คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์) – ตอนที่ 1930 เหนือชั้น

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

เจ้าสิ่งนั้นเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นม้วนภาพวาดที่ดูธรรมดาๆ

ม้วนคัมภีร์บินออกมาอยู่เหนือดวงแสงสีเขียว แล้วคลี่ออกอย่างช้าๆ ภาพวาดที่สลักไปด้วยกระบี่บินสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนพลันปรากฏขึ้น

นั่นก็คือ ‘ภาพหมื่นกระบี่’ ที่หานลี่เพิ่งจะบวงสรวงเสร็จได้ไม่นาน

เมื่อภาพวาดนี้คลี่ออก จิตสังหารของกระบี่ก็พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า กระบี่ลำแสงสีทองเรืองรองม้วนวนออกมาจากภาพวาด

เมื่อลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบแล้วสลายหายไปอีกครั้ง ดวงแสงสีเขียวที่เดิมอยู่ด้านหน้าภาพกระบี่พลันสลายหายไป

คาดไม่ถึงว่ามันจะถูกภาพวาดหมื่นกระบี่ดูดเข้ามาในภาพ

ร่างวิญญาณผิวสีเขียวเผยรอยยิ้มออกมาบนใบหน้าที่แข็งทื่อ มือหนึ่งพลันร่ายอาคมกระตุ้น ภาพกระบี่สีทองประกบเข้าหากันอย่างช้าๆ แล้วกลายเป็นม้วนภาพวาดลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ

ในยามนั้นเองวานรยักษ์ขนสีทองพลันกวักมือใหญ่ไปกลางอากาศ

เสียงอึกทึกดังขึ้น!

กลางอากาศเหนือขึ้นไปสองสามพันจั้ง เงาลวงตาของวังและศาลาถูกพลังลึกลับกลุ่มหนึ่งต้านทานเอาไว้จนไม่อาจร่อนลงมาได้ ตรงส่วนล่างเปล่งแสงเจิดจ้านับหมื่นจั้ง ดูดม้วนภาพเข้าไปข้างใน

จากนั้นหมอกลำแสงหลากสีสันพลันหมุนวน รอบด้านของวังและศาลามีหมอกสีขาวปรากฏขึ้น กลืนกินสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดเอาไว้ข้างใน

ในเวลาเดียวกันยันต์เก้าวิมานสวรรค์กลายเป็นด้านในของพื้นที่

ภาพหมื่นกระบี่สั่นเทาอย่างรุนแรง หลังจากที่ลำแสงสีทองไหลวนโคจรก็เกิดเสียงอึกทึกดังขึ้นแล้วคลี่ออกช้าๆ

แต่ม้วนนี้แค่คลี่ออกได้ครึ่งหนึ่ง ฉับพลันนั้นเงาลวงตาหอคอยยักษ์เจ็ดสีก็ทะลักออกมาจากภาพวาด

จากนั้นเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นพลันดังขึ้น คาดไม่ถึงว่าม้วนภาพจะระเบิดออก ลำแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนบินออกมาจากรัศมีลำแสงที่ระเบิดออก

ดวงแสงเจ็ดสีดวงหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งปะปนเข้าไปข้างใน

นั่นก็คือหอคอยเล็กเจ็ดสี

ทว่าผิวของหอคอยพลันมองเห็นใบหน้าซีดขาวได้รางๆ นั่นก็คือชายหนุ่มที่คนผู้นั้นสิงอยู่

ดูจากใบหน้าซีดขาวของเขา สีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว เห็นได้ชัดว่าการกระตุ้นหอคอยเล็กเมื่อครู่ ทำให้เสียปราณแท้ไปไม่น้อย

แต่ไม่รอให้หอคอยเล็กเจ็ดสีสำแดงอิทธิฤทธิ์อันใดออกมา ลำแสงสีทองที่พุ่งออกมาท่ามกลางระเบิดพลันเปลี่ยนเป็นเจิดจ้าจนแสบตา

เสียงกรีดร้องแหลมสูงดังขึ้น กระบี่บินสีทองปรากฏขึ้นรอบๆ หอคอยเล็กเจ็ดสี ทุกเล่มพลันมีลำแสงสีทองสว่างวาบ ขนาดไม่แตกต่างกัน แต่จำนวนที่มากกว่า มองปราดเดียวก็มองไม่เห็นปลายทาง

พื้นที่ทั้งหมดกลายเป็นทะเลกระบี่เที่ยงแท้ สายตาที่กวาดผ่านไป กลับเปล่งแสงสีทองออกมา

ใบหน้าคนที่สิงอยู่ในหอคอยเจ็ดสีเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้

แต่ครู่ต่อมากระบี่บินทั้งหมดก็ส่งเสียงร้องแหลมสูงออกมา ปลายแหลมของกระบี่ขยับเล็กน้อย เตรียมจะชี้ไปที่หอคอยเล็กเจ็ดอย่างไม่มีผิดพลาด

“แย่แล้ว!”

ใบหน้าของชายหนุ่มบนหอคอยเล็ก มองเห็นกระบี่นับหมื่น แม้ว่าจะมีสีหน้าเย็นชา ก็หน้าเปลี่ยนสีไป

จากนั้นกระบี่บินสีทองรอบๆ หอคอยเล็กก็สั่นเทา กระบี่ลำแสงนับหมื่นสายพุ่งไปหาหอคอยเล็กพร้อมกันราวกับพายุฝนกระหน่ำ

แม้ว่ารัศมีลำแสงเจ็ดสีจะมีพลังป้องกันที่แข็งแกร่ง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับการสับลงมาอย่างบ้าคลั่งของกระบี่ลำแสงจำนวนมาก ยามนี้ก็เปล่งแสงสว่างวาบ ท่าทางไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน

แต่ร่างแยกลำแสงอัสนีที่รวมร่างกับหอคอยนี้ย่อมไม่อาจมองดูอยู่ข้างๆ ได้ ทว่าภายใต้การโจมตีที่บ้าคลั่ง ก็ไม่ทันได้สำแดงอิทธิฤทธิ์ใดๆ ออกมา

เขาทำได้เพียงร้องตะโกนต่ำๆ ออกมาอย่างจนปัญญา พลังวิญญาณมหาศาลทะลักออกมาจากหอคอยทันที พริบตานั้นรัศมีลำแสงเจ็ดสีก็กลับมาหนาแน่นดังเก่า และยิ่งไปกว่านั้นยังหมุนวนอย่างรวดเร็ว และทยอยกันดีดกระบี่ลำแสงส่วนหนึ่งออกมา

กระบี่ลำแสงสีทองที่พุ่งออกมารอบด้านมากเกินไป และยิ่งไปกว่านั้นยังมีท่าทีไม่อยู่ยงคงกระพัน

ร่างแยกของเซวี่ยกวงเพิ่งจะผ่อนลมหายใจอย่างช้าๆ ยามนี้กระบี่ลำแสงก็พัดระลอกคลื่นมา หลังจากสับลงมา รัศมีลำแสงเจ็ดสีก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งด้วยท่าทีไม่มั่นคง

ภายใต้ความจนปัญญา ร่างแยกจึงทำได้เพียงบรรจุพลังปราณในร่างเข้าไปในหอคอยอีกครั้ง เพิ่มความแข็งแกร่งของการป้องกันก่อนแล้วค่อยว่ากัน

ยามนี้หอคอยเจ็ดสีพลันถูกกักเอาไว้ที่เดิม ไม่อาจออกห่างได้

ในเวลาเดียวกันยันต์วิมานเก้าสวรรค์พลันห่อหุ้มอยู่ด้านนอก หานลี่ที่กลายเป็นวานรยักษ์สัมผัสได้ถึงสถานการณ์ด้านใน กลับอดที่จะยินดีไม่ได้

ทันใดนั้นพลันร้องตะโกนออกมา ร่างกายใหญ่ยักษ์ขยับ กระโจนไปหาแมลงกลืนทองที่กำลังพัวพันกับชายหนุ่มที่เป็นผู้นำซึ่งอยู่อีกด้าน

ร่างวิญญาณด้านล่างเปล่งแสงวิญญาณสว่างวาบ แล้วบินหนีไปเช่นกัน

แต่ครู่ต่อมาขอบฟ้าพลันมีเสียงแหวกอากาศดังขึ้น ลำแสงสีโลหิตปรากฏออกมา และพุ่งไปด้านนี้

ท่ามกลางลำแสงโลหิต เงาร่างคนปรากฏขึ้นรางๆ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงอีกร่างที่ก่อนหน้านี้ที่ไล่ตามหม้อคำพูดสีม่วงไป

ไม่รู้ว่าเขาได้หม้อสมบัติใบนั้นมาอีกครั้งหรือไม่ แต่เมื่อกะพริบวาบๆ ก็รวมร่างเข้ากับชายหนุ่มที่เป็นผู้นำอีกครั้ง

“ขวางเขาเอาไว้!” หานลี่เห็นสถานการณ์นี้ ก็ใช้จิตสัมผัสตะโกนไปทางร่างวิญญาณอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเขียวพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างวิญญาณเปลี่ยนทิศทาง ตรงไปหาชายหนุ่มที่บินเข้ามา

ชายหนุ่มผู้นั้นเห็นสถานการณ์เช่นนั้นแววตาพลันฉายแววเย็นชา นิ้วร่ายไปทางร่างวิญญาณเล็กน้อยโดยไม่ปริปาก

เสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น!

เส้นไหมโลหิตสิบเส้นเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว มันพลิ้วไหวแล้วกลายเป็นกระบี่ลำแสงสีโลหิตความหนาเท่าปากชาม สับลงมาที่ร่างวิญญาณอย่างรุนแรง

ในเวลาเดียวกันชายหนุ่มพลันอ้าปากออก พ่นเปลวเพลิงสีดำออกมา

แม้ว่าพลังปราณของร่างวิญญาณจะสู้ร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงไม่ได้ แต่ก็ไม่สำแดงความอ่อนแอออกมาสักนิด อ้าปากออกเช่นกัน เส้นไหมสีเขียวพุ่งออกมา ขยับข้อมืออีกครั้ง ไม้บรรทัดสั้นสีเงินปรากฏขึ้น พลิ้วไหวเล็กน้อย ไม้บรรทัดเงาปรากฏขึ้นทั่วท้องฟ้า และกลายเป็นคลื่นน้ำม้วนวนไปยังฝั่งตรงข้าม

ร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงในยามนั้นก็ถูกร่างวิญญาณพันรัดเอาไว้ที่เดิม ไม่อาจก้าวไปข้างหน้าได้แม้แต่ก้าวเดียว

ยามนี้หานลี่ที่กลายเป็นวานรยักษ์ เศียรทั้งสามบริกรรมคาถาพร้อมกัน กรทั้งหกโบกสะบัด อักขระสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นกลางอากาศ และลอยไปทางชายหนุ่มที่เป็นผู้นำซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก

อักขระสีเงินเหล่านี้แค่หมุนวนอยู่กลางอากาศ ก็กลายเป็นพลังมหาศาลที่น่ากลัว

เดิมชายหนุ่มที่เป็นผู้นำยังเห็นร่างแยกอีกร่างและหานลี่กำลังต่อสู้กัน แต่ยามนี้ลมพลันเปลี่ยนทิศแม้แต่หอคอยเล็กเจ็ดสีก็ถูกอีกฝ่ายดูดไป และถูกกักอยู่ในเขตอาคมยันต์ยักษ์ ก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้

ต้องเข้าใจว่าแม้ว่าครั้งนี้เป็นเพราะพวกเขาสามคนข้ามแดนลงมาจุติ พลังปราณจึงไม่อาจเทียบกับร่างเดิมได้ และยิ่งไปกว่านั้นสมบัติที่คล่องมือก็ไม่อาจพกมาได้ แต่ในสายตาของเขาทั้งสามคนร่วมมือกันและมีหอคอยหลากสีสันและหม้อคำพูดสีม่วงซึ่งเป็นสมบัติสวรรค์ทมิฬอยู่ในมือ ก็เพียงพอจะกวาดล้างสิ่งมีชีวิตระดับมหายานของแดนวิญญาณแล้ว

แต่คิดไม่ถึงว่าเป้าหมายหลักที่ลงมาจุติยังแดนวิญญาณในครั้งนี้จะรับมือได้ยากเช่นนี้ ประการแรกคือหม้อคำพูดสีม่วงสูญเสียการควบคุมอย่างแปลกประหลาด ต่อมาหอคอยหลากสีสันและร่างแยกก็ถูกอีกฝ่ายกดเอาไว้

หากไม่ใช่ว่าเขาสัมผัสได้ว่ายามนี้ร่างแยกยังคงปลอดภัย มีโอกาสจะดิ้นหลุดได้ ไม่แน่ว่าอาจจะหันหัวจากไปทันทีแล้วค่อยหาโอกาสเหมาะๆ อื่นแล้ว

แต่เช่นนี้ในใจก็ยังรู้สึกลังเลตามจิตสำนึก

ทว่ายามนี้หานลี่ที่กลายเป็นวานรยักษ์พลันลงมือโจมตีและเกิดจิตสังหารขึ้น ทันใดนั้นก็หัวเราะแปลกๆ ออกมา เงาภูตสีโลหิตทั้งแปดที่กำลังกัดทึ้งกับแมลงกลืนทองพลันเปล่งแสงสว่างวาบ หัวภูตสีเขียวทั้งแปดแผดเสียงร้องประหลาดๆ ออกมา พุ่งออกมาจากวงแหวนยักษ์ เปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะทยอยกันจมหายเข้าไปในร่างของชายหนุ่มที่เป็นผู้นำ

ครู่ต่อมาร่างแยกมารก็ใช้สองมือร่ายอาคม ร่างกายเปล่งแสงสีโลหิตสว่างวาบ ขยายใหญ่ขึ้นทันที คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นมนุษย์ยักษ์ที่ร่างกายไม่ต่างกับวานรยักษ์ขนสีทองเท่าใดนัก ในเวลาเดียวกันหัวไหล่ก็มีไอสีดำแปดกลุ่มทะลักออกมาจากไหล่ทั้งสอง จากนั้นหัวกะโหลกแยกเขี้ยวหน้าเขียวแปดหัวก็ปรากฏขึ้นเป็นสาย

ภูตทั้งแปดเผยสีหน้ายินดีโกรธเกรี้ยวโศกเศร้าต่างๆ ทั้งแปดชนิดที่ไม่เหมือนกันออกมา ประกอบใบหน้าเหี้ยมเกรียม เห็นได้ชัดว่าน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม

หัวมารของร่างแยกยักษ์ส่งเสียงร้องคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว แขนทั้งสองข้างร่ายรำดุจล้อรถ ชั่วขณะนั้นกรงเล็บเงาพลันโบยบินไปทั่วท้องฟ้า ในเวลาเดียวกันหัวทั้งแปดพลันอ้าปากออก คาดไม่ถึงว่าจะพ่นไอสีดำออกมา

ไอสีดำเหล่านี้รวมตัวกันที่ใจกลาง คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นบุปผายักษ์สีดำดอกหนึ่ง โจมตีไปที่พลังมหาศาลที่ทะลักออกมาจากกลางอากาศทันที

บุปผายักษ์สั่นเทาถูกพลังมหาศาลกดจนแหลกสลายออก แต่ก็ลดพลังไปกว่าครึ่ง

พลังมหาศาลที่เหลือถูกกรงเล็บเงาทั่วท้องฟ้าตะปบลงมา ทั้งสองพลันแหลกสลายหายไปกลุ่มควันในเวลาเดียวกัน

วานรยักษ์ขนสีทองเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ดวงตาทั้งหกพลันเปล่งประกาย ร้องตะโกนออกมา เสียงราวกับฟ้าผ่ากลางวันแสก ทำให้หัวมารอดที่จะสั่นเทิ้มไม่ได้

เบื้องหน้ามีลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ เงากระบี่ยาวสองสามฉื่อเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าหัวมารยักษ์

แม้ว่าหัวมารจะรู้สึกวิงเวียนตาลาย แต่ยังคงตกใจจนสะดุ้งโหยง มือยักษ์ข้างหนึ่งตะปบออกไปด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ

เสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น!

ชั่วพริบตาที่มือยักษ์ตะปบออกมา กระบี่เงาอ่อนๆ ก็เปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะหายวับไประหว่างนิ้ว ราวกับว่าเป็นแค่เงาลวงตาก็ไม่ปาน

หัวมารยักษ์เห็นสถานการณ์เช่นนี้พลันตกตะลึง ยังไม่ทันเข้าใจว่าอีกฝ่ายโจมตีเช่นนี้มีเจตนาใด ฉับพลันนั้นก็สัมผัสได้ว่าจิตสัมผัสเปล่งแสงสว่างวาบ กระบี่เงาที่สลายหายไปปรากฏขึ้น แล้วสับลงมาอย่างแรง

“อ๊าก”

หัวมารสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่ส่งมาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณราวกับร่างถูกฉีกขาด ไม่อาจทนได้อีก มือสองข้างกุมศีรษะ ปากก็ร้องอย่างน่าเวทนาออกมา!

นั่นก็คือคาถาท่องกระบี่ที่หานลี่เรียนรู้จากภาพวาดหมื่นกระบี่ และเป็นอิทธิฤทธิ์ชนิดหนึ่งที่ใช้ทำร้ายจิตสัมผัสโดยเฉพาะ

น่าเสียดายเคล็ดวิชานี้เกี่ยวข้องกับแดนเซียน จึงไม่อาจสำแดงออกมาได้ง่ายๆ หากฝืนใช้กลับจะถูกแว้งกัด หากไม่แปลงกลายเป็นวานรยักษ์ภูเขาและผสานกับร่างพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่กล้าเอาออกมาต้านทานกับศัตรู

แต่เช่นนี้เขาที่กลายเป็นวานรยักษ์สามเศียรหกกรก็แค่นเสียงอย่างกลัดกลุ้ม อักขระสีทองเงินหมุนวนทั่วผิวกาย ฉับพลันนั้นเส้นไหมสีโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมา ดูแล้วเหมือนจะจนตรอกกว่าหัวมารที่อยู่ตรงข้าม

ทว่าถึงอย่างไรเสียหานลี่ก็เตรียมตัวถูกแว้งกัดเอาไว้แล้ว แม้ว่าหัวทั้งสามจะเจ็บปวดยากจะรับไว้เช่นกัน แต่ภายใต้เสียงคำรามต่ำๆ ชั่วพริบตานั้นก็กระโจนออกมา

แค่กะพริบวาบ วานรยักษ์ก็อยู่ห่างออกไปสองสามร้อยจั้ง มาอยู่เหนือหัวมาร

กรทั้งหกของเขาเปล่งแสงสว่างวาบ ใบมีดยาวสีทองหกเล่มปรากฏขึ้น และสับลงมาที่หัวตรงกลางที่อยู่ด้านล่างอย่างแรง

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท