คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์) – ตอนที่ 1966 การปรึกษาในตำหนัก

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

หญิงสาวผมสีเงินสีหน้าเย็นชาผู้นั้นก็เดินเข้ามาในตำหนัก และทำเหมือนมองไม่เห็นสายตาประหลาดใจของคนอื่นๆ แล้วยืนอยู่ด้านหลังบรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวอย่างแช่มช้า

“สหายผู้นี้คือ…” ชายชราผมขาวกวาดจิตสัมผัสไป จากนั้นก็มองออกว่าหญิงสาวผมสีเงินคือผู้บำเพ็ญเพียรของเผ่าปีศาจ และยังมีพลังยุทธ์ระดับหลอมสุญตาขั้นปลาย จึงอดที่จะเอ่ยถามด้วยความฉงนไม่ได้

“นี่คือหลานสาวของตาเฒ่า หลิงหลง แม้ว่าทุกท่านจะไม่เคยเห็น แต่น่าจะเคยได้ยินมาบ้าง” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ

“อันใดนะ ที่แท้ก็เป็นเซียนหลิงหลง ช่างเสียมารยาทแล้วจริงๆ” ชายชราผมขาวมีสีหน้าประหลาดใจฉายแวบผ่าน แต่ก็เอ่ยอย่างมีมารยาท

สตรีผู้นี้ก็คืออิ๋นเย่ว์ที่จากกันกับหานลี่ที่แดนมนุษย์มาพันปีแล้ว

แน่นอนว่า ‘อิ๋นเย่ว์’ ในยามนี้ไม่เหมือนกับอิ๋นเย่ว์ในตอนนั้น แต่เมื่อผสานเศษเสี้ยวจิตวิญญาณ ก็กลายเป็น ‘อิ๋นเย่ว์’ ที่มีจิตวิญญาณดั้งเดิมครบถ้วนสมบูรณ์

หลังจากที่คนอื่นๆ รู้ฐานะของหญิงสาวผมสีเงินในตำหนักต่างก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา

ในฐานะที่มีตำแหน่งพิเศษในเกาะศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจ ย่อมสนใจเรื่องราวความลับต่างๆ ของเจ็ดราชาปีศาจของเผ่าปีศาจ

ในฐานะเซียนหลิงหลงที่เป็นพระชายาของราชาหมาป่าเทียนขุย เคยถูกผนึกอยู่ในแดนมนุษย์อยู่หลายปี และยิ่งไปกว่านั้นหลังจากกลับมาแดนวิญญาณก็ดูเหมือนว่าจะมีข่าวลือว่าไม่ค่อยลงรอยกับราชาหมาป่าเทียนขุย อาวุโสของเกาะศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ย่อมได้ยินมาบ้างไม่มากก็น้อย

ยามนี้ได้พบกับพระชายาของราชาหมาป่าในตำหนัก คนจำนวนไม่น้อยย่อมมีสีหน้าแปลกพิกล

อิ๋นเย่ว์แสร้งทำเป็นเหมือนมองไม่เห็น แค่ยืนอยู่ด้านหลังบรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยว ก้มหน้าเล็กน้อยไม่พูดไม่จา

“ท่านอาวุโสเอ๋าเสี้ยว เหตุใดท่านถึงมาเยือนเกาะศักดิ์สิทธิ์ ไม่ทราบว่าพลังปราณแท้ที่ท่านอาวุโสสูญเสียไประหว่างฟาดเคราะห์สวรรค์ฟื้นฟูแล้วหรือ” บุรุษขนนกก้มหน้าลงเล็กน้อยพลางเอ่ยถามบรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยว

“ตอนนั้นยามที่ข้าฟาดเคราะห์สวรรค์แม้ว่าจะสูญเสียพลังปราณแท้ไป แต่ผ่านกมารโคจรพลังปราณมาหลายปี ก็ไม่เป็นไรแล้ว มิเช่นนั้นตาเฒ่าคงไม่โผล่หน้ามา ส่วนเหตุใดถึงมาที่เกาะศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าย่อมเป็นเพราะสหายม่อเป็นผู้เรียนเชิญ” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ

“ท่านได้พบกับท่านอาวุโสม่อแล้ว! เยี่ยมไปเลย หลังจากที่เขาออกไปจากเกาะศักดิ์สิทธิ์ ก็ไร้ซึ่งข่าวคราวเหมือนดั่งท่านอาวุโส นี่ย่อมทำให้พวกเรากังวลใจมาก” บุรุษที่มีผิวพรรณขาวบริสุทธิ์ได้ยิน ก็เผยสีหน้าดีอกดีใจออกมา

“หึๆ เขาอายุมากกว่าตาเฒ่า จะกังวลใจอันใด เอาล่ะ ตาเฒ่าจะไม่พูดพล่ามไร้สาระแล้ว ครั้งนี้ข้าได้รับไหว้วานมาจากสหายม่อ ประการแรกเพื่อมาส่งต่อคำพูดแทนเขา ประการที่สองเพื่อมานั่งบัญชาการที่นี่สักระยะหนึ่ง” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวหัวเราะหึๆ ขณะเอ่ย

“พวกเราเงียบฟังคำสั่งของท่านอาวุโสทั้งสอง! ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสมีเรื่องอันใดอยากกำชับพวกเรา” บุรุษผิวสีขาวบริสุทธิ์ใจหายวาบ พลางเอ่ยถามอย่างนอบน้อม

“ช่วงนี้สหายม่อได้ข่าวมาว่าตำแหน่งของเกาะศักดิ์สิทธิ์ดูเหมือนจะถูกเผ่ามารพบแล้ว แม้ว่าจากพลังของเผ่ามารในยามนี้จะไม่มีกำลังมาโจมตีเกาะศักดิ์สิทธิ์ แต่เพื่อเป็นการป้องกัน ก็ต้องระวังให้มากหน่อย มิเช่นนั้นจากชื่อเสียงของเกาะศักดิ์สิทธิ์ของทั้งสองเผ่า หากเกิดเรื่องขึ้น ก็คงมีพลังการโจมตีพกวเราจนต้องย่อยยับ” ใบหน้าสดใสของบรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา

“ตำแหน่งของเกาะศักดิ์สิทธิ์ถูกแพร่งพรายไปแล้ว เป็นไปไม่ได้ ก่อนหน้านี้ไม่นาน เกาะศักดิ์สิทธิ์เพิ่งจะส่งตัวไป เปลี่ยนตำแหน่งซ่อนตัว ภายในระยะเวลาอันสั้นไม่อาจเคลื่อนย้ายได้อีก” ชั่วขณะนั้นคนจำนวนไม่น้อยพลันหน้าเปลี่ยนสี มีคนร้องอุทานเสียงหลงออกมา

“มีตาเฒ่าอยู่ที่นี่ พวกเจ้าจะกลัวอันใด ในเมื่อภายในระยะเวลาสั้นๆ ก็ถูกเผ่ามารทราบตำแหน่งแล้ว ดูแล้วในเกาะศักดิ์สิทธิ์น่าจะมีสายลับของเผ่ามารแฝงตัวอยู่ ทว่าเรื่องนี้น่าจะสืบหาได้ไม่ยาก แค่พุ่งเป้าไปที่กลุ่มคนที่เพิ่งเข้าออกเกาะศักดิ์สิทธิ์ช่วงนี้ ก็หาเจ้าจารชนได้แล้ว” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวมีสีหน้าเคร่งขรึม แล้วพลันเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน

“ขอรับ ชนรุ่นหลังจะส่งคนไปตรวจสอบทูตทุกคนที่เข้าออกเกาะศักดิ์สิทธิ์ช่วงนี้ทันที” ชายรชาผมขาวพลันตกตะลึง แล้วรีบลดมือลงพลางเอ่ยตอบรับ

คนอื่นๆ ย่อมใจหายวาบเช่นกัน

“สหายม่อให้ข้ามาส่งต่ออีกเรื่องหนึ่ง ก็คือต้องปรับปรุงขั้นตอนที่เตรียมรับมือกับเผ่ามารสักหน่อย” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวพยักหน้า หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย กลับเอ่ยสิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงออกมา

“เพราะเหตุใด! ขั้นตอนเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ท่านอาวุโสม่อและพวกเราศึกษากันอย่างหนักมาเป็นร้อยพันปี ถึงได้หาวิธีสังหารกองทัพเผ่ามารที่ทลายเขตแดนได้ ตามหลักการแล้วย่อมไม่มีปัญหาอันใด” ฮูหยินชราเอ่ยพึมพำ

“เรื่องนี้น่าจะเป็นเพราะสหายม่อได้พบกับสิ่งมีชีวิตระดับเดียวกันของเผ่าวิญญาณต่างๆ ถึงได้เปลี่ยนใจ คิดดูแล้วยามที่คบค้าสมาคมกับชนต่างเผ่าระดับมหายานถึงได้พบว่าสิ่งที่เตรียมเอาไว้นั้นไม่เพียงพอ ทว่าวางใจ ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงทั้งหมด ปรับปรุงแค่สองสามชนิดเท่านั้น อีกเดี๋ยวข้าจะหาเวลามอบหมายงานให้พวกเจ้าอีกครั้ง และบังเอิญว่าหนึ่งในนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ศิลาวิญญาณหวงเหลียนแล้ว สหายม่อจึงตัดสินใจใช้สมุนไพรฟ้าดินอีกชนิดแทน หากทำเช่นนี้ผลลัพธ์ที่เตรียมไว้ย่อมแข็งแกร่งกว่าเดิม และสิ่งที่มาแทนตาเฒ่าก็นำมาด้วยตัวเองแล้ว” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวเลิกคิ้ว พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ในมือมีกล่องหยกปรากฏขึ้น และสะบัดแขนเสื้อไปทางชายชราผมขาว

“นี่คือ…”

ชายชราผมขาวเปิดกล่องด้วยความฉงน หลังจากกวาดสายตาไปด้านใน ก็มีสีหน้าตกตะลึง

“เอาล่ะ เจ้ารู้อันใดก็ดีแล้ว เก็บมันไว้ให้ดีเถิด ยามนี้ผู้ที่รู้ของสิ่งนี้ยิ่งมีน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี” ไม่รอให้ชายชราผมขาวเอ่ยอันใดอีก บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวพลันโบกมืออย่างส่งเดช ทำให้เขากลืนคำพูดต่อจากนี้ลงไปในคอ

อาวุโสของเกาะศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ เห็นสถานการณ์เช่นนี้ แม้ว่าจะรู้สึกงงงวย แต่กลับไม่กล้าซักถามอันใด

ชายชราผมขาวจึงตอบตกลง และเก็บกล่องหยกเข้าไปในแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง

“ใช่แล้วท่านอาวุโส เรื่องที่สามบรรพชนแรกเริ่มของเผ่ามารอาจจะลงมาจุติที่แดนวิญญาณ ท่านรู้หรือไม่” หญิงชราลังเลเล็กน้อย แล้วอดไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น

“เรื่องนี้ข้าก็พอรู้มาบ้าง และยิ่งไปกว่านั้นสหายม่อยังมาหาและบอกตาเฒ่าด้วยตัวเอง” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวตอบกลับด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง

เมื่อเห็นบรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวมีท่าทีผ่อนคลายเช่นนี้ ทุกคนในตำหนักก็มองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วอดที่จะรู้สึกผ่อนคลายลงไม่ได้

หญิงชรายิ่งเผยสีหน้าดีอกดีใจออกมาพลางเอ่ยถามขึ้นอีกว่า

“เช่นนี้ ท่านอาวุโสทั้งสองคิดวิธีรับมือออกแล้วหรือ!”

“หึๆ แม้แต่บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารธรรมดาๆ ลงมาจุติยังแดนวิญญาณก็ต้องใช้พลังมหาศาล ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสามบรรพชนแรกเริ่มเผ่ามาร พวกเขาจะลงมาจุติง่ายๆ ได้อย่างไร ถกเรื่องนี้กันยามนี้ย่อมเร็วไปหน่อย จัดการกับกองทัพเผ่ามารตรงหน้าก่อน แล้วค่อยขบคิดเรื่องนี้ก็ยังไม่สาย” คาดไม่ถึงว่าบรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวจะไม่ได้ตอบสิ่งที่เป็นรูปธรรมตรงๆ กลับพลิกฝ่ามือ แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ

เมื่อได้ยินระดับมหายานเผ่าปีศาจกล่าวเช่นนี้ สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ในที่นั้นก็อดที่จะเบิกตาโตจ้องกันไปมาไม่ได้

“ท่านอาวุโสกล่าวเช่นนี้ จะต้องมีแผนการของตนแน่” ชายชราผมขาวกระแอมไอแห้งๆ แล้วเอ่ยออกมาพลางส่งสายตาให้กับบุรุษขนนก

“ใช่แล้ว เรื่องของสามบรรพชนแรกเริ่ม ถกกันยามนี้ย่อมเร็วไปหน่อย เอาอย่างนี้ก็แล้วกันชนรุ่นหลังอธิบายเรื่องราวต่างๆ ที่ชนรุ่นหลังเตรียมการไว้ในเกาะศักดิ์สิทธิ์ก่อน หนึ่งในนั้นยังมีเรื่องที่ไม่มีวิธีแก้ เกรงว่าต้องให้ท่านอาวุโสเป็นผู้ตัดสินใจแล้ว” บุรุษขนนกถูกชายชราเตือน ดูเหมือนว่าจะนึกอันใดขึ้นมาได้ ก็รีบร้อนเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาขณะเอ่ย

“อืมตาเฒ่าเข้าใจแผนการทำงานของพวกเจ้าก็ดี” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวพยักหน้าแล้วเผยรอยยิ้มออกมา

“ประการแรก เพื่อเป็นการต่อกรกับอสูรมารระดับต่ำเหล่านั้น เกาะศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราได้เลี้ยงดูกองทัพอสูรวิญญาณเอาไว้ โดยส่วนใหญ่ก็เลี้ยงดูสำเร็จแล้ว พวกแมลงเหี้ยมที่มีอายุขัยค่อนข้างสั้น ก็เริ่มพิจารณาการกระตุ้นให้แข็งแกร่งแล้ว คาดการณ์ดูแล้วอีกหน่อยคงใช้ต่อกรยามที่ตัดสินแพ้ชนะกับเผ่ามารได้พอดี…”

“อีกอย่างเพื่อเป็นการหลอมอาวุธศักดิ์สิทธิ์สวรรค์ทมิฬสองสามชิ้น ปรมาจารย์หลอมอาวุธของพวกเราล้วนถูกเชิญมาที่เกาะ เดาว่าอีกครึ่งปีก็น่าจะเริ่มงานหลอมอาวุธวิเศษแล้ว ทว่าปัญหาเดียวก็คือยังมีวัตถุดิบอีกสองสามชนิดที่ยังไม่ได้ถูกส่งมาที่เกาะ พวกมันต้องผ่านแดนที่เผ่ามารควบคุมอยู่ ถึงจะมาส่งได้ ด้วยเหตุนี้จะส่งผู้ใดไปรับ ก็ต้องปรึกษาให้ละเอียด ชนรุ่นหลังเสนอ…”

บุรุษขนนกดูเหมือนจะรับหน้าที่ดูแลเรื่องราวทั่วๆ ไปทุกอย่างของเกาะศักดิ์สิทธิ์ อธิบายสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟังอย่างตรงไปตรงมา

บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวนั่งอยู่บนเก้าอี้พลางฟังอย่างเงียบๆ ดูเหมือนจะมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แต่บางครั้งสายตาก็เปล่งประกายวาวโรจน์

หลังจากรอให้ชายชราเอ่ยจบ คนอื่นๆ ในตำหนักก็เริ่มเดินออกมาเช่นกัน แล้วรายงานเรื่องที่ตนเองรับผิดชอบกับชายชราเอ๋าเสี้ยว

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยามเต็มๆ ทุกคนในตำหนักถึงได้เอ่ยไปคนละรอบ

“อืม ทำได้ไม่เลว ทว่าเรื่องเหล่านี้พวกเจ้าจัดการเองเถิด ไม่ต้องให้ตาเฒ่าชี้แนะอันใด ถึงเวลาอันสมควรแล้ว ตาเฒ่าเร่งเดินทางมานาน จึงรู้สึกง่วงและหิว ขอพักผ่อนก่อน” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวฟังจบ คาดไม่ถึงว่าจะไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ออกมา กลับยืนขึ้นและเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ

ชายชราผมขาวและพวกได้ยินก็อดที่จะจ้องตากันไปมาไม่ได้

“ในเมื่อท่านอาวุโสเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เช่นนั้นชนรุ่นหลังจะจัดการที่พักให้ท่านอาวุโส” บุรุษขนนกเป็นผู้ที่มีปฏิกิริยาตอบสนองเร็วที่สุด จึงรีบร้อนก้าวเข้ามาเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม และเบี่ยงกายเปิดทางให้

บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวพยักหน้าเล็กน้อย และเดินไปอย่างไม่รีบร้อน

อิ๋นเย่ว์ย่อมตามอยู่ด้านหลังเงียบๆ

“ชนรุ่นหลังขอน้อมส่งท่านอาวุโส!” ทุกคนในตำหนักถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง แล้วทยอยกันค้อมตัวลงน้อมส่ง

“ใช่แล้ว เจ้าสองคนอีกเดี๋ยวให้มาที่ที่พักของข้า ข้ายังมีเรื่องจะมอบหมาย” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวเดินมาถึงหน้าประตูตำหนัก ดูเหมือนจะนึกอันใดได้ พลันหันหน้ามาหาสองคนในตำหนัก ใช้นิ้วชี้ไปแล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ

คนที่เขาชี้คือชายชราผมสีขาวและบุรุษร่างกายสูงผอมสีหน้าเคร่งขรึมที่พูดคุยกับผู้อื่นน้อยมาก

ทั้งสองคนนี้ย่อมตกตะลึง แต่ก็มิกล้าดูแคลนพลางรีบร้อนตอบรับ

บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวพยักหน้า แล้วถึงได้หันกายเดินออกไปจากตำหนัก

“สหายซวี หรือว่าก่อนหน้านี้เจ้ารู้จักกับท่านอาวุโสเอ๋าเสี้ยว?” หญิงวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบปีเศษที่ยืนอยู่ข้างกายบุรุษร่างกายผ่ายผอมอดไม่ไหวเอ่ยถามบุรุษขึ้นหลังจากที่ท่านบรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวจากไป

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท