นายน้อย!เชื่อที่ผมบอกเถอะครับ! เป็นชายชราที่พูดขึ้น
ท่านผู้อาวุโสท่านยังเห็นท่านนายน้อยอยู่ในสายตารึเปล่า? เด็กหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ท่าทางเป็นคนหัวรุนแรง นายน้อยแค่ถามว่ามันต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนเท่านั้นเอง ทั้งสามคนนั้นเป็นพระเจ้าหรือไง ทำไมถึงห้ามแตะต้องหรือแม้แต่พูดถึงก็ไม่ได้? อีกอย่างพวกเราต้องการกลับบ้านของพวกเราให้เร็วที่สุด จะให้มานั่งรอใครแบบนี้ได้ยังไง? แล้วอย่างที่ท่านนายน้อยพูด…ทำไมเราจะไปพูดคุยกับทั้งสามคนนั้นไม่ได้เลย?
คำพูดและท่าทางที่ดูน่าเชื่อถือของเด็กหนุ่มได้ชักจูงคนอื่นๆให้คล้อยตามจนเกิดเสียงโวยวายเห็นด้วยดังตามมาไม่หยุด
ใช่แล้ว!อย่าหาว่ารังแกคนแก่เลยนะ แต่ท่านผู้อาวุโส การกระทำของท่านมันน่าละอายแค่เพราะสามคนนั้นเป็นคนนำทางให้เราแล้วเราต้องทำตัวหงอ เชื่อฟังทุกอย่างเหมือนเป็นใบ้เลยรึไง?
คำพูดและการกระทำของสามคนนั้นคือเด็ดขาดทุกอย่างต้องการจะเดินเมื่อไหร่ ต้องการจะหยุดเมื่อไหร่ ทุกอย่างเป็นการตัดสินใจของสามคนนั้นทั้งหมดตลอดหลายวันที่ผ่านมา แค่จะไปพูดคุยด้วยนิดหน่อยแค่นี้มันจะไม่ได้เลยเหรอไง?
แบบนี้มันช่วยพวกเรายังไง?
แถมมันก็ใกล้ถึงจุดหมายของพวกเราแล้วพวกเราแค่ต้องการจะเข้าไปแสดงความขอบคุณอย่างซาบซึ้งแก่ผู้แข็งแกร่งทั้งสาม ทำไมท่านผู้อาวุโสต้องมากันท่า ถ้าหัวหน้าหมู่บ้านยังมีชีวิตอยู่ละก็…
เงียบซะ! ในตอนนั้นเอง นายน้อยของทุกคนก็ตะคอกขึ้นมาเสียงดังด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ห้ามพูดถึงการตายของท่านพ่ออีก!
บรรยากาศเงียบสนิทไม่มีกล้าพูดทั้งนั้น ชายชราส่ายหัวหน้าอย่างหมดหนทาง นายน้อย ท่านใจร้อนเกินไป แล้วลักษณะนิสัยแบบนี้จะนำพวกเราทั้งหมู่บ้านให้อยู่รอดได้อย่างไร?
นายน้อยไม่พูดอะไรตอบแต่เหลือบสายตามองไปทางซูเฟิงและฟานเจี้ยนที่อยู่ห่างออกไปก่อนจะลดน้ำเสียงลงในที่สุด กระซิบพูดกับชายชรา ถ้าเช่นนั้น ท่านผู้อาวุโสคิดว่าทั้งสามคนนั้นอาจจะมุ่งร้ายต่อเรา?
ชายชราเงียบกริบไปพักหนึ่งก่อนแววตาจะมีประกายจ้า นายน้อยเห็นคนที่ถือหอมด้ามยาวสีทองอยู่ในมือมั้ยครับ?
นายน้อยมองไปที่ซูเฟิงและพยักหน้ารับ
อาวุธของเขาไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากโลกมนุษย์ ชายชราพูดเพียงแค่นั้นและไม่พูดอะไรต่ออีก
นายน้อยชำเลืองมองซูเฟิงด้วยสายตาเหลือเชื่อจากนั้นมันก็มีความรู้สึกตื่นเต้นเกิดขึ้นในใจ มันดูน่าสนใจดี หลังจากผ่านไปพักใหญ่แววตาตื่นเต้นของนายน้อยก็สงบลง เหลือเพียงแต่ความนิ่งงันเหมือนก่อนหน้านี้และไม่พูดอะไรออกมาอีก ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
ความชุลมันในครั้งนี้เกิดขึ้นในพื้นที่เล็กของกลุ่มคนป่าทุกอย่างรวมถึงบทสนทนาทั้งหมดนั้นอยู่ภายในวงล้อมของคนร้อยกว่าคนโดยที่ทุกคนเชื่อว่าทั้งสามคนที่อยู่ห่างออกไปจะไม่มีทางได้ยินและรับรู้อะไรทั้งนั้น
ได้ยินมั้ย? ซูเฟิงมีสีหน้าแปลกๆ นายน้อย? ท่านผู้อาวุโส?
ฉันได้ยินคำพวกนี้แต่ไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไรกัน ได้ยินแค่สองคำนี้ ฟานเจี้ยนไม่คิดว่าเหตุการณ์จะกลายออกมาเป็นแบบนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะทำการคาดเดา หรือพวกเขาเป็นชนกลุ่มน้อย?
อาจจะพวกเขาไม่ได้พูดอะไรมากแถมพวกเราก็อยู่ห่างไกลมาก ฉันได้ยินไม่ชัด แต่จากที่ฟังๆดูพอจะเดาได้ว่ามันไม่ได้มีแผนการร้ายอะไร ซูเฟิงเองก็ไม่แน่ใจ แต่ฉันเคยได้ยินมาว่าพวกชนกลุ่มน้อยบางกลุ่มยังคงสืบทอดประเพณียาวนานหลายพันปีและบางชนกลุ่มก็มีเจ้าชายที่สืบทอดทางสายเลือด
ฉันก็กลัวว่าตัวเองจะหูแว่วไปเอง ฟานเจี้ยนตะลึง ตบหน้าอกตัวเองเพื่อเรียกสติ
ชูฮันค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อยกับนิสัยใจคอของกลุ่มคนด้านหลังบทสนทนาที่ได้ยินมันแปลกประหลาดอย่างมากและเขาอดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดอยู่ในหัว…มีใครในโลกนี้อีกที่มีบรรดาศักดิ์การเรียกชื่ออย่างนายน้อยและท่านผู้อาวุโส?
จริงสิหัวหน้า จู่ๆซูเฟิงก็ตะโกนเรียกชูฮัน ผมยังไม่ได้ถามเลยว่าพวกเรากำลังไปไหนกัน?
ฟานเจี้ยนเองก็อยากรู้บนเส้นทางนี้พวกเขาต้องรีบตัดไม้เลื้อยที่กีดขวางตลอดทางจนเหนื่อยล้า พวกเขามุ่งหน้าไปเรื่อยๆแบบนี้มาเป็นเวลาหลายวันแล้วแต่ยังไม่รู้เลยว่าจุดหมายปลายทางที่ชูฮันต้องการไปคือที่ไหน!
ท่าเรือหนานช้านายรู้จักที่นั่นมั้ย? ซูเฟิงและฟานเจี้ยนต่างส่ายหัวปฏิเสธ
สถานที่นี่ไม่อยู่ในแผนที่ ชูฮันพูดพร้อมนิ่วหน้า ฉันรู้แค่ว่าต้องมองหามันจากชายฝั่งทะเล
ท่าเรือหนานช้าถูกค้นพบในชาติที่แล้วของโลกาวินาศมันมีถนนสายสั้นๆที่จะพาไปยังหุบเขาหยินหยาง ทุกอย่างลึกลับราวกับเวทมนต์
เมื่อชาติที่แล้วชูฮันเคยไปเยือนท่าเรือหนานช้าเพียงแค่ครั้งเดียวทว่าความทรงจำมันช่างเลือนลางเหลือเกินเพราะในเวลานั้นเขาถูกกลุ่มคนกำลังไล่ล่าเอาชีวิตอยู่จนได้เผลอค้นพบเส้นทางสู่หุบเขาหยินหยางโดยไม่ได้ตั้งใจ
และสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็สามารถเรียกได้ว่าเวทมนต์…
แต่ตอนนี้ตำแหน่งของท่าเรือหนานช้ามันเปลี่ยนไปจากชาติที่แล้วอีกทั้งช่วงเวลาของโลกาวินาศในชาตินี้กับชาติที่แล้วมีช่วงเวลาแตกต่างกันสามปี ถึงแม้จะเป็นสถานที่เดิมแต่ทุกอย่างก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย
ด้วยความไม่แน่นอนทั้งหมดชูฮันค่อยๆละทิ้งความสนใจจากการโต้เถียงของกลุ่มคนด้านหลังออกไป เขาเองก็มีความคิดคล้ายๆกับซูเฟิงและฟานเจี้ยน ดั้งเดิมจีนมีชนกลุ่มน้อยอยู่จำนวนมากและหลายประเภท บางกลุ่มก็ไม่เคยได้ยินชื่อและมีประเพณีประหลาดๆเป็นของตัวเอง
บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าวิถีชีวิตที่แตกต่างไปทำให้คนพวกนี้สามารถหลีกเลี่ยงคลื่นซอมบี้ระลอกแรกหลังจากการปะทุได้!
ถัดมาหลังจากนั้นอีกสองสามวันสถานการณ์ยังคงเงียบสงบอยู่ ยกเว้นแค่เมื่อคืนที่จู่ๆก็มีพายุเข้าอย่างรุนแรงทว่ามันก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น กลุ่มของชูฮันและคนป่าก็เริ่มเดินทางเข้าใกล้ชายฝั่งทะเลมากขึ้นเรื่อยๆ
และในตอนที่ทุกคนเดินเข้าสู่เขตพื้นที่ป่าบริสุทธิ์ต้นไม้พืชพันธุ์ทั้งหลายที่เปลี่ยนไปเนื่องจากสภาพอากาศทำให้มันกลายเป็นป่ารกทึบหนาที่ยากต่อการเดินทางกว่าเดิมราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด
แต่แล้วในที่สุดหลังจากทุกคนสามารถผ่านป่าทึบหนาออกมาได้มันก็เริ่มมีกระท่อมเล็กๆไม่กี่หลังให้เห็นในระยะสายตา ดูเหมือนกับหมู่บ้านที่อยู่เรียบชายฝั่งทะเลในยุคศิวิไลซ์
นี่คือหมู่บ้านข้างๆพวกเรา ชายชราที่ไม่รู้โผล่มาตอนไหน ยืนพูดอยู่ข้างๆชูฮัน ตอนที่พวกเราจากมา ไม่มีใครหลงเหลืออยู่ในหมู่บ้านนี้แล้ว ทุกคนกลายเป็นซอมบี้กันหมด ถ้าเราต้องเดินผ่านหมู่บ้านนี้จะต้องระวังตัวกันให้ดี!
ชูฮันสบตากับชายชรา หมู่บ้านของคุณอยู่ไกลจากที่นี้มั้ย?
ผมคิดว่าต้องใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งวันเต็มครับท่าน ชายชราตอบอย่างระมัดระวังในคำพูด แล้วท่านผู้แข็งแกร่งทั้งสามจะมุ่งหน้าไปไหนกัน? หรือพวกท่านสนใจจะเดินทางไปด้วยกันกับเรา? นี่มันไม่ต่างจากการคิดจะใช้พวกชูฮันเป็นคนคอยคุ้มกันให้เลย!
ได้ ชูฮันตอบตกลง ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาใกล้สถานที่ของท่าเรือหนานช้าแล้วหรือยัง อีกอย่างในเมื่อคนพวกนี้อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้มาหลายชั่วอายุ ดังนั้นพวกเขาอาจจะพอรู้เรื่องท่าเรือหนานช้าบ้างไม่มากก็น้อย