พิธีการก่อตั้งเมืองอันโรใช้เวลาตลอดทั้งบ่ายและซางจิ่วตี้ก็มีการกล่าวสุนทรพจน์เป็นเวลานานกว่าสองชั่วโมง ไม่มีผู้รอดชีวิตคนไหนใจร้อนหรือส่งเสียงดัง ทุกคนต่างตั้งใจฟังอย่างเงียบสงบเพราะถึงแม้การพูดนั้นจะยาวนานแต่เนื้อหานั้นค่อนข้างน่าตื่นเต้น ซางจิ่วตี้จงใจสร้างบรรยากาศปลุกกำลังใจเพื่อให้ตลอดทั้งงานพิธีการดำเนินต่อไปด้วยบรรยากาศฮึกเฮิม
สุนทรพจน์ของเหล่าผู้จัดการเมืองหลายคนต่อมาก็ยิ่งช่วยระดมบรรยากาศจนไต่ขึ้นสูงไปเรื่อยๆเช่นกันเนื่องจากหลายคนนั้นมาจากการเป็นผู้รอดชีวิต พวกเขาถูกคัดเลือกมาให้ทำงานในตำแหน่งสูงของเขี้ยวหมาป่าเพื่อทำหน้าที่คอยช่วยซางจิ่วตี้จัดการดูแลเมือง
พวกเขาพูดถึงชีวิตความเป็นมาของตัวประสบการณ์หลังจากได้เข้ามาเขี้ยวหมาป่าและอธิบายให้เห็นถึงภาพจริงเพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นถึงความแตกต่างของเมืองอันโร ว่าในเมืองแห่งนี้…มันมีความเป็นไปได้ที่ไร้ขีดจำกัด!
การพูดเช่นนี้สร้างความสนใจและดึงดูดผู้คนได้อย่างไม่ต้องสงสัยทุกคนต่างตั้งใจฟังด้วยแววตาเป็นประกาย พวกเขาเชื่อว่าถ้าทำงานมากพอ ตราบใดที่ไม่ขี้เกียจและขยันขันแข็ง ทุกคนจะได้รับรางวัลตอบแทนที่เหมาะสม
ทุกอย่างยุติธรรมและสร้างความเท่าเทียมให้ทุกคน
และในที่แห่งนี้ที่ซึ่งผู้รอดชีวิตจำนวนมากอยู่รวมกันมันคือที่แห่งเดียวในจีนที่ไม่มีการแบ่งแยกเขตพื้นที่ผู้ลี้ภัย
กว่าพิธีการจะจบมันก็ถึงเวลาอาหารเย็นแล้วชาวเมืองทุกคนถอยกลับไปยังที่พักของตัวเองราวกับกระแสน้ำย้อนกลับ ซางจิ่วตี้และเหล่าผู้จัดการเมือง รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงก็ไปเจอกันต่อในงานเลี้ยง รับประทานอาหารค่ำสุดอลังการเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองร่วมกัน
วันนี้คือวันสถาปนาเมืองอันโรอย่างเป็นทางการและเป็นวันที่ซางจิ่วตี้เข้ารับตำแหน่งสาบานตนเป็นเจ้าเมืองอย่างเป็นทางการถึงแม้ว่าทรัพยากรพวกเขาจะมีจำกัด แต่มันก็จำเป็นต้องมีการจัดงานขึ้น อีกทั้งมื้อค่ำในครั้งนี้มันยังมีละครอีกฉากหนึ่งที่ยังไม่ได้แสดงออกมาให้ทุกคนได้เห็น
มู๋หรงยู่เฉิงและตัวแทนคนอื่นๆต่างอยู่ในสภาพหน้ามืดตามัวตั้งแต่การกล่าวสุนทรพจน์ของซางจิ่วตี้ จนการพูดของเหล่าผู้จัดการเมือง ไล่ไปจนถึงปล่อยให้ทุกคนปลดปล่อยความปิตียินดีออกมากันเต็มที่ และตลอดทั้งหมดไม่มีใครให้ความสนใจแก่เหล่าตัวแทนเลยสักนิด ทำราวกับพวกเขาไม่มีตัวตนอย่างไรอย่างนั้น
ดังนั้นในงานเลี้ยงมื้อค่ำขณะที่ทุกคนพูดถึงกันอย่างฉะฉานครื้นเครงในขณะที่เหล่าตัวแทนต่างเกิดข้อสงสัยในใจ…ทำไมเขี้ยวหมาป่าถึงไม่สามารถก้าวก่ายเมืองอันโรได้? และชูฮันทำไมถึงไม่ปรากฏตัวขึ้นเลย?
คุณมู๋หรง ในงานเลี้ยง จู่ๆซางจิ่วตี้ก็หันมาให้ความสนใจตัวแทนอย่างเหนือความคาดหมาย และยังเรียกชื่อมู๋หรงยู่เฉิงขึ้นมาอีก
ทันใดนั้นตัวแทนทุกคนก็รู้สึกได้ถึงอันตรายกำลังมาเยือนมู๋หรงยู่เฉิงลุกขึ้นยืน ขอแสดงความยินดีกับท่านพลตรีในฐานะเจ้าเมืองอันโรด้วยครับ
สถานะเดิมก่อนหน้านี้ของซางจิ่วตี้คือพลตรีและยังได้รับการตั้งแต่จากซางจิงอย่างเป็นทางการทว่าตั้งแต่ที่เธอจากซางจิงมายังเขี้ยวหมาป่า คำนำหน้าพลตรีของเธอก็เหลือเพียงแค่ชื่อเท่านั้นหากมันไม่มีผลบังคับใช้แล้ว
การที่มู๋หรงยู่เฉิงพูดถึงประเด็นนี้ในเวลานี้แน่นอนว่าเป้าหมายคือการยั่วยุและต้องการปั่นประสาทซางจิ่วตี้อย่างไม่ต้องสงสัย
เสียงพูดคุยครื้นเครงในงานกินเลี้ยงค่อยๆซาลงจนกลายเป็นเงียบสนิทสายตาของทุกคนมองสลับไปมาระหว่างทั้งคู่ กลิ่นความอันตรายเริ่มอบอวลไปทั่วทั้งงาน ซางจิ่วตี้หรี่ตาลงมีประกายความเย็นชาในนัยน์ตาของเธอ เธอรู้ว่าเมืองหนานตู้นั้นเป็นเมืองที่คอยสนับสนุนเขี้ยวหมาป่ามาตลอด ดังนั้นในวันสำคัญเช่นนี้ของเขี้ยวหมาป่า อีกฝ่ายจึงไม่สมควรที่จะจงใจยั่วยุกันแบบนี้
เพราะฉะนั้นการที่มู๋หรงยู่เฉิงเจตนาจงใจยั่วยุในครั้งนี้เป้าหมายไม่ใช่ชูฮันหรือเขี้ยวหมาป่าหรือเมืองอันโร…แต่เป็นเธอ
ส่วนสำหรับเหตุผลนั้นเรื่องที่ดูจะเป็นไปได้มากที่สุดก็คงจะเป็นเพราะเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างฉางกวนยวีซินและชูฮันที่โด่งดังไปทั่วตั้งแต่หลายเดือนก่อน และการที่เธอประกาศตัวถึงสถานะที่เกี่ยวข้องกับชูฮันในพิธีงานวันนี้ มันคงจะสร้างความไม่พอใจให้กับมู๋หรงยู่เฉิงที่ใกล้ชิดกับฉางกวนยวีซิน
ตัวแทนคนอื่นๆได้แต่ลอบสบตากันไปมาในใจนั่นยิ่งเย้ยหยันชูฮันเข้าไปอีก
ผู้หญิงสองคนอิจฉาริษยากันไปมาเอาความรู้สึกส่วนตัวมาทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขี้ยวหมาป่าและหนานตู้ต้องพังลงเพราะเรื่องแบบนี้
ครั้งนี้พวกเขาคงจะได้ดูอะไรสนุกๆแล้วละ!
ซางจิ่วตี้ตั้งสติก่อนจะยิ้มออกมาและพูดขึ้น ที่จริงดิฉันกับคุณมู๋หรงเคยได้เจอกันเมื่อปีที่แล้ว ไม่แน่ใจว่าคุณยังจำได้รึเปล่า?
การเปลี่ยนหัวข้ออย่างกระทันหันทำให้มู๋หรงยู่เฉิงและคนอื่นๆต่างต้องมองไปที่ซางจิ่วตี้ด้วยความข้องใจอย่างไม่รู้ว่าซางจิ่วตี้กำลังจะมาไม้ไหนกันแน่
ความจำผมคงไม่ดีเท่ากับท่านเจ้าเมือง มู๋หรงยู่เฉิงตอบอย่างถ่อมตัว ทว่าในใจนั้นอยากจะตะคอกใส่ด้วยซ้ำ
พูดถึงเรื่องนี้…เขาไปได้เจอกับซางจิ่วตี้เมื่อปีที่แล้วตอนไหนกัน?ตอนที่ชูฮันเดินทางไปเมืองหนานตู้ครั้งแรก ตอนนั้นมู๋หรงยู่เฉิงอยู่ที่ซางจิงและนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้มาเยือนเขี้ยวหมาป่า และมันก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอซางจิ่วตี้?
นั่นคือสิ่งที่คุณมู๋หรงคงจะลืมไปแล้ว ซางจิ่วตี้ยิ้ม ตั้งแต่แรกที่ฉันได้ขับเฮลิคอปเตอร์บินไปส่งฉางกวนนยวีซินกลับค่ายหนานตู้ ฉันเห็นคุณยืนอยู่ข้างพลเอกฉางกวนหลง ฉันยังจำภาพในวันนั้นได้อย่างชัดเจน
ทันทีที่ซางจิ่วตี้พูดขึ้นมาตัวแทนจากเกือบทุกค่ายก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป
พวกเขาอยากเห็นซางจิ่วตี้และค่ายหนานตู้ฉีกขาดกันเพื่อที่พวกเขาจะได้รู้ไส้รู้พุงของทั้งสองฝ่ายและเลือกได้ว่าจะหันหลังให้กับใครแต่ไม่คิดเลยว่าจู่ๆซางจิ่วตี้ก็จะปาระเบิดออกมาก่อนคนแรกแบบนี้
และไม่ต้องพูดถึงมู๋หรงยู่เฉิงเลยผู้จัดการเมืองหลายคนที่คุ้นเคยกับชูฮันและซางจิ่วตี้ดีก็ยังตะลึงค้าง
แสดงว่าที่ผ่านมาภรรยาหลวงและภรรยาน้อยของชูฮันก็รู้จักกันอยู่แล้ว? ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันด้วย!
ไม่อย่างนั้นซางจิ่วตี้จะบินไปส่งฉางกวนยวีซินกลับค่ายหนานตู้เองได้ยังไง?
นี้มัน….
สถานการณ์ดูเหมือนจะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือภายในพริบตาเดียว!
หลังจากมู๋หรงยู่เฉิงเงียบอยู่พักหนึ่งเขาก็ได้สติกลับมาและอดไม่ได้ที่เหลือบมองซางจิ่วตี้อย่างแค้นใจ ปากบิดเม้มอยู่สองสามครั้งอย่างไม่รู้จะพูดอะไร
ตาของซางจิ่วตี้เป็นประกายอย่างชอบใจ ไม่รู้ว่าฉางกวนยวีซินอยู่ที่หนานตู้เป็นอย่างไรบ้าง?
หลังจากนั้นซางจิ่วตี้ก็ยิงระเบิดลูกต่อไปทันทีโดยคำพูดของเธอทำให้ทุกคนถึงกับพูดไม่ออกเลยกันเลยทีเดียว อันที่จริง สิ่งที่ฉันอยากจะถามก็คือตอนนี้สภาวะของโลกาวินาศก็เริ่มจะคงที่แล้ว เมื่อไหร่กันที่ฉางกวนยวีซินพร้อมจะแต่งงาน? แน่นอนว่าเราอยากจะปฏิบัติกับเธอให้สมเกียติที่สุดแต่ว่าชูฮันนั้นก็ยุ่งอยู่ตลอดเวลาจนทำให้ทุกอย่างล่าช้า แต่ทางค่ายหนาตู้ไม่ต้องเป็นห่วงดิฉันจะคอยดูแลฉางกวนยวีซินในฐานะพี่สาวอย่างเต็มที่
มู๋หรงยู่เฉิงเม้มปากแน่นในหัวนึกถึงภาพการโต้เถียงระหว่างฉางกวนหลงและฉางกวนยวีซินก่อนหน้านี้ ดูเหมือนมันจะจริงที่ฉางกวนยวีซินไม่สนใจเลยว่าชูฮันจะผู้หญิงอยู่ก่อนแล้ว
ตัวแทนคนอื่นๆเหมือนกับถูกตบหน้าเข้าอย่างจังกองทัพเขี้ยวหมาป่านี้ทรงอำนาจมากขนาดที่ทำให้ชาวเมืองเชื่อฟังคำสั่งทุกอย่าง รวมถึงสามารถทำให้ผู้หญิงที่ไม่ธรรมดาต่างยินยอมอยู่ในความสงบกันแบบนี้?
ชูฮันเอาแต่ของดีทุกอย่างไว้กับตัวหมดคนเดียว!