ตกดึก…ซางจิ่วตี้ก็มาเคาะประตูบานหนึ่งในค่ายเขี้ยวหมาป่าจนมีเสียง’ก๊อก ก๊อก’ อยู่สองครั้ง
เข้ามาได้ มีเสียงผู้ชายจากด้านในดังออกมา
ซางจิ่วตี้กระชับเสื้อคลุมของตัวแน่นเบาๆก่อนจะผลักประตูเปิดเข้าไปการตกแต่งภายในของศูนย์วิจัยนั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงจากแต่เดิมภายในระยะเวลาแค่สั้นๆ ตามความต้องการของชูฮัน ซูชิงได้ขยายห้องทดลองมาที่นี้แทน พื้นที่การใช้งานที่กว้างมากขึ้น มีความสะดวกสบายมากขึ้น โต๊ะทำการทดลองและห้องวิจัยข้อมูลแยกออกจากกันอย่างเป็นระเบียบ พื้นที่ภายในถูกซอยเป็นห้องต่างๆเพื่อการใช้งานหลายรูปแบบที่ซางจิ่วตี้เองก็ไม่เข้าใจ
เวลานี้มีผู้ชายสองคนนั่งอยู่ที่โต๊ะกลางศูนย์วิจัยทั้งสองคนกำลังตั้งใจเขียนอะไรบางอย่างกันอยู่ และตอนที่ซางจิ่วตี้ปรากฏตัวขึ้น หนึ่งในนั้นก็หยุดมือละลุกขึ้นยืน ขณะที่อีกคนหนึ่งทำเพียงแค่เหลือบมองและกลับไปทำงานของตัวเองต่อเหมือนเดิม
พี่ชายพักผ่อนกันสักหน่อยสิ? ซางจิ่วตี้พูดขึ้นพร้อมร้อยยิ้ม
ชายที่อยู่ต่อหน้าเธอคือคนที่ชูฮันได้สั่งให้โมเซอเดินทางไปซางจิงและใช้วิธีการยุ่งยากต่างๆเพื่อเข้าถึงตัวซางฮั่นฉิงและช่วยพาซางฮั่นฉิงหนีออกจากซางจิงมาค่ายเขี้ยวหมาป่าโดยไม่มีใครรู้
หลังจากสงครามจบลงซางฮั่นฉิงยังคงไม่ได้เจอชูฮันอย่างที่หวังเอาไว้เพราะชูฮันซ่อนตัวจากทุกคนอยู่ ไม่ต้องพูดถึงเขาด้วยซ้ำเพราะแม้แต่กลุ่มคนสนิททั้งหลายก็ไม่มีใครได้เจอชูฮันทั้งนั้น
อย่างไรก็ตามถึงแม้จะไม่ได้เจอชูฮันแต่ซางฮั่นชิงก็ไม่ได้บ่นอะไรเพราะตัวเขาถูกพามายังที่นี้ทันทีที่สงครามจบลง
ศูนย์วิจัยของเขี้ยวหมาป่า! นี้คือความถนัดของซางฮั่นฉิงอยู่แล้วตลอดที่ผ่านในซางจิงเขาก็ทำงานด้านการวิจัยมาตลอด และตอนนี้ที่ค่ายเขี้ยวหมาป่าเขาก็จะได้เกี่ยวข้องกับการวิจัยโดยตรง
อีกคนหนึ่งในห้องนี้ก็คือหนึ่งในอัจฉริยะของMensa…ฟานฮงเหวียน ที่ตามทีมกุ้งเสือดำกลับมาค่ายเขี้ยวหมาป่ามา หลังจากเดินทางมาถึงค่ายเขี้ยวหมาป่า เขาก็ถูกพามายังศูนย์วิจัยทันทีเหมือนกับซางฮั่นฉิง
ทั้งสองได้เจอกับเจียงโจวซึ่งเป็นอัจฉริยะด้านเคมีแล้วหลังจากได้พบปะทำความรู้จักกัน พวกเขาก็กลายเป็นเพื่อนร่วมงานที่ทำงานกันอย่างขมักเขม้นจนแทบจะไม่พักผ่อนกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะเจียงโจวที่สร้างผลงานไว้โดดเด่น
ผลงานจากการศึกษาทดลองของเจียงโจวไม่ว่าจะทั้งสามารถประดิษฐ์สารล่อซอมบี้ได้สำเร็จ หรือการพัฒนาตัวเพิ่มประสิทธิภาพและการกระตุ้นสำหรับคนที่ไม่มีการยกระดับวิวัฒนการหรือพรสรรค์ ตัวเพิ่มประสิทธิภาพนี้จะทำปฏิริกิยากับสมองเพื่อกระตุ้นสารออกมา
มันน่าทึ่งมาก!
สุดยอด!
ในโลกนี้มันมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไง?
นี้คือสิ่งที่พวกเขาไม่เคยคาดฝันมาก่อนเลย!
โดยเฉพาะสารล่อซอมบี้ที่ถูกวิจัยทดลองจนประสบความสำเร็จจากนั้นก็ถูกนำไปใช้มาตลอดจนถึงวันนี้!
ทั้งชูฮันและเจียงโจวต่างยึดมั่นในการทดลองนี้ด้วยชีวิตพวกเขาไม่เคยท้อหรือคิดจะละทิ้ง ยิ่งรู้ว่ามันยากมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งกระตุ้นให้พวกเขาอยากจะทำให้สำเร็จให้ได้มากขึ้นเท่านั้น
ฟานฮงเหวียนและซางฮั่นฉิงทั้งสองคนใช้ชีวิตอยู่แต่ในศูนย์วิจัยแห่งนี้ตั้งแต่มาถึง เอาแต่ทำการคำนวณทดลองไม่หยุดพัก ดังนั้นเมื่อตอนที่ซางจิ่วตี้มาหากลางดึกเช่นนี้และได้เห็นภาพตรงหน้าจึงอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง ฉันจะลองคำนวณอีกรอบแล้วค่อยไปนอน ซางฮั่นฉิงฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าการเอาแต่ทำการทดลองในเวลานี้มันไม่ใช่เรื่องดี เขาควรพักบ้าง ดังนั้นจึงหันไปพูดกับซางจิ่วตี้พร้อมส่งยิ้มกว้าง จิ่วตี้ เรากินข้าวเช้าด้วยกันมั้ย?
ฟู่~ ซางจิ่วตี้เหลือบมองพร้อมพ่นลมหายใจ ก่อนจะส่งยิ้มเย็นๆไปให้ ไหลกระเพื่อมเล็กน้อยตามแรงอารมณ์ที่พยายามระงับอยู่ในใจ ตอนนี้มันห้าทุ่มแล้ว อาหารเช้าบ้าอะไร!
การที่ชูฮันสั่งให้พาพี่ชายของเธอมายังเขี้ยวหมาป่านั้นเป็นเรื่องน่าตกใจสุดๆสำหรับเธอและยิ่งพอได้เห็นภาพพี่ชายของเธอที่มัวแต่หมกหมุ่นมีความสุขอยู่กับงานตัวเองจนหลงลืมเวลา มันมีหลายอารมณ์เกิดขึ้นตีกันไปหมด ทั้งความพอใจ ความสุข ความซาบซ่านแผ่กระจายไปทั่วหัวใจ
เอ่อ—-?สายเกินไปแล้วสินะ ซางฮั่นฉิงพึมพำ น้ำเสียงหม่นๆราวกับว่าในหัวยังคงทำการคำนวณอยู่ไม่หยุด
ฉันมาหาพี่ที่นี้เพราะจะมาบอกลา ซางจิ่วตี้พูดขึ้น
อะไรนะ?! ครั้งนี้ ในที่สุดซางฮั่นฉิงก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง แต่ดูเหมือนว่ามันจะเกินกว่าเหตุ ท่าทางประหม่าแถมยังตะโกนเสียงดัง เดี๋ยว ไม่ได้! เธอจะไปไหนนะ?!
เธอจะไปไหน?เธอเป็นภรรยาของชูฮันนะ เธอจะไปไหน?! แม้แต่ฟานฮงเหวียนที่มัวแต่สนใจกับงานอยู่ตลอดยังเด้งตัวขึ้นมาแสดงท่าทีไม่พอใจ…ถ้าซางจิ่วตี้หายตัวไปหรือหาไม่เจอขึ้นมา พวกเขาจะรับมือกับชูฮันยังไง?
ทั้งสองต่างมองมาที่ซางจิ่วตี้ด้วยท่าทางขลาดๆกลัวๆหลังจากผ่านไปพักหนึ่งซางจิ่วตี้ก็พูดขึ้น ฉันจะย้ายไปอยู่เมืองอันลู ฉันไม่ได้บอกไปตั้งแค่วันมะรืนแล้วรึไง?
หลังจากได้ยินคำบอกของซางจิ่วตี้ทั้งซางฮั่นฉิงและฟานฮงเหวียนก็ตะลึงและพยักหน้าอย่างพร้อมเพียง เอ่อ…ใช่ เพียงแค่ย้ายไปอยู่เมืองอันลูใกล้ๆแค่นี้ที่จริงแล้วซางจิ่วตี้จะไปตอนไหนก็ได้ด้วยซ้ำ
ฟานฮงเหวียนถอนหายใจอย่างโล่งอกและไม่คิดจะห้ามอะไรอีกเขานั่งลงและกลับไปทำการคำนวณงานวิจัยของตัวเองต่อเหมือนเดิม
ซางฮั่นฉิงเองก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งใจยืนมองน้องสาวของเขาที่แสยะยิ้มส่งมาให้อย่างไม่กล้าพูดอะไรตอบอีก
ซางจิ่วตี้รู้สึกขบขันอย่างมากกับท่าทางเกินจริงของชายหนุ่มทั้งสองเธอลอบยิ้มออกมาก่อนจะพูดขึ้น เอาละ ถือว่าฉันได้บอกทั้งสองคนแล้ว เนื่องจากทั้งสองคนต้องซ่อนตัวอยู่ที่นี้และห้ามให้ใครรู้เด็ดขาดว่าอยู่ที่นี้ ดังนั้นงานพิธีในวันพรุ่งนี้ต้องขอโทษด้วยที่ไม่สามารถเชิญได้
หลังจากพูดจบซางจิ่วตี้ก็หมุนตัวและจากไปทันที
เช่นเดียวกันในยามค่ำคืนนั้นผู้คนมากมายนอนไม่หลับ ตื่นตัวกันตลอดทั้งคืนและเต็มไปด้วยความคาดหวังสำหรับวันพรุ่งนี้
————–
เช้าวันต่อมาทันทีที่แสงแรกของวันสาดส่องไปทั่วจนทั้งเขตพื้นที่เมืองอันลูได้รับไออุ่นจากแสงแดด ความมืดมิดและอันตรายในยามค่ำคืนถูกชะล้างออกไปและแทนที่ด้วยแสงสว่างจ้าที่ให้ความรู้สึกปลอดภัย
มันไม่มีซอมบี้ไม่มีลูกผสม เมืองได้รับการฟื้นฟู ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ทุกคนล้วนโหยหา
ในเขตพื้นที่ที่เหล่าผู้รอดชีวิตอาศัยอยู่ในเมืองอันลูตั้งแต่ที่พวกเขาได้กลับเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองอีกครั้ง ทุกๆเช้าหลายคนจะออกมายืนเงียบๆตรงถนนหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเพื่อรับแสงแดด มันเป็นความเข้าใจกันเอง โดยไม่ต้องมีคำพูดใดๆ แต่ละคนจะยืนเงียบๆอยู่ตรงประตูที่พักของตัวเอง มองพระอาทิตย์ขึ้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
พวกเขาไม่ได้เห็นภาพพระอาทิตย์ขึ้นจากในเมืองมานานเท่าไหร่แล้ว? พวกวัชพืนต้นไม้ทั้งหลายที่เจริญเติบโตสูงใหญ่อย่างบ้าคลั่งไม่ได้บดบังภูมิทัศน์สวยงามของเมืองเลยแต่กลับนำพาอากาศบริสุทธิ์และร่มเงาจากต้นไม้สีเขียว สร้างความสงบร่มรื่นให้กับผู้คนในเมืองแทน
ดังนั้นในทุกๆเช้ามันจะกลายเป็นความเงียบสงบที่สุดของเมืองนอกเหนือจากตอนกลางคืน ไม่มีใครพูดอะไร และจนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้นไปถึงยอด ผู้คนก็จะทยอยกลับเข้าไปในที่พักของตัวเองและเริ่มต้นวันใหม่
เสื้อผ้าอาหาร ที่พัก การวางผังเมืองที่เริ่มจากเขตพื้นที่เล็กๆได้ค่อยๆก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างตามคำสั่งจากชูฮัน