ขบวนขนาดใหญ่เดินทางลากยาวจากค่ายเขี้ยวหมาป่าไปยังเมืองอันลูโดยไม่หยุดพักระหว่างทางเหล่าตัวแทนต่างมีสีหน้าโกรธจัดมาตลอด จนค่อยๆเปลี่ยนเป็นรู้สึกผิดพลาด และในที่สุดใบหน้าของทุกคนก็เหลือแต่อาการช็อค
เพราะยิ่งเดินหน้าเข้าไปใกล้เมืองอันลูมากเท่าไหร่ถนนหนทางมันก็ยิ่งดูกว้างขวางเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้นเรื่อยๆ พื้นถนนถูกปูเรียบอย่างดี พืชพันธุ์ต้นไม้ต่างๆข้างทางถูกจัดแต่งให้เป็นระเบียบดูดีไม่ต่างจากในยุคศิวิไลซ์เลย
สิ่งที่ยิ่งทำให้พวกเขาทำความเข้าใจได้ยากเข้าไปอีกคือความเงียบสงบโดยรอบและอากาศบริสุทธิ์ที่หาที่เปรียบมิได้ยิ่งใกล้เมืองอันลูมากเท่าไหร่ ยิ่งแทบไม่ได้กลิ่นเหม็นคาวในอากาศเลยและตอนนี้พวกเขาเดินทางมาถึงทางเข้าเมืองแล้วแต่จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่เห็นซอมบี้สักตัวเลย ไม่มีแม้แต่กลิ่นคาวจางๆในอากาศเลยด้วยซ้ำ
สีหน้าของเหล่าตัวแทนเริ่มมีความอับอายเคอะเขินบางคนหันมามองที่มู๋หรงยู่เฉิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความข้องใจ
มู๋หรงยู่เฉิงใช้ตัวแทนจากค่ายหนานตู้จริงๆรึเปล่า?
ลูกสาวของผู้นำค่ายหนานตู้อย่างฉางกวนยวีซินดูจะสนิทสนมกับชูฮันมากพอสมควรอีกทั้งที่ผ่านมาค่ายหนานตู้ก็ส่งความช่วยเหลือมาสนับสนุนเขี้ยวหมาป่าตลอด เพราะงั้นช่วยอธิบายทีว่านี้มันคือเรื่องอะไรกัน?
แน่นอนว่ามู๋หรงยู่เฉิงเห็นสายตาที่ทุกคนมองมายังตัวเองแต่เขาเองก็ไม่สามารถคิดได้ออกเหมือนกันว่าเรื่องตรงหน้านี้มันคืออะไรกันแน่ อย่าว่าแต่อธิบายเลย ตัวเขาเองยังสับสนไม่ต่างจากทุกคน
ตอนที่ตัวแทนทั้งหลายเดินทางมาจากค่ายต่างๆโดยเฮลิคอปเตอร์แน่นอนว่าทุกคนก็มองเห็นถนนเส้นทางนี้ชัดเจน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เห็นซอมบี้ก็จริงแต่ก็คิดเอาว่าอาจจะเป็นเพราะพวกมันหลบซ่อนอยู่ แต่พวกเขาจำได้ว่าพวกวัชพืชต้นไม้ที่เติบโตอย่างบ้าคลั่งจนปกคลุมพื้นที่ไปหมด มันกีดขวางเส้นทางเต็มไปหมดจนไม่มีถนนทางเดินอย่างที่ปรากฏต่อหน้าแบบนี้
แต่หลังจากที่ตัวได้พักอยู่ในค่ายเขี้ยวหมาป่ากว่าสิบวันถนนกลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ขนาดนี้เลยเหรอ?
มันไม่มีทางที่โครงการก่อสร้างเช่นนี้จะทำสำเร็จได้แค่วันสองวัน…แสดงว่ามันจะต้องเริ่มขึ้นทันทีที่หลังจากพวกเขาเข้าไปในค่ายเขี้ยวหมาป่าแล้ว
ด้วยเหตุนี้มันจึงดูเหมือนชูฮันจงใจถ่วงเวลาพวกเขามาตลอดแต่เหตุผลมันคืออะไร? หรือจงใจต้องการให้พวกเขาได้เห็นภาพน่าทึ่งนี้?
แววตาของมู๋หรงยู่เฉิงเป็นประกายจ้าสะท้อนกับแสงเขารู้ว่านิสัยของชูฮันนั้นชอบทำตัวไม่โดดเด่นและไม่ให้เป็นที่สังเกต ถ้าชูฮันอยากจะเป็นที่รู้จักป่านนี้เขาคงจะเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ คงจงใจปล่อยข่าวและป่าวประกาศไปทั่วแล้ว!
มู๋หรงยู่เฉิงละทิ้งความคิดก่อนหน้านี้ไปจากนั้นก็เดินตามทหารเข้าไปข้างในเมืองอันลู เขาเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าครั้งนี้ชูฮันต้องการจะทำอะไร
ในที่สุดขบวนเดินทางก็เดินผ่านเข้ามาในเมืองอาคารสถาปัตกรรมทั้งหลายที่ค่อยๆปรากฏขึ้นต่อหน้านั้นดึงดูดสายตาของเหล่าตัวแทนอย่างมาก แถมพวกเขายังเห็นว่าบนยอดอาคารหรือดาดฟ้าของทุกๆตึกจะมีอาวุธปืนขนาดใหญ่ติดตั้งเอาไว้เพื่อทำหน้าที่คุ้มกันเมืองสำหรับผู้บุกรุก
แม้แต่ในบริเวณใกล้เคียงมันยังมีการก่อสร้างกำแพงที่ดำเนินการอยู่ให้เห็น ทว่ามันกลับมีคนงานในเขตก่อสร้างเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง แถมคนงานพวกนี้ยังดูสงบนิ่งมากๆ ราวกับว่ามันมีเหตุการณ์สำคัญกำลังเกิดขึ้นดังนั้นโครงการก่อสร้างกำแพงจึงถูกชะลอไปก่อน
แม้แต่ในเวลาปกติทุกคนก็ยังสามารถเห็นแววตาราวกับเหยี่ยวที่คอยจับสังเกตของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เดินตรวจตราอย่างแข่งขัน และทันทีที่เห็นซางจิ่วตี้เจ้าหน้าที่พวกนี้ก็จะหยุดฝีเท้าแสดงความเคารพโดยวันถยาหัตถ์แก่ซางจิ่วตี้อย่างขึงขันไม่ต่างจากทหารในยุคศิวิไลซ์
เหล่าตัวแทนแต่ละคนค่อยๆแสดงความแปลกใจและสงสัยออกมาทางสีหน้าพวกเขาพึ่งจะมีความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับสถานะของซางจิ่วตี้ในเขี้ยวหมาป่า ที่ผ่านมาพวกเขาคิดว่าเธอก็เป็นแค่ผู้หญิงของชูฮันที่คอยช่วยดูแลค่ายอยู่เบื้องหลัง แต่สถานการณ์ในวันนี้ทำให้พวกเขารู้ว่ามันไม่ใช่อย่างที่คิดซะแล้ว?
เนื่องจากในตอนแรกที่พวกเขาตกใจกับการก่อสร้างกำแพงจึงทำให้พวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นป้ายอักษรคำคำหนึ่ง
ประตูเมืองอันลูทิศเหนือ… ขบวนเดินทางค่อยๆเดินเข้าไปในเมืองลึกขึ้นเรื่อยๆยิ่งเข้าไปลึกมากเท่าไหร่สิ่งก่อสร้างและสถาปัตยกรรมทั้งหลายก็ปรากฏแก่สายตาพวกเขาหนาขึ้น
และทันทีที่เดินมาถึงถนนสายหลักมันก็มีเสียงบางอย่างดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงปรบมือเสียงร้องเฉลิมฉลองของผู้คนดังลั่นต่อเนื่องไม่หยุด
ตัวแทนทั้งหลายตกใจค้างพวกเขามองไปที่คนของเขี้ยวหมาป่าที่เดินอยู่ข้างๆก็เห็นว่าแต่ละคนมีสีหน้ากระอักระอ่วน บางคนทั้งประหลาดใจ บ้างก็เขินอาย ดังนั้นเหล่าตัวแทนทั้งหลายจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากรอคอยอย่างเงียบๆ
แต่แล้วพอเดินพ้นทางมาภาพที่ปรากฏขึ้นต่อสายตาก็ยิ่งทำให้พวกเขาตกใจหนักเข้าไปอีก บนถนนข้างทางทั้งสองฝั่งมีเหล่าผู้รอดชีวิตมายืนออกรวมตัวกันเต็มไปหมด ทุกคนสวมใส่เสื้อผ้าที่ดีที่สุดที่มี ทุกคนทำความสะอาดเนื้อตัวมาอย่างดี ในมือบางคนก็ถือดอกไม้นานาชนิด บางคนก็มีของขวัญเล็กๆน้อยๆ แววตาของทุกคนมองมาที่ซางจิ่วตี้ด้วยความสุขเต็มเปี่ยม
บนทางเดินมีทีมรักษาความปลอดภัยทีมเล็กๆกระจายอยู่ตามถนนสายหลักเพื่อคอยคุมและกำกับให้เหล่าผู้รอดชีวิตที่มายืนออกกันสองข้างทางอยู่ในแถวเส้นที่กำหนดไว้ทุกคนล้วนแสดงท่าทีตื่นเต้นดีใจกันอย่างเต็มที่ ส่งเสียงร้องเฉลิมฉลอง ยื่นไม้ยื่นมือโบกสะบัดกันไปมา หากไม่มีใครก้าวเลยเส้นกั้นออกมา ไม่มีใครขัดกฏระเบียบที่วางไว้…
ฉากที่เกิดขึ้นดูจะไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นอยู่ในโลกาวินาศเลยถนนเกลี้ยงเกลา สะอาดสะอ้าน ปราศจากซอมบี้ในเมือง อาคารสถาปัตยกรรมที่ได้รับการซ่อมแซมและมีโครงการก่อสร้างใหม่ๆ รวมถึงชาวบ้านที่แต่งตัวดูดี เรียบร้อย
นี้มันไม่ต่างอะไรกับภาพในยุคศิวิไลซ์เลย!
ตัวแทนทั้งหลายช็อคจนอึ้งโดยเฉพาะหลูชูซเวที่มักจะหน้าตาบูดบึ้งอยู่เสมอ ทุกคนเอาแต่กวาดสายตามองไปรอบๆพยายามจะหาข้อบกพร่องเพื่อติ
แต่ไม่…มันเหมือนกับเมืองอันลูถูกตัดขาดแยกจากโลกาวินาศอย่างไรอย่างนั้นไม่ต้องพูดถึงซอมบี้เลย แม้แต่สัตว์แมลงซอมบี้สักตัวก็ยังไม่มี
มันเป็นไปได้อย่างไร?
ขบวนเดินทางยังคงเดินต่อไปอย่างช้าๆตรงสุดทางเดินมันมีพื้นที่เปิดขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า ราวกับลานกว้างจตุรัสที่หลงเหลือจากยุคที่แล้ว มันมีแท่นสูงกลมตั้งอยู่บนจตุรัสพร้อมกับพรมแดงที่ถูกปูจากตรงกลางไปจนถึงเวทีราวกับมีงานอีเว้นท์อะไรสักอย่าง
ขณะเดียวกันใต้แท่นสูงมันก็มีเก้าอี้ที่ถูกวางเรียงเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบดูราวกับงานประชุมสัมมนา
มู๋หรงยู่เฉิงตะลึงเขาคิดไม่ออกเลยว่าทั้งหมดนี้คือเรื่องอะไรกันแน่ ทีมของซางจิ่วตี้ค่อยๆเดินเข้าไปยังแท่นสูงตรงหน้าขณะที่เหล่าตัวแทนก็เริ่มปรับตัวเข้ากับเรื่องน่าตกใจที่เกิดขึ้นได้ ทว่าไม่ทันไรมันก็มีบางอย่างเกิดขึ้นอย่างเหนือความคาดหมายและสร้างความตกใจอย่างมากให้พวกเขาอีกครั้ง
เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งดิ้นตัวหลุดออกจากอ้อมแขนของผู้เป็นแม่ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุขและเสียงหัวเราะ และทันใดนั้นเด็กน้อยก็วิ่งฝ่าถนนเส้นหลักมุ่งหน้าเข้ามาหาซางจิ่วตี้
ฮือฮา ~
ท่ามกลางความตกใจของทุกคนเสียงร้องเฉลิมฉลองอย่างรื่นเริงของทุกคนหยุดชะงักลงและแทนที่ด้วยแววตาสงสารที่มองมายังเด็กน้อยเป็นตาเดียว
เนื่องจากในจังหวะที่เด็กผู้หญิงวิ่งฝ่าออกไปทีมคุ้มกันของซางจิ่วตี้ที่ประกบอยู่ข้างๆก็ยกปืนขึ้นตั้งเล็งเอาไว้แล้ว ปืนสีดำที่เต็มไปด้วยไอความอันตรายเล็งเป้าไปที่เด็กน้อยที่กำลังวิ่งฝ่าเข้ามาอย่างไร้ความปราณีและพร้อมจะเหนี่ยวไกปืน!
แม่ของเด็กน้อยหน้าขาวซีดด้วยความหวาดกลัวความรู้สึกหมดหนทางทำให้เธอเข่าอ่อนจนเกือบจะเป็นลมไปแล้ว
ในตอนนั้นเองซางจิ่วตี้มีการตอบสนองที่รวดเร็วมากเธอยกมือข้างหนึ่งขึ้นห้ามทีมคุ้มกันของเธอเอาไว้ หลังจากได้เห็นคำสั่งของซางจิ่วตี้ ทีมคุ้มกันก็ตอบรับคำสั่งอย่างทันทีทันใด พวกเขาชะงักนิ้วมือที่กำลังจะเหนี่ยวไกเอาไว้ก่อน หากไม่มีการเอาปืนลงเพราะมันไม่มีอะไรรับประกันความปลอดภัยได้สมบูรณ์แบบ พวกเขาต้องเผื่อเอาไว้ในกรณีฉุกเฉิน
เด็กน้อยที่ไม่ได้รู้ชะตากรรมตัวเองเลยว่าพึ่งจะเฉียดผ่านความตายมานั้นยังคงยิ้มร่าและวิ่งเข้ามาส่งช่อดอกไม้ในอ้อมแขนตัวเองให้ซางจิ่วตี้
จากนั้นเด็กน้อยก็เอ่ยเสียงใสและอ่อนนุ่มออกมาดังชัดเจนท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสนิท ดอกไม้ให้เจ้าเมืองค่ะ!