คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์) – ตอนที่ 1715 แผนที่ดวงดาราและคาถาอาคม

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

“นี่คือ…”

หลังจากที่หานลี่กวาดสายตาไปบนลวดลายบนพื้นดินและเรือนร่างของหุ่นเชิด ก็อดไม่ไหวมองยังจุดที่ขวานสีเงินชี้ขึ้นไป

ผลคือเดิมท้องฟ้าที่ควรจะเป็นสีฟ้า มีลำแสงสีเหลืองทองปรากฏขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดจะรู้ได้ ด้านในมีหมอกลำแสงหมุนวนโคจร เผยท่าทางลึกลับออกมา

สถานการณ์เช่นนี้ทำให้หานลี่นึกถึง ‘ห้วงมิติเวลา’ ทันที

แม้ว่าลำแสงนี้จะไม่ใช่ห้วงมิติเวลาที่แท้จริง แต่ก็คงเป็นพวกรอยแยกของห้วงมิติเวลาแน่

หานลี่มองไปยังลำแสงสีเหลืองทองที่ดูเหมือนจะไม่ใหญ่โตนัก แววตาเปล่งประกายสีฟ้าสว่างวาบ เผยสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยออกมา

หรือว่าที่นี่เชื่อมโยงกับดินแดนลับอันใดอีก?

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เขาก็ชักสายตากลับมาเมื่อไม่พบอันใด แล้วพิจารณานักรบชุดเกราะเก้าตนสองสามครั้ง

เรือนกายของนักรบชุดเกราะเหล่านี้เปล่งแสงสีเงินระยิบระยับออกมา ราวกับสวมเกราะสีเงินทั้งตัว แต่ไม่ว่าชุดเกราะหรือขวานยาวที่ถืออยู่ในมือล้วนให้ความรู้สึกว่าเป็นอาวุธโบราณที่มีการลดความสลับซับซ้อนทำให้เรียบง่ายขึ้น ด้านบนไม่มีอักขระยันต์เขตอาคมสลักอยู่ มีเพียงอักขระสีทองปรากฏอยู่จางๆ ตรงจุดที่สำคัญสองสามแห่ง

อักขระยันต์สีทองเหล่านี้ล้วนดูลึกลับ เห็นได้ชัดว่าเป็นตัวอักษรจ้วนทอง

หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลงเล็กน้อย ฉับพลันนั้นก็ยกมือขึ้น นิ้วหนึ่งร่ายไปทางนักรบชุดเกราะตัวหนึ่ง

หลังจากเสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น ไอกระบี่ความหนาเท่านิ้วก็ดีดตัวออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปมาอยู่ตรงหัวไหล่ของนักรบชุดเกราะ ราวกับว่าจะทะลวงผ่านอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด

แต่ฉากที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงพลันปรากฏขึ้น

เสียง “ปัง” ดังขึ้น! ขวานสีเงินในมือของนักรบชุดเกราะที่เดิมดูเหมือนรูปปั้นพลันเปล่งแสงสีเงินสว่างวาบ สับลงมาที่กระบี่ลำแสงสีเขียวอย่างรวดเร็ว แล้วทำให้มันสลายตัวออก

หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี ขยับร่างกาย ถอยร่นออกไปสองสามก้าว

มือหนึ่งโบกสะบัดไปด้านหน้า ชั่วขณะนั้นหมอกลำแสงสีเทาพลันปรากฏขึ้น ต้านทานอยู่เบื้องหน้า ท่าทางระมัดระวังเป็นอย่างมาก

แต่ครู่ต่อมานักรบชุดเกราะสีเงินกลับเก็บขวานสีเงินในมือ กลับมาอยู่ในท่าทางชี้ฟ้าดังเดิม ไม่ขยับร่างกายใดๆ อีก

“หุ่นเชิด!”

หานลี่พ่นลมหายใจยาวๆ ออกมา ใช้น้ำเสียงที่เบาราวกับกระซิบเอ่ยพึมพำกับตัวเอง สีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย

ไม่ต้องพูดถึงความร้ายกาจของหุ่นเชิดเหล่านี้ แต่ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ ไม่มีผู้ใดควบคุม ยังสามารถเคลื่อนไหวดี ก็นับว่าน่าตกตะลึงยิ่งแล้ว

แต่เป็นเพราะมั่นใจว่าหุ่นเชิดชุดเกราะเหล่านี้ไม่มีไอวิญญาณ หานลี่จึงผ่อนคลายลง

หุ่นเชิดที่ไม่มีผู้ควบคุมต่อให้ร้ายกาจเพียงไหน ก็เป็นแค่ของที่ตายไปแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่มีอันใดให้ต้องหวาดกลัว

หานลี่ไม่สนใจหุ่นเชิดเหล่านั้นอีก ก้มหน้าลงเล็กน้อย พิจารณาลวดลายดาวยักษ์บนพื้นดินอย่างละเอียด

ตอนแรกยังรู้สึกว่ามันเป็นแค่ของธรรมดา แต่เมื่อเพ่งมองชั่วครู่ ฉับพลันนั้นก็รู้สึกว่าลวดลายดวงดาวรางเลือนไป คาดไม่ถึงว่าจะฟื้นคืนชีพขึ้นมา

ทิวทัศน์รอบด้านรางเลือน คาดไม่ถึงว่าเขาจะอยู่ในเขตดวงดารา ร่างกายตกอยู่ในอีกยุทธภพที่ลึกลับมาก

ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่แต่เดิมนิ่งสนิทพลันเปล่งแสงสีทองและเงินสองสีออกมา จุดที่ลำแสงสาดส่องไป ดวงดาวน้อยใหญ่ดวงอื่นๆ ทยอยกันเปล่งแสงสีขาวออกมา และวนล้อมรอบดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ไปมาไม่หยุด

ส่วนตัวของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เองก็เดี๋ยวขยายใหญ่เดี๋ยวหดเล็กลง เดี๋ยวพุ่งขึ้นสูงเดี๋ยวร่อนลงต่ำ วนเวียนไปมาไม่หยุด วันเวลาไหลผ่านไปราวกับสายน้ำ ค่อยๆ สงบลง แต่ก็จำได้ในชั่วพริบตา

หานลี่มองความเปลี่ยนแปลงที่มีหลักการของฟ้าดินแฝงอยู่นิ่ง ในหัวนั้นว่างเปล่า คาดไม่ถึงว่าจะไม่คิดถึงเรื่องใดแล้ว และไม่อยากคิด แค่ปล่อยให้เวลาไหลผ่านไป สิบปี ร้อยปี พันปี…

ราวกับว่าชั่วพริบตานั้นวันเวลาได้ผ่านไปเนิ่นนานจนนับไม่ถ้วนแล้ว

ฉับพลันนั้นเขาก็สะดุ้งโหยงขึ้นมา พลังเย็นเยียบทะลักออกมาจากจุดตันเถียน และไล่ไปตามจุดชีพจรต่างๆ แล้วหมุนวนอยู่ในหัวรอบหนึ่ง

ไอวิญญาณเย็นเยียบที่ถูกกระตุ้น หานลี่สะดุ้งโหยงแล้วแค่นเสียงหึ ในที่สุดร่างทั้งร่างได้สติขึ้นมา คิดถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกี่ยวกับตัวเองอีกครั้ง

แทบจะในเวลาเดียวกันที่เขาได้สติกลับคืนมา ดวงดาราทั้งหมดก็สัมผัสอันใดได้ กลายเป็นหมอกลำแสงแตกกระจายออกแล้วหายวับไป

เมื่อหานลี่ได้สติขึ้นมานั้น ก็ยังคงยืนจ้องลวดลายดวงดาราบนพื้นดินของแท่นสูงเขม็ง

อาการมึนงงหลายเดือนก่อน ความจริงแล้วผ่านไปแค่ชั่วลมหายใจเท่านั้น

หานลี่สูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไป รีบร้อนเลื่อนสายตาออกจากภาพดวงดารา

คาดไม่ถึงว่าภาพดวงดาราจะผสมเขตอาคมที่ร้ายกาจที่เกินความเข้าใจของเขาเอาไว้

แม้แต่เขาที่มีจิตสัมผัสแข็งแกร่งเพียงนี้ คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจต้านทานได้และถูกดึงเข้าไปข้างใน

หากไม่ใช่เพราะโคจรคาถาขับเคลื่อน ฝืนดึงจิตสัมผัสของเขากลับมา เกรงว่าเมื่อครู่หากเขากลัว ก็คงตกอยู่ในภวังค์ภาพลวงตาตลอดกาล ยืนจนกลายเป็นโครงกระดูกขาวโพลนโดยไม่รู้ตัว

แต่เช่นนั้นประสบการณ์ในเขตอาคมภาพลวงตาเมื่อครู่นั้นดูสมจริงมาก ทำให้ความเนิ่นนานกลายเป็นความจริง ความรู้สึกและสติสัมปชัญญะสับสนขัดแย้งกันไปมาปรากฏขึ้นทั่วทั้งความคิด

แม้ว่าหานลี่จะมีระดับจิตใจที่แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดา ก็ยังขมวดคิ้วสีหน้าเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด

เขาหลับตาทั้งสองข้างลง โคจรคาถาขับเคลื่อนในร่างไปมาไม่หยุด แล้วเริ่มหลอมระลอกคลื่นประหลาดของระดับจิตใจ ทว่าไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดก็ฝืนระงับความแตกต่างในจิตใจ แล้วเบิกตาขึ้นอีกครั้ง

ครั้งนี้แน่นอนว่าเขาย่อมไม่กล้ามองภาพดวงดาราอีก หลังจากตะลึงค้างอยู่ที่เดิม ก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมา สีหน้าค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ

เขาสัมผัสได้รางๆ ว่า ประสบการณ์เมื่อครู่ แม้ว่าจะอันตรายมาก แต่การหลอมระดับจิตใจที่หาได้ยากเช่นนี้ ก็ทำให้จิตใจของเขามั่นคงขึ้นมาก

แม้กระทั่งจิตสัมผัสก็สัมผัสได้ว่ามันแข็งแกร่งขึ้นกว่าก่อนหน้าส่วนหนึ่ง

หรือว่าภาพดวงดาราไม่ใช่เขตอาคมลวงตาธรรมดาๆ เดิมก็เป็นเขตอาคมต้องห้ามพิเศษที่ใช้พลังความพยายามของผู้ที่ฝึกฝนอย่างหนักอยู่แล้ว และยิ่งไปกว่านั้นในเมื่อภาพดวงดารานั้นลึกลับเช่นนี้ สิ่งที่วางอยู่ตรงใจกลางของมันย่อมมีอันใดแน่

หานลี่ขบคิดในใจเช่นนั้น สัมผัสได้ว่าการคาดเดาเช่นนี้มีโอกาสเป็นไปได้ ก็เอียงศีรษะ อดที่จะพิจารณาเก้าอี้ปรมาจารย์สีเขียวมรกตตรงใจกลางแท่นหินไม่ได้

วัตถุดิบที่ใช้สร้างเก้าอี้ตัวนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่ทองและไม่ใช่ไม้ แต่ตัวมันเป็นสีเขียวมรกต และยิ่งไปกว่านั้นยังเปล่งแสงแวววับ

ฉับพลันนั้นหานลี่พลันจ้องเขม็งไปบนเก้าอี้ ใบหน้าเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา

เหนือเก้าอี้ที่เดิมว่างเปล่า คาดไม่ถึงว่าจะมีอักษรลำแสงสีเงินปรากฏขึ้นมา มีแค่ร้อยกว่าตัว แต่เปล่งแสงระยิบระยับ ล้วนเป็นอักษรลูกอ๊อดสีเงิน

จากอิทธิฤทธิ์กวาดมองครั้งเดียวไม่ลืมของหานลี่ แน่นอนว่าย่อมจำได้หมดในชั่วพริบตา

แต่พวกมันมาปรากฏตัวได้อย่างไร เขาไม่รู้เลยสักนิด

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ อักษรลำแสงสีเงินเหล่านี้พลันปริแตกออก กลายเป็นดวงลำแสงทยอยกันจมหายเข้าไปในเก้าอี้ด้านล่าง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

หานลี่จ้องเขม็งไป สองตาจับจ้องอยู่บนเก้าอี้ไม่ละสายตา แต่สติก็ยังจับจ้องอยู่กับคาถาที่จดจำมา

ผลคือหลังจากผ่านไปชั่วครู่ เขาก็หน้าเปลี่ยนสี

คาดไม่ถึงว่าคาถานี้จะเป็นคาถากระตุ้นที่ง่ายดายสุดๆ ไม่มีหัวไม่มีหาง ไม่มีคำอธิบายเลยสักนิด

ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ!

หานลี่รู้สึกลังเล กลอกตาไปมา สายตากวาดไปบนนักรบชุดเกราะทั้งเก้าและดวงลำแสงสีเหลืองทอง รวมทั้งภาพดวงดาราด้านล่างและเก้าอี้สีเขียว ขบคิดคาถาที่ปรากฏขึ้นท่อนนั้นอีกครั้ง

เขาลูบใต้คาง เผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา พลันคาดเดาในใจรางๆ

หานลี่ใช้มือหนึ่งร่ายอาคม ลำแสงสีทองบนเรืองร่างเปล่งแสงเจิดจ้า ผิวหนังมีเกล็ดสีทองปรากฏขึ้น กระตุ้นเคล็ดวิชาพราหมณ์เที่ยงแท้มารศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง

จากนั้นก็ร้องตะโกนด้วยเสียงทุ้มต่ำ สั่นหัวไหล่ ด้านหลังมีเงาสีทองพุ่งออกมา พลิ้วไหวแล้วกลายเป็นเทวรูปร่างทองที่หายไป

หานลี่ใช้มือหนึ่งตบไปที่หน้าผาก ลำแสงสีดำสายหนึ่งบินออกมาจากเหนือศีรษะ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในร่างทอง

นั่นก็คือทารกวิญญาณที่สองของเขา “เสี่ยวเฮย”

หลังจากที่ทารกวิญญาณนี้สิงเข้าไปในร่างทอง เศียรทั้งสามก็มีใบหน้าชัดเจน ฉับพลันนั้นดวงตาก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกไม่ต่างอันใดกับคนธรรมดา

จากนั้นลำแสงสีทองพลันสว่างวาบ ร่างทองสามเศียรหกกรสูงสองจั้งราวกับมารเทวะลอยลงมาที่พื้น แล้วยืนอยู่ด้านหน้าหานลี่อย่างหนักแน่น

หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันหัวเราะน้อยๆ ออกมา ร่างกายเลือนราง กลายเป็นควันสีเขียวแล้วสลายหายไป

ครู่ต่อมาห่างจากแท่นสูงไปสามสิบจั้ง ร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้น

หานลี่เอาสองมือไพล่หลังพลางลอยอยู่ตรงนั้นไม่ไหวติง

ก่อนหน้านี้เขาพบตั้งนานแล้วว่า หลังจากเข้ามาในห้วงมิติของฉากกั้นห้อง ไม่มีเขตอาคมกำจัดการเหาะเหินต่างๆ บนพื้นดิน

ดังนั้นยามนี้จึงได้ลอยขึ้นมาได้อย่างมั่นใจ แววตาจับจ้องไปที่แท่นสูงอย่างเปล่งประกาย

ภายใต้การกระตุ้นของทารกวิญญาณที่สอง ชั่วขณะนั้นแขนทั้งหกของร่างทองก็ขยับ ทยอยกันร่ายอาคมด้วยท่าทางที่ไม่เหมือนกัน จากนั้นก็บริกรรมคาถาที่ฟังไม่ได้ศัพท์ออกมา ชั่วครู่ก็ดังออกมาจากปาก

น้ำเสียงเชื่องช้า แต่อักขระทุกตัวล้วนชัดเจน นั่นก็คือคาถาลูกอ๊อดสีเงินท่อนนั้นที่ปรากฏขึ้นเหนือเก้าอี้ แม้ว่าหานลี่จะได้สัมผัสกับมันเป็นครั้งแรก แต่อาคมกระตุ้นแค่นี้ แน่นอนว่าทำอันใดสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาคนหนึ่งอย่างเขาไม่ได้

แต่แค่ตัวตกอยู่ในแดนประหลาดอย่างเขาพระสุเมรุ เพื่อความปลอดภัย เขากลับไม่กล้าใช้ร่างจริงกระตุ้นอาคมนิรนามใดๆ

ทารกวิญญาณที่สองกลับสามารถควบคุมร่างทองโดยการสิงสู่และออกจากร่างได้ตลอดเวลา พลังในการต้านทานภยันตรายต่างๆ ก็เหนือกว่าที่คิดเอาไว้

และยิ่งไปกว่านั้นเขาใช้ทารกวิญญาณที่สองบริกรรมคาถาท่อนนี้ เชื่อว่าผลจะเหมือนกับใช้จิตสัมผัสเดิมเป็นแน่ แน่นอนว่าจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด

เสียงบริกรรมคาถาดังสะท้อนไปมากลางจัตุรัสไม่หยุด ชั่วพริบตาก็ถูกทารกวิญญาณที่สองท่องจนจบ แต่บนแท่นหินกลับเงียบสงบ ไม่มีปฏิกิริยาเลยสักนิด

ร่างทองยืนนิ่งอยู่บนแท่นสูง สีหน้าไร้ความรู้สึก ร่างกายนิ่งงัน

หานลี่เห็นเหตุการณ์เช่นนั้นกลับหางตากระตุก แววตาฉายแววฉงนออกมา

แต่หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ก็เคลื่อนไหวจิตสัมผัส ทันใดนั้นก็ให้ทารกวิญญาณที่สองท่องคาถารอบที่สอง

เช่นนั้นหลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา อาคมก็ถูกทารกที่สองอาศัยปากของร่างทองบริกรรมคาถาสามรอบ

แต่เมื่อหยุดร่ายคาถาครั้งที่สาม ไม่ว่านักรบชุดเกราะสีเงินทั้งเก้าหรือว่าลำแสงสีเหลืองทองกลางอากาศก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ราวกับว่าไม่มีผลต่อคาถาที่ร่ายเลยสักนิด

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท