คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์) – ตอนที่ 2119 ลูกศิษย์สำนักลิ่วจี๋

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

หญิงสาวสวมชุดสีม่วงเห็นใบหน้าที่แท้จริงของหานลี่ ดวงตาคู่งามก็มองไปยังหานลี่ด้วยความตะลึงงัน ราวกับว่าร่างทั้งร่างตกอยู่ในภวังค์ก็ไม่ปาน

ในเวลาเดียวกันหมอกสีดำบางๆ ที่ปกคลุมร่างของหญิงสาวผู้นั้นก็ค่อยๆ สลายออกเผยใบหน้างดงามราวกับเทพเซียนออกมา

ใบหน้างดงามซีดขาวเล็กน้อย แต่ใบหน้าก็งดงามไม่เป็นสองรองใคร นั่นคือ ‘วิญญาณม่วง’ คนสนิทของหานลี่ในแดนมนุษย์

แต่แค่กลิ่นอายบนเรือนร่างของนางเปลี่ยนไป คาดไม่ถึงว่าจะเปลี่ยนมาฝึกฝนเคล็ดวิชามารบริสุทธิ์ และยังมีพลังยุทธ์ระดับหลอมสุญตาขั้นปลาย

ยามที่หานลี่เพิ่งมาถึงเมืองน้ำตกสีคราม เงาแผ่นหลังที่คุ้นเคยที่เห็น นั่นก็คือวิญญาณม่วงอย่างไม่ต้องสงสัย!

และเพราะว่ากลิ่นอายของนางเปลี่ยนไป จึงทำให้หานลี่ในยามนั้นคลาดกันไป

แม้ว่าหญิงสาวผู้นี้จะเป็นสายลมในวสันตฤดูของหานลี่ในปีนั้น แล้วจากไปโดยไม่ส่งข่าวคราวมาอีกเลยสักนิด แม้กระทั่งหานลี่ลักลอบเข้ามาแดนวิญญาณ ยามที่เข้ามาในห้วงมิติเวลา ก็ยังไม่เคยปรากฏตัว

แต่ไม่ต้องสงสัยเลยในบรรดาสตรีผู้บำเพ็ญเพียรที่หานลี่รู้จักทั้งหมด นอกจากหนานกงหวั่นแล้ว ผู้ที่เขาเกี่ยวข้องด้วยมากที่สุดก็คือหญิงสาวผู้นี้

ยามนี้คาดไม่ถึงว่าจะมาพบกับหญิงสาวผู้นี้ที่แดนมาร แน่นอนว่าย่อมทำให้หานลี่ตกตะลึงระคนดีใจเป็นอย่างยิ่ง และรู้สึกปลงอนิจจังเป็นอย่างมาก

“ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าหลังจากมาที่แดนศักดิ์สิทธิ์ ในชีวิตนี้จะมีวันที่ได้พบกับพี่หานอีก ข้ากำลังสงสัยตัวเองว่าเป็นเพราะคิดถึงมากเกินไป ยามนี้ถึงได้ฝันกลางวันอยู่หรือไม่” ในที่สุดวิญญาณม่วงก็เอ่ยปาก แต่คำพูดอ่อนหวานที่พูดออกมานั้นทำให้หัวใจของหานลี่บีบรัดเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าจะรู้สึกเจ็บปวดอยู่ลึกๆ!

“หลังจากที่บรรลุขึ้นมา ข้าก็เอาแต่ตามหาเจ้า แต่ไม่มีข่าวคราวเลยสักนิด คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมาที่แดนมาร นั่นก็ไม่แปลกใจเลย!” ในที่สุดหานลี่ก็ได้สติจากภวังค์ที่ได้พบกับวิญญาณม่วง ใบหน้าฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ และเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มขมขื่น

ทว่ายามที่เขาพูดนั้นสายตากลับกวาดไปที่หญิงสาวสวมชุดผ้าป่านและ ‘น้าจู’ แวบหนึ่ง ส่วนลึกในแววตาฉายแววเย็นชาออกมา

ฮูหยินเผ่ามารมีสีหน้าเคร่งขรึม สาวเท้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง แล้วขวางหลันอิ่งไว้ด้านหลัง

หญิงสาวสวมชุดผ้าป่านเป็นผู้ที่ชาญฉลาดขนาดไหน เมื่อเห็นสีหน้าของหานลี่ ย่อมเข้าใจว่าเหตุใดทันที ทันใดนั้นก็โบกมือให้ฮูหยินแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ

“สหายหานที่แท้เจ้าก็คือคนรักเก่าที่พี่หญิงม่วงลืมไม่ได้ผู้นั้น! นี่ถึงจะเป็นใบหน้าที่แท้จริงของเจ้า ทว่าข้าไม่เห็นว่าหล่อตรงไหน คาดไม่ถึงว่าจะทำให้พี่หญิงม่วงไม่ลืมเลือนเช่นนี้ ทว่าหากไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ข้าได้ทำนายเอาไว้ พี่หญิงม่วงก็คงไม่มาเยี่ยมเยียนวันนี้ เจ้าสองคนก็จะไม่มีโอกาสได้พบกันอีกครั้ง อันใด ยามนี้เพิ่งจะได้พบกันยังไม่ทันได้จุมพิตกัน ก็คิดจะปิดปากน้องหญิงแล้วหรือ!”

“เจ้านี่ พูดซี้ซั้วอันใด จุมพิตอันใดกัน! การทำนายของเจ้าครั้งที่แล้วเป็นดังแมวตาบอดพบหนูที่ตายแล้วเท่านั้น ไม่นับว่าเชื่อถือได้อันใด พี่หาน เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องผู้บำเพ็ญเพียรในแดนมนุษย์ อิ่งเอ๋อร์คือสหายสนิทของข้า ไม่มีทางแพร่งพรายเรื่องนี้แน่ และยิ่งไปกว่านั้นเรือนก่วงหยวนของพวกเขาก็ไม่ใช่ขุมอำนาจดั้งเดิมของแดนมาร แต่เป็นสาขาหนึ่งของขุมอำนาจใหญ่ที่มีอยู่หลายแดน ผู้ปฏิบัติหน้าที่เจ้าของเรือนอย่างนางมีมากกว่าสิบคนในแดนต่างๆ แม้กระทั่งในแดนมนุษย์ก็มีขุมอำนาจอื่นด้วย มิเช่นนั้น เรือนก่วงหยวนจะยืนหยัดมาหลายปีโดยไม่ถูกโค่นล้มได้อย่างไรทั้งๆ ที่อยู่ใต้จมูกของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากของเผ่ามาร” วิญญาณม่วงบ่นหญิงสาวสวมชุดผ้าป่านเบาๆ แล้วหันหน้าไปอธิบายกับหานลี่

“ขุมอำนาจใหญ่ที่มีอยู่หลายแดน! แต่เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรือนก่วงหยวนในแดนมนุษย์” หานลี่ได้ยินคำนี้ แม้ว่าจะมีความรู้มากมาย ก็ยังต้องสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกหนึ่งด้วยความตกตะลึง แต่ก็มีท่าทีไม่อยากจะเชื่อเล็กๆ

“พี่หานระมัดระวังตัวมาก คาดไม่ถึงว่าจะไม่ยอมเชื่อคำพูดของพี่หญิงวิญญาณม่วง แม้ว่าเรือนของข้าจะมีนามว่า ‘เรือนก่วงหยวน’ ในแดนนี้ แต่ในแดนอื่นล้วนเปลี่ยนชื่อไป มิเช่นนั้นหากยอดฝีมือที่ข้ามแดนหลายๆ แดนได้ จะไม่ถูกพบลับลบคมในง่ายๆ หรือ” หญิงสาวสวมชุดผ้าป่านเหลือบมองหานลี่แวบหนึ่งแล้วอมยิ้มขณะตอบกลับ

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง กลับเป็นผู้แซ่หานที่บุ่มบ่ามเกินไป” แม้ว่าหานลี่จะไม่เชื่อทั้งหมด แต่ความสงสัยกลับลดน้อยลง ประสานกำปั้นให้หญิงสาว แล้วเอ่ยอย่างรู้สึกผิด

หญิงสาวสวมชุดผ้าป่านแววตาเปล่งประกายสองสามครา ยามที่คิดจะเอ่ยอันใดอีกนั้น วิญญาณม่วงกลับเอ่ยพร้อมกับแววตาที่เปล่งประกาย

“อิ่งเอ๋อร์ อย่าถือสาที่พี่หานระแวงเลย ถึงอย่างไรเสียก่อนหน้านี้เขาก็ไม่รู้ความสัมพันธ์พี่น้องระหว่างเราสองคน ระวังตัวหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ”

“ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า พี่หญิงม่วงจะมีวันที่เมินสหาย เพิ่งจะได้พบหน้ากับคนรักเก่า ยามนี้ก็เริ่มช่วยเขาพูดแล้ว” หญิงสาวสวมชุดผ้าป่านกะพริบตาปริบๆ หลังจากที่แววตาเจ้าเล่ห์เปล่งแสงสว่างวาบ ก็สั่นศีรษะขณะเอ่ย

ท่าทางของนางเทียบกับความราบเรียบในยามที่พบกับหานลี่ในยามแรกราวกับคนละคนก็ไม่ปาน

“นินทาอีกแล้ว ผู้ใดเมินสหายกัน!” วิญญาณม่วงได้ยินคำนี้ ใบหน้าก็แดงระเรื่อ แล้วถลึงตาใส่หญิงสาวสวมชุดผ้าป่านแวบหนึ่ง

แต่ครั้งนี้หลันอิ่งกลับแค่ฉีกยิ้ม ไม่ได้ต่อปากต่อคำอันใด กลับเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ

“พวกเจ้าไม่ได้พบกันหลายปี จะต้องมีเรื่องมากมายอยากพูดคุยกันแน่ ข้าและน้าจูจะไม่ขัดขวางอยู่ที่นี่ พวกเราจะไปพักผ่อนที่ชั้นห้า รอให้พวกเจ้าคุยกันเสร็จ ค่อยลงมาก็ยังไม่สาย ใช่แล้ว เขตอาคมของเรือนก่วงหยวน พี่หญิงวิญญาณม่วงก็คงรู้จักดี เปิดเขตอาคมก่อนแล้วค่อยคุยก็ยังไม่สาย นี่คือแผ่นป้ายเขตอาคมของชั้นนี้!”

หญิงสาวสวมชุดผ้าป่านเอ่ยจบก็หยัดกายลุกขึ้น สะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีขาวพุ่งออกมา กลับเป็นอาวุธมารทรงแผ่นป้ายแผ่นหนึ่ง

“อิ่งเอ๋อร์ เช่นนั้นพี่หญิงต้องขอบคุณมาก” วิญญาณม่วงพลันรู้สึกดีใจ และยกมือขึ้นดูดแผ่นป้ายเข้ามาในมือ”

“เช่นนั้นทั้งสองท่านก็ค่อยๆ คุยกันเถิด น้องหญิงขอตัวลาก่อน” หญิงสาวสวมชุดผ้าป่านคารวะเล็กน้อย แล้วหาฮูหยินเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน

หลังจากนั้นไม่นานทั้งสองก็มาอยู่ในห้องที่ถูกตกแต่งอย่างเก่าแก่โบราณอีกห้องหนึ่ง

หญิงสาวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งกลางห้อง และครุ่นคิดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ส่วนฮูหยินพลันขยับฝีเท้ามายืนอยู่ด้านหลัง

“น้าจู เจ้าคิดว่าสหายหานผู้นั้นเป็นอย่างไร?” หญิงสาวสวมชุดผ้าป่านพลันเอ่ยขึ้น

“เป็นอย่างไร? คุณหนูหมายถึงด้านไหน!” ฮูหยินรู้สึกงุนงงจึงเอ่ยถาม

“พูดถึงแค่พลังยุทธ์ของเขาก็แล้วกัน เจ้าว่าเขาก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่ง เช่นนั้นกว่าครึ่งเขาก็คือมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรที่สร้างความวุ่นวายในแดนมารจนได้เซียนปลอมนั่นสินะ” หญิงสาวเอ่ยอย่างไม่ต้องขบคิด

“อืม ในเมื่อแซ่หาน และเป็นมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียร คงจะเป็นผู้นี้ไม่ผิดแน่ ส่วนพลังยุทธ์ที่แท้จริงหรือ แม้ว่าจะไม่ได้ประมือกับเขา แต่กลิ่นอายสลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ธรรมดาๆ อย่างแน่นอน และยิ่งไปกว่านั้นยังอันตรายมาก ผู้ที่ต้องมาตายในเงื้อมมือของเขาคงมีไม่น้อยเลย” ฮูหยินทำการคาดเดา

“เช่นนั้นแม้ว่าจะไม่นับว่าเซียนปลอมนั่น คนผู้นี้ก็คุ้มค่าให้ดึงมาเป็นพวก” หญิงสาวสวมชุดผ้าป่านแววตาเปล่งประกายขณะเอ่ยอย่างแช่มช้า

“หากเป็นไปได้ ก็เป็นแผนที่ดี ทว่าเดิมเขาก็เป็นสหายสนิทของพี่หญิงม่วง หากคุณหนูอยากสร้างความสัมพันธ์อันดีด้วย ก็น่าจะไม่ใช่เรื่องยากนัก” ฮูหยินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“หากเจ้าคิดเช่นนั้นก็ผิดแล้ว” หญิงสาวสวมชุดผ้าป่านได้ยิน กลับสั่นศีรษะระรัวไม่หยุด

“เพราะเหตุใด?” ฮูหยินรู้สึกงุนงง

“ข้าและพี่หญิงม่วงนับถือกันเป็นพี่น้องจริง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะคิดว่าพวกเราเป็นสหายสนิทได้ง่ายๆ แม้ว่าข้าจะพูดคุยกับเขาไม่มากนัก แต่ก็ดูออกว่าผู้นี้มีความตั้งใจแน่วแน่ไม่ถูกบังคับจากแรงภายนอกได้ง่ายๆ หากอยากคบค้ากับเขา เกรงว่าจะต้องมีผลประโยชน์ถึงจะได้” หญิงสาวสวมชุดผ้าป่านวิเคราะห์อย่างเข้าใจกระจ่าง

“ก่อนหน้านี้ยามที่อยู่กับเจ้าของเดิม ก็ชื่นชมว่าคุณหนูฉลาดไม่เป็นรองใคร ในเมื่อกล่าวเช่นนี้คิดดูแล้วคงไม่ผิดแน่ แต่ยามนี้เรือนก่วงหยวนของพวกเรากำลังอยู่ในช่วงอ่อนแอ คงเอาของดีออกมาไม่ได้มากนัก และคนผู้นี้ก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย ของธรรมดาๆ เกรงว่าคงไม่เข้าตา” ฮูหยินครุ่นคิด แล้วพลันเห็นด้วย แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยอย่างรู้สึกลำบากใจ

น้าจูเข้าใจผิดแล้ว เรือนก่วงหยวนของพวกเราทำการค้าอันใด? อย่าอื่นไม่ต้องพูดถึง เมื่อครู่ไม่ได้มีน้ำใจมาส่งแล้วหรือ!” หญิงสาวสวมชุดผ้าป่านกลับหัวเราะออกมา

“คุณหนูหมายถึง…” ฮูหยินพลันเข้าใจแล้ว

……

ในเวลาเดียวกันวิญญาณม่วงก็บริกรรมคาถา โบกแผ่นป้ายในมือไปมา

ครู่ต่อมากลางอากาศก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ทั้งชั้นสี่ถูกม่านลำแสงหลากสีสันห่อหุ้มเอาไว้

ใจกลางของม่านลำแสงเหลือเพียงหานลี่และวิญญาณม่วงเท่านั้น

เมื่อวิญญาณม่วงเก็บแผ่นป้ายเข้าไปในแขนเสื้อ หานลี่ก็ทนไม่ไหวเอ่ยถามขึ้นก่อน

“วิญญาณม่วง เคล็ดวิชาหลักที่เจ้าฝึกฝนที่แดนมนุษย์ไม่ใช่เคล็ดวิชามาร เหตุใดยามขึ้นมาแดนมาร และยิ่งไปกว่านั้นภายในระยะเวลาสั้นๆ ยังฝึกฝนเคล็ดวิชามารมาได้ถึงขั้นนี้”

เขาพูดไปพลางใช้จิตสัมผัสสัมผัสไอมารบริสุทธิ์ที่แผ่ออกมาจากวิญญาณม่วงไปพลางแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย

“เรื่องนี้พูดไปก็ยาว ทว่าข้าอยากรู้ว่ามนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรที่สร้างความวุ่นวายในแดนศักดิ์สิทธิ์ช่วงนี้คือพี่หานใช่หรือไม่” วิญญาณม่วงฉีกยิ้มเบิกบานขณะเอ่ยถาม

“หากไม่มีมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรคนที่สองแอบเข้ามาในแดนมาร และก่อความวุ่นวายเช่นนี้ ก็น่าจะเป็นข้า” หานลี่ตอบกลับพร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่น

“เป็นเจ้าดังคาด ฟังจากข่าวลือเจ้าไม่เพียงมีพลังยุทธ์ระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย ยังมีอิทธิฤทธิ์ร้ายกาจหาที่เปรียบ และมีพละกำลังเหนือกว่าหุ่นเชิดปูยักษ์ของสิ่งมีชีวิตระดับบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ นี่เป็นความจริงหรือ?” วิญญาณม่วงเอ่ยถามด้วยใบหน้าตกตะลึงระคนดีใจ

“ข่าวลือมันเกินจริงเกินไป แต่กว่าครึ่งเป็นเรื่องจริง แม้ว่ายามนี้หุ่นเชิดปูยักษ์จะอยู่ข้างกายข้า ข้ากลับไม่ใช่เจ้าของมัน ไม่อาจควบคุมมันได้” หานลี่ตอบพร้อมกับหัวเราะ

“แม้ข้าจะไม่เห็นขั้นตอนที่เจ้าฝึกฝนหลังจากบรรลุขึ้นมาแดนวิญญาณ แต่ระยะเวลาสั้นๆ เพียงนี้ก็พัฒนามาได้ถึงขั้นนี้ แม้กระทั่งอยู่ห่างจากระดับมหายานแค่ก้าวเดียว เห็นได้ชัดว่าสองสามปีนี้ เจ้าคงไม่ละความพยายามเลย ไม่รู้ว่าต้องเจอเรื่องยากลำบาก เสี่ยงอันตรายมาเท่าไหร่สินะ!” วิญญาณม่วงเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา

“หลังจากบรรลุขึ้นมาแล้วก็มีอุปสรรคเล็กน้อย แต่ในที่สุดก็ผ่านมาได้ และยิ่งไปกว่านั้นฝึกฝนจนถึงมาขั้นนี้ได้ ก็นับว่าไม่ได้เสียเปล่า ทว่าข้าว่าไอมารบริสุทธิ์ในตัวเจ้า อยู่ห่างจากระดับผสานอินทรีย์เกรงว่าจะอีกไม่นานแล้วสินะ” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบแล้วเอ่ยถามอย่างห่วงใย

“เกรงว่าเร็วหน่อยก็สิบกว่าปี นานหน่อยก็ร้อยปี ข้าก็จะบรรลุระดับผสานอินทรีย์แล้ว ไม่เหมือนกับเจ้า! ตั้งแต่ที่ข้ามาถึงแดนมารในการฝึกฝนก็มีคนคอยประคองโดยไม่สนใจทรัพยากรที่ต้องเสียไป แม้กระทั่งยาลูกกลอนต่างๆ ที่ใช้ทะลวงระดับผสานอินทรีย์ ก็เตรียมเอาไว้อย่างครบครันแล้ว หากไม่เป็นเช่นนั้นจากคุณสมบัติของข้าจะฝึกฝนมาถึงขั้นนี้ในระยะเวลาสั้นๆ ได้อย่างไร” ไม่รู้ว่าวิญญาณม่วงกำลังคิดอันใดอยู่ สีหน้าพลันแปลกประหลาดไปเล็กน้อย

“มีคนประคอง? ผู้ใดจะทำเรื่องนี้ให้เจ้าโดยเปล่าประโยชน์ คงมีเป้าหมายอันใดสินะ” หานลี่พลันตะลึงงัน ทันใดนั้นก็ได้สติกลับคืนมาแล้วเอ่ยซักถาม

“จากฐานะและพลังยุทธ์ของเจ้าในยามนี้ น่าจะรู้จักบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ลิ่วจี๋สินะ?” วิญญาณม่วงถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น

“บรรพชนศักดิ์สิทธิ์ลิ่วจี๋ ข้าย่อมรู้จัก หนึ่งในสามบรรพชนแรกเริ่มที่เพิ่งรับตำแหน่งได้ไม่นานในแดนมาร! แต่ตัวนางนั้น ข้ากลับไม่เคยพบ อันใด นางคอยช่วยเจ้าฝึกฝนหรือ!” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง แล้วเอ่ยพร้อมกับครุ่นคิดเล็กน้อย

“ใช่แล้ว บรรพชนศักดิ์สิทธิ์ลิ่วจี๋ผู้นั้น! ยามนี้ข้าเป็นหนึ่งในเจ็ดศิษย์ของนาง และเป็นศิษย์ที่มีชื่อเสียงน้อยที่สุด ทว่าหากกล่าวว่าศิษย์ ความจริงแล้วก็เป็นแค่ร่างแยกสำรองของนางเท่านั้น” วิญญาณม่วงหน้าเปลี่ยนสีไปสองสามครั้ง ถึงได้เอ่ยสิ่งที่ทำให้หานลี่หน้าเปลี่ยนสีออกมา

“ร่างแยกสำรอง เจ้าถูกนางลงอาคมไว้?” หานลี่เป็นผู้ที่มีประสบการณ์เฟื่องฟูขนาดไหน ชั่วพริบตาก็เอ่ยถามด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท