คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์) – ตอนที่ 2260 ปล่อยไก่

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

มั่วเจี่ยนหลีย่อมตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากตะโกนออกมาเสียงเบา ลำแสงวิญญาณปกป้องร่างกายเพิ่มขึ้นทันใด หวังจะให้พลังอาคมอันแกร่งกล้าของเขาทำลายโซ่ไฟที่พันร่างอยู่ให้แตกออก

แต่เปลวเพลิงของโซ่ไฟเส้นนั้น เมื่อลำแสงวิญญาณปกป้องร่างกายเพิ่มขึ้น มันก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

มั่วเจี่ยนหลีเร่งลำแสงวิญญาณให้เพิ่มขึ้นติดต่อกันหลายครั้ง หากแต่ไม่สามารถทำให้โซ่ไฟเส้นนั้นหลุดออกไปได้แม้แต่น้อย

ในที่สุดสีหน้าของนักพรตคนนี้ก็เปลี่ยนไป

และในตอนนี้เอง เผ่าวิญญาณหัวล้านคนนั้นก็ได้กระตุ้นเทวรูปที่อยู่ด้านหลังอีกครั้ง เขย่าแผ่นป้ายหลิงเจ็ดสีที่อยู่ในมืออีกครั้ง

หลังจากเสียง “ปัง” ราวกลับฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ หลังผิวของแผ่นป้ายเจ็ดสีเกิดการบิดเบือนขมุกขมัวลง อักษรรูนเจ็ดสีขนาดใหญ่พลันพุ่งออกมาจากกลางแผ่นป้ายนั้น

อักษรรูนพวกนี้หมุนวนไปรอบๆ ทันใดนั้นก็เพิ่มขึ้น แปรเปลี่ยนเป็นคมมีดแสงไร้ด้ามจับที่วิจิตรตระการตาเป็นพิเศษ

ภายใต้การไหลเวียนแสงราวกลับผลึกที่มีความยาวหลายจั้งบนพื้นผิว ได้แปรเปลี่ยนเป็นปาก จมูกและอวัยวะอื่นๆ อย่างคลุมเครือ สร้างสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่ความรู้สึกแปลกประหลาดกับผู้คน

หลังมั่วเจี่ยนหลีใช้จิตสัมผัสกวาดไปที่คมมีดแสงนั้น สำหรับพลังยุทธ์ระดับมหายานแบบเขา บนร่างกายพลันปรากฏความรู้สึกขนหัวลุกพรวดพราดขึ้นมาอย่างไม่นึกมาก่อน

ในตอนนี้เอง ยันต์ผืนนี้กลายเป็นคมมีดแสงไปทั้งด้ามส่งเสียง หึ่งๆ เสียงดังออกมา!

“ท่าไม่ดีเสียแล้ว!”

รูม่านตาของมั่วเจี่ยนหลีพลันหดลง ปากส่งเสียงตะโกนออกมาเสียงดัง ตามด้วยร่างกายมีแสงสีทองห่อหุ้มอย่างฉับพลัน อาวุธอาคมป้องกันหลายประเภทจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาจากร่างกายพร้อมๆ กัน กลายเป็นกลุ่มของลำแสงวิญญาณปกป้องท้องฟ้า

ภายใต้การพันธนาการของโซ่ไฟเส้นนั้น อาวุธเหล่านี้เป็นอาวุธป้องกันตัวที่เขาสามารถปล่อยออกมาได้รวดเร็วที่สุดแล้วถึงแม้จะมีวิธีการป้องกันอื่นที่แข็งแกร่งยิ่งกว่านี้แต่สายเกินไปแล้วที่จะใช้มัน

เวลานี้เอง คมมีดแสงในอากาศก็เลือนรางหายไปจากที่มันเคยมีอยู่

ในขณะเดียวกัน แสงสีสันสวยงามเหนือศีรษะของมั่วเจี่ยนหลีสว่างวูบ สมบัติป้องกันหลายชิ้นที่ถูกสังเวยออกมาต่างก็แตกออกเป็นสองท่อนอย่างไม่มีเสียงอย่างง่ายดายปานหั่นเต้าหู้ทั่วไป

หลังจากไม่มีสิ่งกีดขวางอีกต่อไป คมมีดแสงก็ส่องประกายฟันลงมาที่ศีรษะของมั่วเจี่ยนหลีอย่างเหี้ยมโหด

ยังไม่ทันที่จะฟันลงมาจริงๆ เกิดความหนาวเย็นแปลกประหลาดสายหนึ่งก็โจมตีออกมา

หากเป็นมั่วเจี่ยนหลีในช่วงเวลาอื่น เพียงแค่เหาะหนีก็หลีกเลี่ยงการฟันนี้ได้อย่างง่ายดาย แต่ภายใต้สถานการณ์ในตอนนี้ที่ร่างกายถูกพันธนาการทำให้ไม่สามารถขยับได้แม้แต่ก้าวเดียว ทำได้แค่เพียงมองไปยังที่มีดแสงสวยงามนั้นฟันลงมาที่ร่างกายของตนเอง

ทันใดนั้นเขาก็มีสีหน้าแย่ลงกว่าเดิม ท้องฟ้าเหนือศีรษะถูกปกคลุมไปด้วยลำแสงสีเงินสีทอง คนที่มีร่างกายลักษณะเดียวกันทุกประการปรากฏออกมาจากแสงนั้น สองมือถือกระบี่สั้นสีเงินพุ่งออกมาจากท้องฟ้า

มั่วเจี่ยนหลีตกที่นั่งลำบากอย่างแท้จริง ปล่อยปราณก่อกำเนิดและมหายานออกมาทันที เตรียมรับมือกับคมมีดแสงที่ดูอันตรายอย่างยิ่งสายนี้ พลันเกิดเสียง “ปึง” ดังอุดอู้ขึ้น เงาคนสายหนึ่งวิ่งวาบอยู่ภายใต้มีดแสงอันวิจิตรอย่างเลือนรางราวกับหมอกควัน เพียงแค่ปล่อยหมัดออกมาอย่างสบายๆ ก็ทำลายมีดแสงที่โจมตีออกมาได้อย่างง่ายดาย หลังจากนั้นมีความผันผวนสายหนึ่งปรากฏขึ้นอยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้งด้านหนึ่งของมั่วเจียนหลี แสงและเงาเผยให้เห็นร่างที่แท้จริงของเขา

นั่นคือชายหนุ่มในชุดสีนำเงินคนหนึ่งที่บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ที่แท้เป็นหานลี่นั่นเอง

เขาที่อยู่ไม่ไกลในตอนแรก เมื่อเห็นว่ามั่วเจี่ยนหลีตกอยู่ในอันตราย เขาจึงใช้ความเร็วที่เหลือเชื่อวาร์ปมาในทันที และช่วยสกัดกั้นการโจมตีนี้

“ขอบคุณนักพรตหานที่ช่ววยเหลือ!” มั่วเจี่ยนหลีย่อมมีความยินดีเป็นอย่างมาก หลังจากวายร้ายหัวโล้นเลือนรางไป เขากลับเข้าไปในท้องฟ้าอีกครั้งแล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

หานลี่ค่อยๆ ใช้นิ้วจี้ที่มือ ปากพึมพำคาถาออกมา แสงบนร่างกายค่อยๆ มืดลง จากนั้นพ่นคาถาลงบนร่างของตนเอง

พลังสีขาวสายหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นอิทธิฤทธิ์อันใด พลันม้วนตัวออกมา!

สัมผัสกับโซ่เลือดเส้นนั้น เกิดเสียง “ฉ่าๆ” แปลกประหลาดออกมาทันควัน ท่ามกลางสายตาตกใจของชายเผ่าวิญญาณทั้งสองคน เปลวไฟสีแดงฉานค่อยๆ รวมเข้าด้วยกัน ในเวลาเดียวกันบนพื้นผิวก็เกิดรอยร้าวขึ้นหลายเส้น

ในเวลานี้มั่วเจี่ยนหลีส่งเสียงหัวเราะออกมาเสียงดังกะทันหัน แขนทั้งสองข้างขยับพาร่างกายให้หลุดออกจากพันธนาการ

เสียง “กร็อบๆ” ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โซ่ไฟสักพักก็แตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ ทีละชุ่น

โซ่ไฟนี้ถึงแม้จะน่าพิศวงเป็นอย่างมาก แต่จะจับนักพรตระดับมหายานได้อย่างไร ขอเวลาเพียงชั่วขณะหนึ่งให้มั่วเจี่ยนหลี เขาก็สามารถหลุกพ้นจากความลำบากได้อย่างง่ายดาย

สำหรับคมมีดแสงที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ แม้ว่าชายหัวโล้นคนนั้นจะรีบทำให้มันกลับเป็นเหมือนอย่างก่อนหน้า แต่แผ่นป้ายเจ็ดสีก็มืดคลงอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าเหลือพลังเพียงแค่หนึ่งถึงสองส่วนเท่านั้น ชายหัวโล้นมองไปที่หานลี่และมั่วเจี่ยนหลีที่อยู่ด้านล่าง ยิ่งทำให้มั่นใจว่าที่แท้ทั้งสองคนอยู่ในระดับมหายาน สีหน้าพลันเปลี่ยนไปเอาแน่เอานอนไม่ได้

และคนจากเผ่าวิญญาณอีกคนที่บนหัวมีเปลวไฟสีแดงฉาน เมื่อโซ่ไฟแตก ก็กระอักเลือดออกมาจากปากเป็นจำนวนมาก พลังชี่พลันอ่อนแอลงหลายส่วน

“ชนรุ่นหลัง หลิงอิ่น หลิงจื้อ พบผู้อาวุโสทั้งสองท่าน! เมื่อครู่ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสทั้งสองได้มาถึงแล้ว เลยลงมือโดยไม่ไตร่ตรองก่อน ได้โปรดยกโทษให้พวกเราด้วย!” หลังจากสีหน้าของผู้ชายหัวล้านเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาสักพัก ยืนขึ้นแสดงความเคารพอย่างลึกซึ้งไปทางด้านล่าง

หานลี่หัวเราะออกมาเล็กน้อย หลังจากร่างกายสั่นคลอนอยู่ครู่หนึ่ง ก็ก้าวข้ามระยะทางหลายร้อยจั้งมาปรากฏขึ้นที่บนพื้นไม่ไกลกับซุ้มประตู กวาดตาประเมินชายสองคนโดยไม่พูดสิ่งใด

แต่มั่วเจี่ยนหลีกลับแค่นเสียงออกมา กลายเป็นแสงพุ่งมาปรากฏข้างกายของหานลี่ หน้าตาเปลี่ยนไปไม่น่าดูพลางกล่าวว่า

“การลงมือของพวกเจ้าเมื่อครู่ล้วนเป็นพลังจากสมบัติทั้งสองชิ้นในร่างกาย แต่ทั้งสองชิ้นนี้ไม่ใช่ของที่พวกเจ้าจะสามารถใช้ได้ หากแต่คงเป็นหลิงอ๋องที่มอบสมบัติเก่าแก่สองชิ้นนี้ให้”

สำหรับมั่วเจี่ยนหลีที่อยู่ในระดับมหายานแต่กลับเกือบจะเสียเปรียบแก่ระดับผสานอินทรีย์ทั้งสอง ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะลอบโจมตีออกมาและมีสมบัติประหลาดที่สามารถทำให้ผู้พบเห็นตกใจได้อยู่กับตัว แต่มันก็ทำให้เขาอับอายปนโกรธเคืองเล็กน้อย

“ผู้อาวุโสโปรดอภัย ชนรุ่นหลังทั้งสองเพียงแค่ทำตามคำสั่งที่ได้รับมาจากหลิงอ๋อง” สีหน้าของชายหัวโล้นเปลี่ยนไปเล็กน้อย รีบโค้งตัวอธิบายแก่คนทั้งคู่

“ที่แท้เป็นความคิดของหลิงอ๋อง พูดมาเสีย เหตุใดเขาจึงประทานสมบัตินี้ให้ และดูเหมือนว่ามันจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจัดการข้าและคนอื่นๆ ในระดับมหายานโดยเฉพาะ มิเช่นนั้นผู้เฒ่าจะเสียเปรียบพวกเจ้าได้อย่างไร” สีหน้าของหานลี่ไม่มีความผ่อนคลายลงเลย ยังคงบูดบึ้งเป็นพิเศษ

ชายหัวโล้นได้ยินสิ่งที่พูดแล้วเกิดความลังเลเล็กน้อย หลังจากเหลือบตาสบกับคู่หู อ้าปากพะงาบๆ โดยไม่พูดอันใดออกมา

แต่ในตอนนี้เอง กลับมีเสียงแหวกอากาศดังมาจากยอดเขาสูง สายรุ้งน่าตกใจอีกหกเส้นพุ่งลงมา

เมื่อเห็นเช่นนี้ เผ่าพันธุ์วิญญาณทั้งสองก็ยินดีอย่างยิ่ง และการแสดงออกของพวกมันก็สงบลงในเวลาเดียวกัน

สีหน้าของหานลี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ยังคงยืนนิ่งและไม่พูดอะไร มั่วเจี่ยนหลีเห็นเหตุการณ์นี้ ดวงตาของเขาเหล่มองเล็กน้อย ภายในดวงตามีอันตรายเส้นหนึ่งวาบผ่านจางๆ

แสงจางลง

เผ่าวิญญาณหกคนที่แต่งกายเหมือนกับชายหัวโล้นปรากฏตัวออกมาอย่างน่าตื่นตาตื่นใจพร้อมๆ กัน ระดับผสานอินทรีย์เหมือนกัน บนร่างกายมีพลังจากสมบัติปกป้องตัวเป็นสายๆ จางๆ ดูเหมือนว่าแต่ละคนต่างมีสมบัติประหลาดปกป้องตัวเองอยู่

เผ่าวิญญาณหกคนนี้มองมาที่หานลี่และมั่วเจี่ยนหลีอย่างละเอียด อีกทั้งหลังใช้จิตสัมผัสได้ถึงพลังที่ยากจะหยั่งรู้ สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเล็กน้อย แต่ไม่ได้แสดงท่าทีตกใจออกมามากมาย

แต่นี่กลับทำให้หานลี่จับตามอง

“พวกท่านทั้งหกมาก็ดีแล้ว ข้ากำลังคิดที่จะขึ้นไปรายงานอยู่พอดีผู้อาวุโสทั้งสองท่านได้มาเยือนที่เขาศักดิ์สิทธิ์ก่อนแล้ว พวกข้าทั้งสองกลับลงมือล่วงเกินโดยไม่ตรวจสอบให้ดี ต้องอภัยผู้อาวุโสทั้งสองแล้ว!”

ชายหัวโล้นมีไหวพริบดีมาก แม้ในใจจะผ่อนคลายลงแล้ว แต่สีหน้ากลับแสดงความเคารพเป็นพิเศษ

หานลี่ได้ยินคำพูดเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาเล็กน้อย

แต่มั่วเจี่ยนหลีหลังจากที่ได้ยิน สีหน้าเย็นชาขึ้นหลายส่วน

ชายเผ่าวิญญาณผู้นี้กล่าวเช่นนี้ เขาก็ไม่สามารถลงมือสั่งสอนทั้งคู่ได้ มิเช่นนั้นตอนที่เข้าพบหลิงอ๋องก็ยากที่จะเลี่ยงว่าเป็นผู้ที่รังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า เกรงว่าจะไม่ดีกระมัง

ในเวลานี้ เผ่าวิญญาณหกคนก้าวขึ้นหน้ามาพบหานลี่ด้วยความเคารพและให้เกียรติเหมือนกับทั้งสองคนก่อนหน้า

ชายชราเคราขาวผู้หนึ่งท่ามกลางกลุ่มนั้น กล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

“ยินดีต้อนรับผู้อาวุโสทั้งสองสู่เขาศักดิ์สิทธิ์ของเรา เป็นเกียรติแก่เผ่าของข้าอย่างมากที่ท่านมาเยือนที่แห่งนี้ ใต้เท้าหลิงอ๋องรู้มาตั้งนานแล้วว่าท่านทั้งสองจะมาถึงในไม่กี่วันนี้ และรอพวกท่านอยู่ที่วังปราณม่วงนานแล้ว”

“รอพวกเรามานานแล้วหรือ!” หานลี่ได้ยินสิ่งนี้ อดไม่ได้ที่จะแสดงความตกใจออกมา

คิ้วของหานลี่เลิกขึ้น แสดงความประหลาดใจออกมาเช่นกัน

“พวกท่านทั้งสองไม่ใช่ว่ามีตกลงนัดหมายกับหลิงอ๋องเมื่อนานมาแล้วหรอกหรือ…หรือว่าพวกท่านทั้งสองจะไม่ใช่เซวี่ยหรานกับเฮยหลินที่มากจากเกาะตี้เจียว!” ชายชราเคราขาวมองไปที่หานลี่และมั่วเจี่ยนหลีด้วยสีหน้าที่ประหลาดจนดูไม่ออกว่าเป็นอย่างไร และพูดออกมาด้วยความตกใจ

เห็นได้ชัดว่าเขาก็รู้ตัวแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาสองสามคนจะปล่อยไก่ตัวใหญ่ออกมาแล้ว

เผ่าวิญญาณคนอื่นเห็นดังนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันเอง! “เซวี่ยหรานกับเฮยหลิน! ข้าเคยได้ยินชื่อของพวกเขา ดูเหมือนว่าจะเป็นเผ่าประหลาดขั้นมหายานที่มาจากเมืองทะเลโหม่วเพี่ยนที่อยู่ทางตอนกลางของแผ่นดินใหญ่สยงป้า” หลังจากมั่วเจี่ยนหลีหัวเราะออกมาเล็กน้อย จึงพูดออกมาอย่างช้าๆ ด้วยน้ำเสียงแปลกๆ

“ที่แท้เป็นผู้อาวุโสมั่วและผู้อาวุโสหานจากเผ่ามนุษย์ เมื่อครู่ข้าน้อยเข้าใจผิดไปเสียแล้ว ทั้งสองโปรดอภัย แต่มิทราบว่าผู้อาวุโสทั้งสองมาที่เขาศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพวกข้าน้อยเช่นนี้ มีสิ่งใดให้เผ่าของพวกข้ารับใช้หรือไม่” หลังสีหน้าของชายชราเคราขาวเปลี่ยนไปหลายหน แม้ในใจจะแอบบ่นไม่หยุด แต่รีบถามออกมาโดยไม่ลดการแสดงความเคารพ

“ไม่มีอันใดหรอก ผู้เฒ่าและนักพรตหานมาในครั้งนี้ เพียงแค่ต้องการพบเจอหลิงอ๋องเท่านั้น ในเมื่อนักพรตหลิงอ๋องรออยู่ข้างบนแล้ว นี่คือสิ่งที่ดีเยี่ยมแล้ว พวกเราสองคนก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมาเสียเที่ยว!”

มั่วเจี่ยนหลีเก็บสีหน้าบูดบึ้ง แล้วพูดกลั้วเสียงหัวเราเสียงดัง

หานลี่ได้ยินดังนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเล็กน้อย

ดูเหมือนว่า มาก่อนไม่สู้มาถูกจังหวะ!

เดิมทีกลัวว่าจะไม่เจอหลิงอ๋องที่ปิดด่านโดยไม่คาดฝัน แต่วันนี้กลับไม่ต้องเสียเวลาขนาดนั้นแล้ว

สิ่งเดียวที่กังวลคือ ไม่รับรู้ถึงเหตุผลที่แท้จริงที่หลิงอ๋องเชื้อเชิญเผ่าประหลาดทั้งสองมาที่นี่ในเวลานี้

“นี่…นี่ไม่ดีกระมัง ใต้เท้าหลิงเชิญเพียงแค่พวกผู้อาวุโสเซวี่ยหราน หากว่าท่านทั้งสอง…ต้องการพบหน้าจริงๆ ละก็…ข้าน้อยและคนอื่นๆ เกรงว่าจะไม่มีอำนาจตัดสินใจ จำเป็นต้องขึ้นไปรายงานก่อนถึงจะถูกต้อง”

สีหน้าของชายชราเคราขาวแสดงความไม่สบายใจออกมาหลายส่วน ผ่านไปสักพัก จึงพูดออกมาอย่างอิดออด

“คำพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร พวกเซวี่ยหรานสามารถเข้าพบหลิงอ๋องได้ แต่ข้าสองคนไม่ได้อย่างนั้นหรือ! หรือว่าจริงๆ แล้วพวกเจ้าคิดว่าจะสามารถรังแกเผ่ามนุษย์อย่างพวกเราได้ง่ายๆ แม้แต่ระดับมหายานขั้นกลางก็ไม่อยู่ในสายตาพวกเจ้า” มั่วเจี่ยนหลีหุบรอยยิ้ม ทันใดนั้นเขาก็ก้าวออกมาแล้วพูด แรงกดดันทางวิญญาณที่น่าสะพรึงกลัวราวกับสามารถเขย่าฟ้าดินได้ง่ายๆ ถูกปล่อยออกมาจากร่างกาย

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท