คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์) – ตอนที่ 1807 หอหลงใหลสวรรค์

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

ชายหนุ่มผู้นั้นแน่นอนว่าต้องเป็นหานลี่

เริ่มจากใช้หน้ากากในการเปลี่ยนร่างเป็นวานรปีศาจ ลอบเข้าไปในปราสาท ต่อมาก็ถูกพบและติดตามโดยผู้อาวุโสตระกูลหล่งนั้น จำต้องใช้วิชาคาถาตื่นจากจำศีลแปลงกาย กลายร่างเป็นวานรยักษ์ภูเขาและต้องประมือกับตัวประหลาดเฒ่าไปหลายกระบวนท่า

ด้วยร่างกายกำยำ ควบคู่ไปกับคาถาตื่นจากจำศีลแปลงกาย และประมือกับร่างครึ่งมังกรของผู้อาวุโสตระกูลหล่ง แน่นอนว่าต้องไม่เสียเปรียบ แต่ก็แอบลอบหวั่นในพลังอำนาจที่น่ากลัวหลังจากกลายร่างเป็นมังกรแล้วของอีกฝ่าย

แต่หานลี่เองก็รับรู้ได้อย่างชัดเจน ไม่เพียงแต่ตนนั้นใช้พลังไปห้าหกส่วน ตัวประหลาดเฒ่าท่านนั้นก็ไม่ได้ใช้พลังอย่างจริงจังเลยด้วยซ้ำ

ไม่เช่นนั้นการต่อสู้เมื่อครู่ คงมีความเป็นไปได้เป็นอย่างมากที่จะทำลายทั้งวังต้อนรับเซียนเลยก็เป็นได้

ไม่ว่าตัวประหลาดเฒ่าตระกูลหล่งจะคิดอย่างไร แน่นอนว่าหานลี่ต้องมีความสุขแน่ที่ได้ออกไปอย่างง่ายๆ

ตอนนี้เขาได้อยู่ไกลถึงเพียงนี้แล้ว หากอาศัยจำนวนของทั้งสองเผ่ามนุษย์และปีศาจในเขาเก้าเซียนแล้ว ต่อให้คนในตระกูลหล่งเล่ห์เหลี่ยมท่วมท้น ก็มิอาจติดตามมายังที่นี่ได้แน่

หานลี่ที่ได้คืนร่างจริงบนยอดเขาแล้ว ก้มศีรษะลงเล็กน้อย มองไปยังอาวุธของเผ่าอาวุธวิญญาณในมือที่ราวกับหุ่นเชิด ก่อนจะถอนหายใจออกมา

จากนั้นด้วยมือข้างหนึ่งที่ออกแรงกดลงไป แสงสีฟ้าก็พุ่งออกมา และเข้าสู่ร่างของนักพรตตัวน้อยไปในพริบตา

ลูกศิษย์แห่งเผ่าอาวุธวิญญาณต่างก็สั่นสะเทือนไปทั้งร่าง เดิมทีสีหน้าที่แข็งทื่อก็บิดเบี้ยวไปเล็กน้อย หลังจากเสียงคร่ำครวญ ทั้งใดนั้นแสงสีเขียวก็โอบล้อมจนมวลอากาศสีดำกระอักออกมา

“อาจารย์ เหตุใดท่านมาอยู่ที่แห่งนี้ ข้ามิได้ถูกหญิงชราผู้หนึ่งจับตัวไปหรือ” ลูกศิษย์แห่งเผ่าอาวุธวิญญาณกะพริบวาบอยู่ครู่ใหญ่ ก็ชัดเจนขึ้นมาก และเมื่อเขาเห็นหานลี่ก็เอ่ยถามออกมาด้วยความประหลาดใจ

เห็นได้ชัดว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น และภายใต้พลังแห่งการบังคับห้าม นักพรตน้อยนี้จำอะไรไม่ได้เลย

“เหอะ หากข้าไม่มาล่ะก็ เจ้าจะต้องเพลี่ยงพล้ำแน่นอน เอาล่ะ เรื่องราวทั้งหมด ข้าจะบอกเจ้าระหว่างทาง ตอนนี้ออกไปจากที่นี่ก่อน” หานลี่ไม่มีแก่ใจมาพูดเรื่องไร้สาระกับลูกศิษย์ผู้นี้ เมื่อสั่งการเสร็จ ก็สะบัดแขนเสื้อออกเดินทาง

แสงสีเขียวทะยานออกมา ม้วนหานลี่และลูกศิษย์แห่งเผ่าอาวุธวิญญาณเข้าด้วยกัน กลายร่างเป็นรุ้งสีเขียวก่อนจะพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า ก่อนจะมุ่งไปยังที่พำนักและหายลับไป

เมื่อลูกศิษย์แห่งเผ่าอาวุธวิญญาณอยู่ท่ามกลางแสงสว่าง เมื่อได้ฟังหานลี่เล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเมื่อยามที่เขาไม่ได้สติ หรือแม้กระทั่งเชื่อมโยงไปถึงเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างตระกูลหล่งที่ถือเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในโลก เขาที่เดิมทีเป็นคนไม่ยี่หระเรื่องใด ก็งงเป็นไก่ตาแตกไปพักใหญ่

เมื่อหานลี่เห็นสถานการณ์นี้ก็ประหลาดใจเล็กน้อย อดคิดไม่ได้ว่าในที่สุดลูกศิษย์ผู้นี้ในที่สุดก็รู้สักทีว่าอะไรหรือความรู้สึกใจหายในภายหลัง

แต่ที่คิดไม่ถึงก็คือ เขาเพิ่งจะเกิดความคิดนี้เองในใจ เจ้าลูกศิษย์ผู้นี้จู่ๆ ก็กระโดดสองขาและเริ่มสาปแช่งขึ้นมา

เป้าหมายของการสาปแช่งแน่นอนว่าต้องเป็นครอบครัวของหญิงชราและตระกูลหล่ง ผรุสวาทเสียจนน้ำลายแตกฟอง ราวกับจะจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้แล้วอย่างนั้น

หานลี่เมื่อเห็นเยี่ยงนี้ก็ตกใจ ก่อนจะหัวเราะแบบไร้เสียงออกมา สุดท้ายจึงเอ่ยปากห้ามปรามลูกศิษย์แห่งเผ่าอาวุธวิญญาณผู้นี้ไว้

“เอาล่ะ อย่างนี้มันใช้ได้ที่ไหนกัน จะไปให้ตระกูลหล่งรับผิดชอบ ข้าจะไม่ห้ามเจ้า แต่เจ้าเองก็ต้องเก่งพอตัวถึงจะไหว ตอนนี้เจ้าในสายตาของตระกูลหล่งและครอบครัวขุนนางอื่นๆ ก็เป็นเหมือนเพียงมดตัวหนึ่ง เพียงขยี้ก็แหลกสลายเสียแล้ว ถือดีอย่างไรไปหาเรื่องตระกูลหล่ง หากเจ้ามีความประสงค์อย่างนั้นจริง ก็รอให้เจ้าเองได้เข้าสู่ระดับผสานอินทรีย์ก่อนค่อยว่ากัน อีกอย่างเจ้าเองปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนบ่อยเกินไป หลังจากกลับไปแล้ว ข้าจะถ่ายทอดวิชาให้เจ้าสักหน่อย มอบของมีค่าและยาให้ รอให้เรื่องนี้เงียบไปแล้ว เจ้าและไห่ต้าเซ่าก็ไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เมื่อไปถึงเมืองเทียนหยวนแล้ว จงเข้าร่วมกับการฝึกองครักษ์ของเมือง ฝึกฝนสักองสามปีก่อนค่อยว่ากัน ตระกูลหล่งมีอำนาจมากเพียงใด แต่ก็มีความหวาดกลัวในเมืองเทียนหยวนนัก ไม่กี่ปีข้างหน้าข้าเองก็จะกลับมารวมตัวกับพวกเจ้าที่นี่”

“โธ่ อาจารย์จะจากศิษย์ไปหรือ แต่งานหมื่นสมบัติเพิ่งจะเริ่มได้ไม่นานนะ ศิษย์มาไกลถึงเพียงนี้ ศิษย์ยังมิได้ดูอย่างจริงจังเลย” นักพรตน้อยเมื่อได้ฟังคำกล่าวของหานลี่ อดไม่ได้ที่จะชะงัก ต่อมาก็ร้องออกมาอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม

“หึ ชีวิตของเจ้าสำคัญ หรือว่างานหมื่นสมบัติสำคัญกว่าเล่า แม้ว่าข้าจะไม่เกรงกลัวตระกูลหล่ง แต่ก็มิใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลในการป้องกันตัว หากประมาทแล้วเจ้าถูกลักพาตัวไปอีกจะทำอย่างไรเล่า หรือว่าจะให้ข้าบุกตระกูลหล่งอีกครั้งหรือ” หานลี่ร้องเหอะเบาๆ ก่อนตำหนิออกมาอย่างไม่เกรงใจ

“ในเมื่ออาจารย์มีคำสั่งแล้ว อย่างนั้นศิษย์น้อมนำก็ใช้ได้” ลูกศิษย์แห่งเผ่าอาวุธวิญญาณเมื่อเห็นหานลี่ชักสีหน้า ก็หดคอพึมพำ แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เต็มใจอย่างยิ่ง

แต่หานลี่แน่นอนว่าไม่ได้สนใจว่าศิษย์ผู้นี้จะเต็มใจหรือไม่ เมื่อได้ยินคำนี้ สีหน้าก็ค่อยๆ พยักหน้าอย่างผ่อนคลาย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

เวลาต่อมา หานลี่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก แต่เร่งเดินทางตามลำแสงต่อไป

หนึ่งชั่วยามต่อมา พวกเขาก็กลับมายังที่พักอย่างเงียบๆ แล้ว

ไห่ต้าเซ่าที่รออยู่ในห้องโถงใหญ่และชะเง้อมองจนตาแทบทะลุ เมื่อเห็นหานลี่นำตัวลูกศิษย์แห่งเผ่าอาวุธวิญญาณกลับมาได้ แน่นอนว่าดีใจเป็นอย่างมาก ต่างเร่งเข้ามาทำความเคารพเป็นการใหญ่

“เย่ว์เทียน ครั้งก่อนเจ้ารายงานว่าหาคนที่อาจารย์ต้องการหาพบแล้ว ตอนนี้คนผู้นั้นอยู่ที่ใดกัน?” หานลี่นั่งลงตรงตำแหน่งประมุข ก่อนถามคำถามที่ทำให้ไห่ต้าเซ่าประหลาดใจออกมา

“อาจารย์ พวกข้าทั้งสองอยู่ในสถานที่ซึ่งเรียกว่า หอหลงใหลสวรรค์ และเห็นสัญลักษณ์ที่อาจารย์ว่าไว้ และยังใช้ของสิ่งนั้นจนได้พบกับผู้อาวุโสแห่งเผ่าปีศาจด้วย ในวันพรุ่งนี้ยามเที่ยงนางยังเชิญให้ท่านไปพบกันที่หอลวงตา” ไห่ต้าเซ่าเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม

“พรุ่งนี้เที่ยงรึ รีบร้อนจริง ได้ ข้าทราบแล้ว สองสามวันนี้พวกเจ้าก็อยู่ที่นี่ดีๆ แล้วกัน อย่าได้ออกไปไหน ข้าเองจะวางเขตอาคมต้องห้ามที่แข็งแกร่งเอาไว้ ต่อให้เป็นบุคคลที่อยู่ในระดับผสานอินทรีย์บุกเข้ามา ก็จะสามารถตรึงได้ไว้หนึ่งถึงสองส่วน ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เจ้าทั้งสองเมื่อตกกลางคืนแล้วก็ไปพบข้า ข้าจะชี้แนะเกี่ยวกับการฝึกฝนให้ หลังจากที่เรื่องนี้เงียบไปสักหน่อย พวกเจ้าก็ออกเดินทางได้”

หานลี่เอ่ยเสียงเรียบ ก่อนจะทิ้งสองคนนั้นในตำหนัก และจากไป

“ออกเดินทางรึ ศิษย์น้อง ที่อาจารย์พูดหมายความเยี่ยงไร” ไห่ต้าเซ่าเมื่อได้ฟัง ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกงงงวย

“นี่ออกจะเล่าลำบาก ข้าเองก็ถูกตระกูลหล่งจัดการเสียขมขื่น” นักพรตน้อยทำหน้ายับยู่ยี่ เหมือนกับสูญเสียอาวุธล้ำค่าไปอย่างนั้น

แต่ไห่ต้าเซ่ากลับลูบคลำคางตน แน่นอนว่าต้องงงงวยเช่นกัน

วันต่อมา หานลี่ใช้เวลาทั้งวันช่วงเช้าในการวางเขตอาคมที่แข็งแกร่งมาก ณ ที่แห่งนี้ หลังจากนั้นก็จากตำหนักไป มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่ศิษย์ทั้งสองเรียกขานว่าหอหลงใหลสวรรค์

อย่างที่ไห่ต้าเซ่าว่าไว้ หอหลงใหลสวรรค์นี้ตั้งอยู่ในเมืองสี่เหลี่ยมเล็กๆ ใจกลางภูเขาเก้าเซียน

เมืองสี่เหลี่ยมเล็กๆ นี้ล้วนถูกสร้างขึ้นชั่วคราวโดยกองกำลังต่าง ๆ ของมนุษย์และปีศาจทั้งสองเผ่า

ถึงแม้ว่าแต่ละที่จะไม่ใหญ่มาก แต่ว่าก็ครบครัน ทุกที่ล้วนมีร้านค้าที่หาได้ดาษดื่น มีร้านค้าพิเศษบางแห่งที่ไม่มีในเมืองอื่นด้วยซ้ำ ที่นี่ขายของที่ร้านอื่นไม่มีหรือมีน้อยมากอยู่

และหอหลงใหลสวรรค์ก็ถือเป็นหนึ่งในนั้น

หอแห่งนี้ไม่ขายของอย่างอื่น ขายเฉพาะวัสดุที่เรียกว่า “ศิลาหลงใหลสวรรค์” เท่านั้น

วัสดุชิ้นนี้ไม่ถือว่าหายากอะไร แต่กลับเป็นวัสดุจำเป็นหลักในการจัดวางเขตอาคมหลัก ดังนั้นถึงสิ้นเปลืองมาก

และแน่นอนว่าหอหลงใหลสวรรค์แห่งนี้มีการแบ่งลำดับชั้น ยิ่งเขตอาคมที่แข็งแกร่งเท่าใด ก็ยิ่งต้องการวัสดุที่สูงส่งมากเท่านั้น

หอหลงใหลสวรรค์ก็คือร้านเดียวเพียงแห่งเดียวที่สามารถขายศิลาหลงใหลสวรรค์ระดับบนสุดได้จำนวนมากที่สุด ดังนั้น เหล่านักพรตแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ และปีศาจแปลงร่างจำนวนมากจึงมาเยี่ยมเยียนร้านนี้เป็นพิเศษ

“นี่ก็คือหอหลงใหลสวรรค์หรือ”

หานลี่ยืนอยู่เบื้องหน้าบ้านที่ประกอบจากบ้านแนวราบที่ไม่สูงมาก มองไปยังแผ่นโลหะที่แขวนอยู่ด้านบนของบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ตรงกลาง ดูราวกับหมดคำจะพูดก็มิปาน

แต่ต่อให้เป็นเยี่ยงนั้น แน่นอนว่าหานลี่ยังคงเดินตรงเข้าไปในบ้านหลังนั้น

เห็นเพียงห้องหนึ่งที่แม้นไม่ใหญ่ แต่เก็บกวาดได้อย่างสะอาดสะอ้านผิดปกติ

นอกจากโต๊ะสองตัว เก้าอี้สองสามตัว และชั้นวางสินค้ายาวๆ หนึ่งชั้น ก็ไม่มีเครื่องเรือนอื่นอีก

และบนชั้นวางสินค้านั้น นอกจากศิลาน้อยใหญ่ที่ไม่รู้ชื่อแล้ว ก็ไม่มีสินค้าใดอีก

หลังโต๊ะหน้าชั้นวาง มีเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่มีผมเปียชี้ขึ้นฟ้า 2 ข้างกำลังฟุบอยู่ ท่าทางน่ารัก น่าจะอายุสิบเอ็ดหรือสิบสองปีไม่เกิน นางกำลังเล่นนิ้วอย่างเบื่อหน่ายอยู่

“อ้า มีแขกมารึ ท่านผู้อาวุโสต้องการมาหาซื้อศิลาหลงใหลสวรรค์หรือเจ้าคะ ต้องการคุณภาพระดับใดเล่า ต้องการเท่าใด หอหลงใหลสวรรค์ของเรานี้มีครบทุกอย่างที่ท่านต้องการ” เด็กสาวเมื่อเห็นหานลี่ปรากฏตัวก็ลุกยืนขึ้นอย่างกระฉับกระเฉงทันที และทักทายหานลี่ด้วยรอยยิ้มแฉ่งทันที ท่าทางเหมือนผู้ใหญ่ในร่างเด็กน้อยอย่างนั้น

หลังจากหานลี่แผ่จิตสัมผัสตรวจสอบกายนาง ก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลงสีหน้าเล็กน้อย มีความประหลาดใจพาดผ่าน

เด็กสาวตรงหน้ามีไอปีศาจจางๆ แผ่ออกมา เห็นได้ชัดว่าต้องเป็นคนจากเผ่าปีศาจแน่ และเมื่อมองจากคลื่นความกดดันวิญญาณ ยังมีร่างบำเพ็ญปีศาจที่อยู่ในระยะการเปลี่ยนแปลง หากผู้ใดถูกใบหน้าอ่อนเยาว์นี้หลอกเอา น่ากลัวว่าจะเสียเปรียบเอายกใหญ่ได้

“ผู้น้อยมิได้มาซื้อสิ่งใด ข้าต้องการมาพบคน” หานลี่เอ่ยเสียงเรียบ

“อ่า ที่แท้คือท่านผู้อาวุโสหาน พี่สาวข้าได้รออยู่ที่สวนด้านหลังนานแล้ว” เด็กสาวที่ได้ฟังก็ชะงักไป แต่ก็รีบเปลี่ยนสีหน้าแล้วทำความเคารพหานลี่ทันที

“อ่อ เจ้าคือน้องสาวของนางหรือ” หานลี่รู้สึกแปลกใจอย่างจริงจัง อดไม่ได้ที่จะประเมินเด็กสาวตรงหน้าเสียสองสามที

“ผู้น้อย ฉินเม่ยเอ๋อร์ เป็นพี่น้องฝาแฝดกับท่านพี่ซู่เอ๋อร์ ผู้น้อยจะนำท่านผู้อาวุโสไปพบพี่ซู่เอ๋อร์เดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” เด็กสาวเอ่ยตอบอย่างน่าเอ็นดู

“ดี นำไปเถิด” หานลี่พยักหน้าอย่างสงบเยือกเย็น

ดังนั้นเด็กสาวจึงนำไปทันที หานลี่เข้าสู่ห้องที่อยู่ด้านข้าง เดินลงไปใต้ดินตามขั้นบันไดที่เปิดอยู่

หลังจากนั้น ใบหน้าของหานลี่ก็ปรากฏความประหลาดใจออกมา

ทั้งห้องใต้ดินนั้นล้วนใช้บันไดศิลาอันเดียวกัน แบ่งออกเป็นถึงห้าหกชั้นด้วยกัน ทุกชั้นนั้นต่างก็มีลักษณะของสวรรค์และโลก หรือแม้กระทั่งสามารถมองเห็นผู้บำเพ็ญเพียรปีศาจทั้งหญิงชายหลายคนกำลังดำเนินไปมาอยู่ในนั้น

มิน่าเล่าถึงแห่งนี้จึงใช้คำว่า “หอ” ที่แท้ก็เอาตึกรามกว่าครึ่งมาสร้างไว้ใต้ดินแห่งนี้นี่เอง

เห็นเช่นหานลี่ส่งเสียงว่า “จุ๊ๆ” ออกมา เขาถูกเด็กสาวนำไปห้องโถงกลางห้องหนึ่งที่อยู่ชั้นล่างสุด

ณ ที่แห่งนี้ เด็กสาวที่งดงามในอาภรณ์สีขาวกำลังยกยิ้มและรอคอยอยู่ที่แห่งนั้น

หานลี่เพ่งจ้องไปยังใบหน้าที่คุ้นเคยอย่างแปลกประหลาดของหญิงผู้นั้น ก็รู้สึกว่าเกิดเสียงดัง “ปัง” ขึ้นในศีรษะ

“หวั่นเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าจึงอยู่ที่นี่”

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท