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ค้อนสีแดงสองด้ามในมือพลันพุ่งออกมา หัวค้อนขยายใหญ่จนมีสองสามจั้ง กดลงมาที่อสูรทั้งสองตัวอย่างดุดัน
ยังไม่รอให้ร่อนลงมาจริงๆ พลังมหาศาลไร้รูปร่างทั้งสองพลันห่อหุ้มลงมา ทำให้ร่างของอสูรทั้งสองแข็งค้าง ทำได้เพียงหันกลับมาพ่นลำแสงสีดำ ต่อกรกับการโจมตีที่ถึงชีวิตเหนือศีรษะก่อน
ส่วนอสูรลับที่ถูกภูเขายักษ์กดลงมา ภายใต้ความจนปัญญา ขนและหนังบนร่างพลันลุกชัน จากนั้นพลันกลายเป็นลำแสงสีดำหนาแน่น พุ่งไปหาหมอกสีฟ้าฝั่งตรงข้ามเกิดเป็นเสียงดัง “พรึ่บ”
จากนั้นพลันเงยหน้าขึ้น เสาลำแสงสีดำหนาๆ สายหนึ่งพลันพ่นออกมาจากตีนเขายักษ์
อสูรตัวนี้ไม่คิดจะบุ่มบ่ามโจมตี ทำได้เพียงต้านทานการโจมตีทั้งสองด้าน แต่ขอแค่ผ่อนการโจมตีของทั้งสอง มันก็มั่นใจว่าหนีรอดจากเคราะห์ครั้งนี้ได้แล้ว
เพราะครู่ต่อมาผิวของอสูรลับพลันเปล่งแสงสีดำออกมา ร่างกายเลือนหายไป คาดไม่ถึงว่าจะแยกเป็นผีเสื้อสีดำนับร้อยนับพันตัว พลางพุ่งหนีไปทั่วทุกสารทิศ
เสาลำแสงสีดำโจมตีไปบนภูเขายักษ์ ทำให้ภูเขาลูกนี้หยุดชะงักไปเล็กน้อยจริงๆ และการล่าช้านี้ผีเสื้อสีดำทั้งหมดก็หนีออกไปยี่สิบสามสิบจั้ง มองเห็นมันกะพริบวาบ แล้วหนีออกมาจากอาณาเขตของภูเขายักษ์
แต่ในยามนั้นเอง พลันแค่เสียงหึอย่างเย็นชาออกมากลางอากาศ
ดูเหมือนธรรมดามาก ผีเสื้อสีดำเหล่านั้นกลับซวนเซไปอย่างไม่เป็นตัวเอง จนเกือบจะทยอยกันร่วงลงมาจากกลางอากาศ
แทบจะในเวลาเดียวกัน อักขระสีเงินบนผิวของภูเขายักษ์สีดำพลันเปล่งแสงสว่างวาบ
จากนั้นตีนเขายักษ์พลันเปล่งแสงสีเทาสว่างวาบ เสียงแหวกอากาศดังขึ้น เส้นไหมสีเทาจำนวนนับไม่ถ้วนพลันพุ่งออกมาจากภูเขา
เห็นเพียงด้านล่างมีลำแสงสว่างวาบ เส้นไหมสีเทาจำนวนนับไม่ถ้วนทะลวงผ่านร่างของผีเสื้อสีดำที่เฉื่อยชาทั้งหมด