คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์) – ตอนที่ 1888 รบกับมารทั้งสามอย่างดุเดือด (ตอนกลาง)

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

ยามนี้แววตางดงามภายใต้หน้ากากของเซียนหยินกวงพลันเผยแววเจ็บปวดออกมา ฉับพลันนั้นพลันอ้าปากออกพ่นกระบี่เล่มเล็กสีเงินออกมา

กระบี่บินเล่มนี้แค่พลิ้วไหวกลายเป็นลำแสงสีเงินวนล้อมรอบหัวไหล่ของนาง คาดไม่ถึงว่าจะกดแขนที่เพิ่งขาดไปเอาไว้ แต่บาดแผลกลับไม่มีโลหิตไหลออกมา

ชั่วพริบตาที่แขนเรียวของนางหลุดออกจากร่าง ก็ส่งเสียง “พรึ่บ” ถูกเปลวเพลิงสีโลหิตห่อหุ้มเอาไว้ แล้วแผดเผาหายวับไปอย่างรวดเร็ว

“เปลวมารกร่อนโลหิต เป็นเปลวมารพิษดังคาด! พี่หานระวังด้วย นี่คือหนึ่งในเปลวสี่เปลวมารที่ยิ่งใหญ่ของเผ่ามาร หากแปดเปื้อน นอกเสียจากจะเป็นสมบัติวิเศษที่ใช้ป้องกันตัวในตำนาน ก็ไม่อาจกำจัดได้” เซียนหยินกวงเอ่ยเตือนหานลี่เสียงดังด้วยอารามตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว

จากนั้นหญิงสาวผู้นี้ก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ในมือเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ กลิ่นหอมของยาลูกกลอนสีขาวโชยเข้าจมูก เงยหน้าขึ้นแล้วกลืนลงท้องไป

พริบตานั้นหลังจากที่แขนที่ขาดมีลำแสงสีเขียวหมุนวนล้อมรอบ แขนสีขาวเนียนข้างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง คาดไม่ถึงว่าจะเหมือนกับก่อนหน้าไม่มีผิดเพี้ยน

แต่ใบหน้างดงามภายใต้หน้ากากของเซียนหยินกวงกลับขาวซีด เห็นได้ชัดว่าการสำแดงเคล็ดวิชาสร้างร่างใหม่ต้องเสียค่าตอบแทนไม่น้อย

“เปลวมารกร่อนโลหิต! คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสิ่งนี้ ดูแล้วผู้แซ่หานคงดูถูกนายท่านเกินไป ทว่าก็ดีนั่นหมายความว่าในบรรดาท่านของเผ่ามาร เกรงว่าท่านคงจะมีตำแหน่งไม่ธรรมดา จึงต้องสังหารให้ได้” แววตาของหานลี่ในยามนี้กวาดไปทางแขนที่งอกขึ้นใหม่ของเซียนหยินกวงแวบหนึ่ง แล้วมองมารสามเศียรหกกรตรงข้ามที่ตัวใหญ่ยักษ์ดุจภูเขาขนาดย่อม แววตาฉายจิตสังหารออกมา

“อยากสังหารข้า ก็แล้วแต่พวกเจ้า!” ชายชราเขาเดียวที่กลายร่างเป็นมารเบิกตาทั้งหกขึ้นพร้อมกัน ปากทั้งสามอ้าออกพ่นเสียงหัวเราะเยาะดูแคลนออกมา จากนั้นแขนสองข้างก็โบกกระบองยักษ์สีดำในมือ ชั่วขณะนั้นกลางอากาศพลันเกิดเสียงดังสนั่นอย่างต่อเนื่อง จากนั้นเงากระบองยักษ์ก็ดูราวกับยอดเขา ม้วนมาทางหานลี่และเซียนหยินกวงสองคน

เงากระบองนี้ยังไม่ทันได้เข้ามาใกล้ พลังแรงกดที่ไม่อาจหายใจได้ก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศพร้อมกับบิดเบี้ยวไปมา ราวกับว่ามีอานุภาพแยกฟ้าดินก็ไม่ปาน

“หึ ดูแล้วนายท่านคงเชื่อมั่นว่าตนมีพลังมหาศาลจริงๆ”

หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้นไม่เพียงจะไม่ตกตะลึง รูม่านตาพลันหดเล็กลง จากนั้นสองมือพลันร่ายอาคมผิวเปล่งแสงสีทองเจิดจ้าร่างกายขยายใหญ่ขึ้น

แค่สองชั่วลมหายใจ คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นวานรยักษ์ตัวสูงใหญ่ขนสีทองมีเขี้ยวงอกออกมาจากปาก

จากนั้นมือก็ตะปบไปกลางอากาศ ยอดเขาสีดำและยอดเขาสีเขียวปรากฏขึ้นบนมือของเขา สองแขนออกแรงชูขึ้นกลางอากาศ ยอดเขาสองลูกขยายใหญ่ขึ้นพร้อมกัน กลายเป็นยอดเขาสูงสองสามร้อยจั้ง ต้านทานเงากระบองทั่วทั้งท้องฟ้าไว้ด้านนอก

ท่านลี่ผู้นั้นกลายเป็นมารที่มีพลังมหาศาลจนทำให้ผู้คนตกใจจนตาค้าง เงากระบองเหล่านั้นรุนแรงมาก แต่เมื่อโจมตีไปบนยอดเขาสองลูก ก็แค่ระเบิดลำแสงเจิดจ้าออกมาและเสียงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นออกมา

จากนั้นกระบองลำแสงทั่วทั้งท้องฟ้าก็หม่นแสงลง ยอดเขาสองลูกนอกจากจะมีรอยบุ๋มลึกแล้ว ก็ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ อีก

ชายชราเขาเดียวเห็นสถานการณ์เช่นนั้น หัวทั้งสามก็เผยสีหน้าตกตะลึง เผยแววตาไม่อยากจะเชื่อออกมา

“เป็นไปไม่ได้! ข้าฝึกฝนเคล็ดวิชามารพลังมังกรสำเร็จแล้ว มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์จะมีพลังมากกว่าข้าได้อย่างไร เอ๋ เจ้ากลายร่างเป็น…” ชายชราเขาเดียวพลันร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง แต่เมื่อใช้สายตาพิจารณาหานลี่ที่กลายเป็นวานรยักษ์อย่างละเอียด กลับเผยสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยออกมา

“หึๆ นั่นเพราะนายท่านมีความรู้น้อยจึงต้องแปลกใจแล้ว คงต้องเสียมารยาทแล้ว จากนี้นายท่านก็รับการโจมตีของข้าน้อยเป็นอย่างไร” วารียักษ์สีทองพ่นคำพูดของมนุษย์พร้อมกับหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา ประกบภูเขาสองลูกเข้าด้วยกัน แขนทั้งสองออกแรงโยนไปข้างหน้า

หลังจากเสียงระเบิด “ตึงๆ” ดังขึ้น ยอดเขาสองลูกก็พุ่งออกไปพร้อมกับลำแสงสีขาวสองสาย

ชายชราเขาเดียวที่กลายร่างเป็นมารยังอยู่ห่างออกไปยี่สิบสามสิบจั้ง พลังมหาศาลไร้รูปร่างกลายเป็นพายุอัปลักษณ์ห่อหุ้มเอาไว้

ทุกแห่งที่กวาดไป อากาศราวกับแตกเป็นเสี่ยงๆ

ชายชราเขาเดียวเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็พลันตกตะลึง แต่ในใจกลับรู้สึกไม่ยินยอม เศียรทั้งสามร้องตะโกนออกมาพร้อมกัน โบกสะบัดกระบองยักษ์สีดำในมือ

ชั่วพริบตากระบองยักษ์ก็ปะทะกับภูเขาสองลูก

เสียง “ปัง” ดังสะเทือนเลื่อนลั่น!

มารสามเศียรหกกรรู้สึกเพียงว่าแขนทั้งสองข้างปวดชา กระบองยักษ์ในมือกระเด็นหลุดมือไป ในเวลาเดียวกันก็มีพลังมหาศาลมาปะทะร่าง อดที่จะอ้าปากพ่นโลหิตสีดำออกมาไม่ได้ ในเวลาเดียวกันร่างกายก็สั่นเทาพลางกระเด็นลอยไป

ยอดเขาทั้งสองกลับแค่ชะงักไปกลางอากาศเล็กน้อย แล้วร่อนลงมาอีกครั้งอย่างแรงอีกครั้งโดยไม่ได้รับความเสียหายอันใด

มองเห็นว่าแค่กดลงมาก็ทับมารตนนั้นจนกลายเป็นน้ำจิ้มเนื้อ ชายชราเขาเดียวโกรธเกรี้ยว แต่แขนทั้งหกกลับหลุดออกมาพร้อมกัน กลายเป็นหมอกสีโลหิตห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้

เสียง “ปัง” ดังขึ้น ยอดเขายักษ์สองลูกทุบลงมาในหมอกโลหิต แต่ด้านในกลับว่างเปล่า ชายชราเขาเดียวพลันสำแดงเคล็ดวิชาลับอันใดออกมาก็มิอาจรู้ แล้วหลีกหนีออกไปจากที่เดิม

หานลี่ที่กลายเป็นวานรยักษ์พลันตกตะลึง ทันใดนั้นก็เบะปากเผยสีหน้าโกรธเกรี้ยวออกมา สองมือตบไปที่ทรวงอกอย่างรุนแรง หว่างคิ้วแยกออก ดวงตาสีดำสนิทดวงหนึ่งปรากฏขึ้น

ส่วนลึกของนัยน์ตามีลำแสงสีดำหมุนวน เสาลำแสงสีดำขนาดเท่าปากชามพ่นออกมา เปล่งแสงสว่างวาบก็จมหายไปกลางอากาศตรงหน้าอย่างไร้ร่องรอย

ครู่ต่อมาห่างออกไปสองสามร้อยจั้งก็มีเสียงระเบิดสะเทือนเลื่อนลั่นดังขึ้น

จากนั้นท่ามกลางเสียงคำรามต่ำๆ ร่างยักษ์ที่อยู่ในระลอกคลื่นก็ซวนเซออกมา

หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็ชี้ไปที่ยอดเขาสองลูกที่อยู่ไกลออกไปอย่างไม่ลังเลใดๆ

ชั่วขณะนั้นยอดเขาทั้งสองพลันสั่นเทา ผิวมีอักขระสีเงินสว่างวาบ หมอกลำแสงสีเทาม้วนวน ลำแสงสีเขียวอีกสีปล่อยไอกระบี่ไร้รูปร่างจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา

ทั้งสองตัดสลับกันไปมา ท้องฟ้าและผืนดินแทบจะเปลี่ยนสีไป!

ชายชราเขาเดียวเห็นสถานการณ์เช่นนี้ พลันหน้าซีดขาว จากนั้นสองเท้าก็เหยียบไปกลางอากาศอย่างแรง คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเป็นเสียงดัง “ปังๆ” แล้วกลายเป็นหมอกโลหิตสองกลุ่มระเบิดออก คาดไม่ถึงว่าจะเผยขากระดูกสีเงินอ่อนออกมา

ขากระดูกคู่นี้ไม่เพียงจะมีลำแสงสีเงินสว่างวาบ ตรงฝ่าเท้ายังมียันต์สีโลหิตแปะอยู่คู่หนึ่ง

เศียรทั้งสามของท่านลี่บริกรรมคาถาประหลาดๆ ออกมา

ยันต์สีโลหิตทั้งสองส่งเสียง “ครืด” แล้วแผดเผาโดยในทันที อักขระสีโลหิตขนาดใหญ่สิบกว่าตัวเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วจมหายเข้าไปในขากระดูก ลึกลงไปสองสามชุ่น ราวกับสลักลงไปก็ไม่ปาน

ขากระดูกสีเงินคู่นี้เปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นกรงล้อบินสีเงินคู่หนึ่ง แล้วหมุนวนแผดเผาผิวของเปลวเพลิงมารสีโลหิต

ส่วนกรงล้อบินนั้นเมื่อถูกเปลวเพลิงมารกระตุ้น ก็เคลื่อนไหวไปมาอย่างบ้าคลั่ง หลังจากเสียง “สวบ” ดังขึ้น ก็กลายเป็นสายรุ้งสีโลหิตยาวร้อยจั้งพุ่งออกไปยังจุดที่ไกลออกไป

ความเร็วของมันราวกับสายฟ้า ชั่วพริบตาก็อยู่ห่างออกไปพันจั้งเศษ!

มารเฒ่าผู้นี้เห็นว่าไม่อาจต้านทานหานลี่ได้ คาดไม่ถึงว่าจะหันหัวกลับอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

หานลี่ย่อมตกตะลึง จากนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย!

ก่อนหน้านี้มารตนนี้มีท่าทีไม่ยอมเลิกรา แม้กระทั่งร่างจริงของมารโบราณก็ยังแปลงออกมาแล้ว แต่ยามนี้แค่เสียเปรียบเล็กน้อย ก็จะจากไปทันที มันอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาไปหน่อย

หานลี่ที่กลายเป็นวานรยักษ์กดท่านลี่ได้ภายในไม่กี่ลมหายใจ เซียนหยินกวงที่อยู่ด้านข้างก็ถือโอกาสนี้ควบคุมพลังปราณในร่าง ทำให้สีหน้าดีขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อเห็นเช่นนั้นก็ดีใจ แล้วร้องตะโกนด้วยเสียงอันดัง

“พี่หาน อย่าปล่อยมารตนนั้นไป หากมันไปตามเผ่ามารตนอื่นมา พวกเราจะยุ่งยากใหญ่”

สิ้นเสียงเซียนหยินกวงผู้นี้พลันชี้ไปที่ตะขอสีเงินคู่นั้น เก็บมันเข้ามาในแขนเสื้อ จากนั้นก็ชูมือหนึ่งขึ้น แล้วปล่อยกระสวยบินสีเขียวมรกตออกมา เอวบางบิดเบี้ยว เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปข้างใน

เสียงอึกทึกดังขึ้น!

กระสวยนี้กลายเป็นลำแสงสีเขียวมรกตไล่ตามมาติดๆ ความเร็วไม่ต่างจากสายรุ้งสีโลหิตด้านหน้าเท่าใดนัก

“กระสวยมรกตสวรรค์ คาดไม่ถึงว่าสมบัติหมื่นวิญญาณหุ้นตุ้นชิ้นนี้จะตกอยู่ในมือนาง คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ทว่าหากปล่อยมารเฒ่าตนนี้ไป จะยอมให้ได้เปรียบเช่นนั้นได้อย่างไร!” หานลี่กวาดสายตาไปที่กระสวยมรกตแวบหนึ่ง เอ่ยพึมพำด้วยความตกตะลึง จากนั้นก็หัวเราะอย่างเย็นชา

จากนั้นสองมือของเขาก็ร่ายอาคม กลายเป็นวานรยักษ์และถูกลำแสงสีเงินห่อหุ้มเอาไว้ พลางหมุนวนลงไปใต้ดิน หลังจากเสียงไพเราะดังขึ้น วิหคยักษ์สีเงินความยาวร้อยจั้งปรากฏขึ้นกลางอากาศ

นี่ยังไม่พอ วิหคยักษ์ตัวนี้ชูคอขึ้นกระพือปีกทั้งสองข้าง เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีเงินดีดออกมาจากเรือนร่าง คาดไม่ถึงว่าจะมีปีกแวววาวอีกคู่หนึ่งปรากฏขึ้นที่แผ่นหลัง

นั่นก็คือปีกวายุอัสนี!

เช่นนั้นคาดไม่ถึงว่าวิหคยักษ์จะมีปีกยักษ์สี่ปีก

ผสานเข้ากับร่างของวิหคสวรรค์และปีกวายุอัสนี นี่คือสุดยอดเคล็ดวิชาหลีกหนีที่หานลี่ขบคิดมาสองร้อยถึงสามร้อยปี

ยามนี้ปีกทั้งสี่ของวิหคสีเงินพลันกระพือพร้อมกัน กลายเป็นสายฟ้าสายหนึ่งหายวับไปจากที่เดิม ทำได้เพียงได้ยินเสียงของอัสนีฟาดฟ้าดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และดังไกลขึ้นเรื่อยๆ

และในยามนี้ชายชราเขาเดียวก็กลายเป็นสายรุ้งสีโลหิต อยู่ห่างออกไปยี่สิบสามสิบลี้

มารตนนี้กระตุ้นกรงล้อสีเงินใต้ฝ่าเท้าที่พุ่งไปไม่หยุดไปพลาง สายตามองไปทางซ้ายทีขวาทีไปพลาง ใบหน้าเผยสีหน้าร้อนใจออกมา

ก่อนหน้าที่เขาไล่ตามหานลี่และพวกทั้งสอง ก็ได้ติดต่อกับสหายร่วมวิถีทั้งสองครั้งหนึ่ง เผ่ามารสองตนนั้นเป็นท่านเผ่ามารเช่นกัน น่าจะอยู่ห่างจากเขาไม่มากนัก

ดังนั้นเมื่อครู่เขาจึงได้ยอมสู้กับสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์สองตน

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าสตรีผู้บำเพ็ญเพียรผู้นั้นก็ช่างเถิด บุรุษผู้บำเพ็ญเพียรที่สังหารหลานรักของเขาผู้นั้นกลับมีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกรกว่าที่เขาคิดเอาไว้ คาดไม่ถึงว่าจะทำให้เสียเปรียบไม่น้อย

ทว่าไม่เป็นไร เมื่อครู่เขาไม่ได้ใช้กระบวนท่าไม้ตายของตนเอง รอให้ตนไปรวมตัวกันสหายร่วมวิถีอีกสองตนก่อน ค่อยทำการโจมตี คิดดูแล้วก็ยังคงมีโอกาสสังหารมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์สองคนได้

ชายชราเขาเดียวขบคิดในใจ แล้วฝืนระงับความโกรธเกรี้ยวเอาไว้ ในเวลาเดียวกันก็บริกรรมคาถาอย่างไร้สุ้มเสียง

ชั่วขณะนั้นบาดแผลตรงหัวไหล ก็ทยอยกันมีหมอกโลหิตทะลักออกมา ในเวลาเดียวกันกายเนื้อก็ขยับไปมาไม่หยุด ชั่วครู่แขนทั้งหกที่หลุดออกก็กลับคืนสู่สภาพเดิมอีกครั้ง

และในยามนี้เองฉับพลันนั้นข้างหูของเขาก็มีเสียงบุรุษดังขึ้น

“พี่ลี่ เหตุใดถึงจนตรอกเช่นนี้ มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรสองคนจัดการยากขนาดนั้นเลยหรือ? ทว่าไม่ต้องกังวล เราสองคนวางเขตอาคมมารชั่วคราวเอาไว้แล้ว เจ้าล่อเขาสองคนมาที่นี่ เราสามคนค่อยลงมือพร้อมกัน ต้องสังหารสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์สองคนให้ได้!”

คำนี้เย็นชาเป็นอย่างยิ่ง นั่นก็คือเสียงของเผ่ามารหัวโล้นผู้นั้น!

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท