คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์) – ตอนที่ 1758 แขกผู้มาเยือน

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

แน่นอนว่าช่วงเวลานี้เขายังต้องรวบรวมวัตถุดิบเสริม ใช้หญ้ากร่อนพิษเป็นวัตถุดิบหลักเพื่อหลอมยาลูกกลอนระดับผสานอินทรีย์

แม้ว่าเทียบกับหญ้ากร่อนพิษแล้ว วัตถุดิบอื่นๆ จะไม่อาจเทียบได้ แต่ก็เป็นสิ่งที่หาได้ยากมากในแดนวิญญาณ ดังนั้นหากอยากรวบรวมวัตถุดิบที่ต้องการให้ครบ ก็ต้องใช้เวลาสักหน่อย

นอกจากนี้เพื่อเผชิญหน้ากับเคราะห์สวรรค์สามพันปีครั้ง เขายังต้องเอาภูเขาไท่อีที่ได้มาจากแดนกว้างเย็นไปหลอมให้กลายเป็นหนึ่งในภูเขาระดับสุดยอด

แม้ว่าอานุภาพจะไม่อาจเทียบกับภูเขาผสานปราณขั้นที่ห้าได้ แต่เมื่อเทียบกับภูเขาเทวะดูดปราณแล้ว ก็มีผลในการต้านทานกับเคราะห์สวรรค์อย่างแน่นอน

ได้ยาลูกกลอนวิญญาณวิญญาณมา ก็ต้องหาวิธีเช่นกัน

เขาถึงได้กินเข้าไปอย่างวางใจ รวมทั้งรู้ว่ากินตอนไหนจะเหมาะสมที่สุด

นอกจากนี้เป็นเพราะฝึกฝนเคล็ดวิชาหลอมจิตสัมผัสประกอบกับจิตสัมผัสที่เพิ่มขึ้นจากการพัฒนาระดับผสานอินทรีย์ ทำให้แม้ว่าเขาจะไม่อาจควบคุมแมลงกลืนวิญญาณหมื่นตัวได้ แต่พันกว่าตัวกลับทำได้อย่างสบายๆ

แมลงกลืนทองโตเต็มวัยจำนวนมากขนาดนี้ นับว่าเป็นอาวุธสังหารที่น่ากลัวมากชนิดหนึ่งแล้ว

สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ปกติ ย่อมหวาดกลัวแน่

เช่นนั้นเขากลับสามารถใช้แก่นดวงจิตมัจฉาสายรุ้งเหินในมือเริ่มหลอม ‘ยาลูกกลอนเจ็ดสี’ ในตำนานได้

ภายใต้การผสานกันระหว่างยาลูกกลอนวิญญาณโบราณและไผ่อัสนีสีทอง คิดดูแล้วคงทำให้แมลงกลืนทองที่โตเต็มวัยมีโอกาสจะบรรลุระดับขั้นหรือว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง

ตอนนั้นเขาเคยใช้วัตถุดิบก้อนศิลาประหลาด ทำให้แมลงกลืนทองเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยครั้งหนึ่ง

แค่ความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้ นอกจากน้ำหนักของแมลงกลืนทองเหล่านั้นจะเปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง ก็ไม่มีผลพิเศษที่น่าตกตะลึงใดๆ อีก ทำให้เขารู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก

ส่วนราชาแมลงกลืนทองตามที่ชิงหยวนจื่อเอ่ยถึง แม้แต่เซียนก็ไม่อาจหลบหลีกได้ สำหรับเขาแล้วมันเหลือเชื่อเกินไป ต่อให้อยากเลี้ยงก็ไม่อาจทำได้ และทำได้เพียงคิดเท่านั้น

ทว่าไม่ว่าจะเพื่อควบคุมแมลงกลืนทอง หรือว่าเพื่อเตรียมทะลุจุดคอขวดในวันข้างหน้า ก็ต้องฝึกฝนเคล็ดวิชาหลอมจิตสัมผัสขั้นที่สอง

และจากสถานการณ์ของเขาในยามนี้ จิตสัมผัสก็ถึงระดับที่กำหนดแล้ว แต่ระดับความแข็งแกร่งของกายเนื้อกลับยังคงขาดอีกนิดหน่อย จำต้องรอให้ถึงระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายและฝึกฝนเคล็ดวิชาพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้ ถึงจะพอฝืนให้เข้ากับเงื่อนไขได้

แต่ก่อนหน้านี้กลับสามารถคิดหาวิธีใช้สิ่งของภายนอกมาเพิ่มความแข็งแกร่งให้กายเนื้อก่อนแล้วค่อยว่ากัน

ตัวอย่างเช่นสุราตาข่ายแดงสวรรค์ ก็สามารถเปลี่ยนคุณสมบัติของร่างกายให้ดีขึ้นอย่างช้าๆ นำมาใช้เตรียมดื่มก่อนได้

แน่นอนยันต์วิเศษแดนเซียนสองสามแผ่นและภาพวาดดาราลึกลับ ก็จำต้องใช้เวลาเรียนรู้ทีละนิดๆ

หานลี่ครุ่นคิดในใจอย่างเงียบๆ ร่างทั้งร่างตกอยู่ในภวังค์ความครุ่นคิด…

เวลาหนึ่งปีที่เหลือหานลี่ไม่ได้ออกจากถ้ำพำนักบนยอดเขาพระอาทิตย์ขึ้นแม้แต่ก้าวเดียว ล้วนมุ่งมั่นอยู่กับการทำให้พลังปราณและระดับจิตใจมั่นคง

แต่ด้านนอกกลับเป็นเพราะเขาพัฒนาระดับผสานอินทรีย์จึงเกิดความวุ่นวายขึ้น

ขุมอำนาจที่อยู่บริเวณใกล้เคียงจำนวนไม่น้อย ต่างก็เตรียมเคลื่อนไหว

โชคดีที่ขุมอำนาจเหล่านี้ล้วนรู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่เพิ่งทะลวงจุดคอขวดคนหนึ่ง จำต้องกักตนบำเพ็ญเพียรหนึ่งปี ดังนั้นช่วงระยะเวลานี้จึงไม่ได้ส่งคนไปรบกวนการฝึกบำเพ็ญเพียรของหานลี่อย่างรู้จักวางตัว

แต่พอครบหนึ่งปีเต็ม ก็มีคนทนไม่ไหวทันที

วันนี้ชายชราร่างกายสูงผอมคิ้วเป็นสีทองอ่อนคนหนึ่งปรากฏขึ้นที่ขอบของทะเลหมอก

เขาสวมชุดคลุมยาวสีเขียว ตรงเอวมีหยกสมประสงค์สีเขียวมรกตห้อยอยู่ ยืนอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียง และมองไปยังใจกลางของทะเลหมอกด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

ฉับพลันนั้นชายชราพลันเอียงศีรษะ มองไปทางด้านหลัง

เห็นเพียงตรงปลายขอบฟ้ามีลำแสงสว่างวาบ สายรุ้งสีเงินความยาวสิบจั้งเศษพลันปรากฏขึ้น

เสียงแหวกอากาศดังขึ้น สายรุ้งสีเงินมีความเร็วที่น่าตกตะลึง แค่กะพริบวาบๆ ก็มาอยู่บริเวณใกล้เคียง หลังจากมองเห็นว่ากะพริบวาบอีกครั้งก็ทะลวงเข้ามาในทะเลหมอก

แต่ในยามนั้นเองกลางอากาศกลับมีเสียงร้องอุทานว่า “เอ๋” ดังขึ้นเบาๆ เสียงไม่ดังนักแต่กลับเข้ามาในโสตของชายชราอย่างชัดเจน

ชายชราได้ยินก็อดที่จะหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้

ทันใดนั้นก็เห็นสายรุ้งสีเงินหมุนวน แล้วพุ่งลงมายังยอดเขาที่ชายชราอยู่

ลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ ห่างจากชายชราไปสิบจั้งเศษ เงาร่างคนอรชนอ้อนแอ้นพลันปรากฏขึ้น

คาดไม่ถึงว่าจะเป็นหญิงสาวหน้าตาขาวผ่องงดงามสวมชุดชาววังสีฟ้าคนหนึ่ง

เรือนร่างของหญิงสาวผู้นี้ไม่มีกลิ่นอายแผ่ออกมาเลยสักนิด สีหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มจางๆ ราวกับสาวงามที่หน้าตาโดดเด่นในตำบลซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปในแดนมนุษย์

“เซียนเสี่ยวเฟิง! คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเซียนจะให้ความสำคัญกับตระกูลกู่ คาดไม่ถึงว่าจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง” ชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวเห็นใบหน้าของหญิงสาว รูม่านตาก็หดเล็กลงขณะเอ่ย

“ที่แท้ก็อาวุโสชีของเมืองเทวะสวรรค์นี่เอง ท่านอาวุโสมาที่นี่เพราะคนที่อยู่บนยอดเขาพระอาทิตย์ขึ้นหรือ?” หญิงสาวกลอกตาไปมา แล้วเอ่ยถามอย่างมีมารยาทเล็กน้อย

“หึๆ เมืองเทวะสวรรค์อยู่ห่างจากนี้แค่สองสามเดือน ที่นี่มีสหายระดับผสานอินทรีย์ปรากฏตัวขึ้น ย่อมต้องรู้อยู่แล้ว ท่านอาวุโสคนอื่นๆ กักตนอยู่ ผู้ที่ออกไปข้างนอกก็ออกไปข้างนอก มีเพียงข้าที่วิ่งมาที่นี่ หัวหน้าตระกูลกู่มาที่นี่ ก็คงมีจุดประสงค์เดียวกันสินะ?” ชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวเผยรอยยิ้มออกมาขณะตอบกลับและมีท่าทีเกรงใจหญิงสาวเป็นอย่างมาก

“ท่านอาวุโสปราดเปรื่องยิ่ง! ความจริงแล้วหนึ่งปีก่อนอาวุโสตระกู่ของพวกเราได้พูดคุยกับท่านอาวุโสที่อยู่ในยอดเขาพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าแค่ปีเดียว อาวุโสผู้นี้จะบรรลุระดับผสานอินทรีย์ได้ แน่นอนว่าชนรุ่นหลังย่อมต้องมาพบด้วยตัวเองสักครั้ง” หญิงสาวเอ่ยด้วยรอยยิ้มจางๆ

“หากข้าจำไม่ผิดละก็ อีกสองสามปีตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้อย่างพวกเจ้าก็จะทำพิธีวิญญาณเที่ยงแท้สามพันปีครั้งแล้วสินะ มิน่าล่ะจึงรีบร้อนอยากเพิ่มพละกำลังให้กับตระกูลกู่เช่นนี้ ทว่าสหายบนยอดเขาพระอาทิตย์ขึ้นผู้นี้ หากอยู่ในระดับผสานอินทรีย์จริงๆ ตาเฒ่ากลับไม่อาจถอยให้ได้ ยามที่ชนต่างเผ่าเข้าโจมตีเมืองครั้งที่แล้ว เมืองเทวะสวรรค์ก็สูญเสียอาวุโสไปสองคน ประกอบกับมีอาวุโสอีกสองคน เดาว่าคงผ่านเคราะห์สวรรค์ได้ยาก จำต้องเอาสหายใหม่ที่เพิ่งบรรลุระดับผสานอินทรีย์เข้ามาเสริม” ชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวกลับสั่นศีรษะ ไม่มีเจตนาจะยอมถอยให้

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง แต่พิธีจิตวิญญาณเที่ยงแท้เป็นเกียรติและศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลกู่ ชนรุ่นหลังเองก็ไม่ยอมถอยง่ายๆ เช่นกัน” หญิงสาวพลันขมวดคิ้วดำขลับ แล้วหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา

“หึๆ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่งไหนเลยจะยอมเข้าร่วมตระกูลไหนง่ายๆ บางทีเจ้ากับข้าอาจจะต้องกลับไปมือเปล่าก็เป็นได้ หลังจากที่ได้พบกับสหายผู้นี้แล้วค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน” ชายชราหัวเราะอย่างแผ่วเบาออกมา แล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ

“เป็นเช่นนั้นจริงๆ หากเป็นเช่นนั้นข้าและอาวุโสชีก็ไปคารวะท่านอาวุโสผู้นี้ด้วยกันเถิด” หญิงสาวพยักหน้า แล้วเอ่ยอย่างเห็นด้วย

ชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวยิ่งไม่มีความเห็นอื่น

ดังนั้นทั้งสองจึงกลายเป็นลำแสงหลีกหนี แล้วมาอยู่ตรงขอบของทะเลหมอกในพริบตา

ชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง จากนั้นก็อ้าปากเอ่ยด้วยเสียงอันดัง

“เมืองเทวะสวรรค์ชีซวี่ปิง เซียนเสี่ยวเฟิงแห่งตระกูลกู่ มาเยี่ยมเยียน!”

เสียงของชายชรากลายเป็นพลังวิญญาณส่งไปตามทะเลหมอก ดังสะท้อนก้องไปมากลางอากาศในรัศมีสองสามร้อยลี้

หานลี่ที่กำลังหลับตานั่งสมาธิอยู่ในถ้ำพำนัก พลันลืมตาขึ้น ใบหน้าเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา

ทว่าเขาพลันพลิกฝ่ามือตะปบออกไปกลางอากาศ จานอาคมสีขาวโพลนปรากฏขึ้นใจกลางฝ่ามือ

มือหนึ่งพลันร่ายอาคมชี้ไปที่จานอาคมอย่างรวดเร็ว มุมปากของหานลี่กระตุกเล็กน้อย

ในเวลาเดียวกันชายชราผู้สวมชุดคลุมสีเขียวและพวกทั้งสองคนก็อยู่ตรงขอบของทะเลหมอก ชั่วครู่ก็มีเสียงราบเรียบของหานลี่ดังขึ้น

“ที่แท้สหายทั้งสองก็มาเยี่ยมเยียนนี่เอง ผู้แซ่หานยังอยู่ในการกักตน ไม่สะดวกออกไปต้อนรับ เชิญสหายทั้งสองมานั่งในถ้ำพำนักของข้าน้อยก่อนเถิด ผู้แซ่หานจะออกไปพบด้วยตัวเอง”

สิ้นเสียงทะเลหมอกด้านล่างก็หมุนวน ชั่วครู่ก็เผยทางเดินความกว้างสองสามจั้งออกมา

ชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวและเซียนเสี่ยวเฟิงผู้นั้นพลันมองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วบินเข้าไปตามลำดับทันที

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ทั้งสองคนก็มาอยู่เหนือยอดเขา และร่อนลำแสงหลีกหนีลงตรงหน้าถ้ำพำนักบนสันเขา

ประตูถ้ำพำนักของหานลี่เปิดออก

ชายชราและหญิงสาวพลันเดินเข้าไปในทันที

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ทั้งสองก็แยกกันนั่งลงตามจุดต่างๆ ที่สร้างขึ้นอย่างเรียบง่ายในห้องโถง

จากนั้นหญิงสาวชุดขาวที่มีใบหน้าไร้ความรู้สึก มือถือจานรองถ้วยชาใบหนึ่ง ก็ส่งถ้วยชาวิญญาณมีกลิ่นหอมสองใบให้ทั้งสองคน จากนั้นก็นั่งเงียบๆ อยู่ด้านข้าง

ตอนแรกชายชราสวมชุดคลุมสีขาวและหญิงสาวยังไม่ได้สนใจ แต่เมื่อจิตสัมผัสกวาดไปบนเรือนร่างของหญิงสาวชุดขาว ทั้งสองก็อดที่จะเผยสีหน้าตกตะลึงออกมาไม่ได้

“ท่านอาวุโสชี ชนรุ่นหลังมองไม่ผิดสินะ หญิงสาวผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นหุ่นเชิดตัวหนึ่ง” หญิงสาวถ่ายทอดเสียงเอ่ยถามด้วยความตกตะลึงระคนสงสัย

“ไม่ผิด เป็นหุ่นเชิดตัวหนึ่งและยิ่งไปกว่านั้น ดูจากกลิ่นอายแล้วดูเหมือนจะเป็นหุ่นเชิดระดับหลอมสุญตา แต่สิ่งที่แปลกก็คือดูเหมือนจะไม่มีผู้ใดควบคุม สามารถเดินเหินได้อย่างอิสระ” ชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวแววตาเปล่งประกายโหดเหี้ยม มองสิ่งที่หญิงสาวมองไม่ออก

หญิงสาวได้ยินจะตกตะลึงแค่ไหนแค่คิดก็รู้แล้ว

แต่ไม่รอให้นางได้ขบคิดจะตรวจสอบหญิงสาวชุดขาวอย่างละเอียดอีกครั้ง ด้านนอกห้องโถงกลับมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นเบาๆ ชายหนุ่มท่าทางอายุประมาณยี่สิบปีเศษพลันเดินเข้ามาด้วยสีหน้าราบเรียบ

ชั่วขณะนั้นหญิงสาวพลันกลอกตาไปมาแล้วจ้องเขม็งมองมาทันที

ผลคือครู่ต่อมาหญิงสาวผู้นี้ก็มีสีหน้าเคร่งขรึม แล้วยืนขึ้นในทันที พลางคารวะให้ชายหนุ่ม

“ท่านอาวุโสบรรลุระดับผสานอินทรีย์แล้วดังคาด ชนรุ่นหลังเป็นตัวแทนของตระกูลกู่มาแสดงความยินดีกับความสำเร็จของท่านอาวุโส”

ชายชราชุดคลุมสีเขียวที่อยู่อีกด้าน ก็เผยรอยยิ้มออกมาแล้วหยัดกายลุกขึ้น พลางเอ่ยกับคารวะว่า “ข้าน้อยชีซวี่ปิง อาวุโสท่านหนึ่งของเมืองเทวะสวรรค์ คารวะสหาย”

“สหายทั้งสองมีมารยาทเกินไปแล้ว! ทั้งสองมาจากแดนไกล ผู้แซ่หานไม่ได้ออกไปต้อนรับจากแดนไกล หวังว่าสหายทั้งสองจะไม่ถือสา” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา แล้วคารวะตอบเช่นกัน

“ฮ่าๆ สหายหานเพิ่งจะบรรลุระดับผสานอินทรีย์ กำลังอยู่ในช่วงทำให้พลังยุทธ์มั่นคง ผู้แซ่ซีจะไม่รู้ได้อย่างไร” ชายชราลูบเคราขณะเอ่ยตอบ

ดังนั้นหลังจากที่สามคนเอ่ยอย่างเกรงใจกันสองสามประโยคแล้ว ก็แยกกันนั่งตรงตำแหน่งของแขกผู้มีเกียรติ

“ไม่ปิดบังท่านอาวุโสหาน ยามที่ข้าได้รับข่าวมาว่าท่านอาวุโสกำลังพัฒนาระดับผสานอินทรีย์ ก็แทบจะไม่อยากจะเชื่อ ถึงอย่างไรเสียก่อนหน้านี้อาวุโสกู่อวิ๋นของเผ่าเราก็เพิ่งจะกลับไปได้ไม่นาน และบอกว่าสหายมีพลังยุทธ์อยู่ในระดับหลอมสุญตา คิดไม่ถึงว่าแค่ปีเดียว ท่านอาวุโสจะมีระดับพลังยุทธ์ขนาดนี้” หญิงสาวของตระกูลกู่เอ่ยพร้อมกับทอดถอนใจ

“หึๆ ความจริงแล้วตอนนั้นผู้แซ่หานกำลังเตรียมการทะลวงจุดคอขวด แต่สหายทั้งสองเองก็รู้ว่าอัตราการบรรลุระดับผสานอินทรีย์นั้นมีไม่มากนัก ข้าน้อยก็คิดไม่ถึงว่าจะบรรลุระดับได้ในครั้งเดียว ตอนแรกก็ไม่ได้มีเจตนาจะปิดบังสหายกู่อวิ๋น” หานลี่เผยสีหน้าขอโทษขอโพยออกมา

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท