ตอนที่ 2437 การเปลี่ยนแปลงของเผ่ามนุษย์
“สหายหาน เจ้าใจร้อนมากเกินไปแล้ว คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะกินมันโดยตรงเช่นนี้” หลังจากผู้อาวุโสจินได้สติ เขาก็พูดอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
“ผลไม้วิญญาณที่หาได้ยากยิ่งเช่นนี้ ต้องกินมันลงไปตั้งแต่เนิ่นๆ จะปลอดภัยที่สุด นอกจากนี้จะได้ไม่ต้องไปยั่วสายตาคนอื่นให้อิจฉาด้วย” หานลี่ตอบกลับพร้อมยิ้มเล็กน้อย
“ในเมื่อสหายวางแผนเช่นนี้ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ข้าเองก็คงไม่กล่าวอะไรมาก เพียงแต่หากนำดอกบัว
ก่วงหลิงทานคู่กับผลไม้วิญญาณชนิดอื่นๆ จะได้ผลดีขึ้นเล็กน้อย” ผู้อาวุโสจินถอนหายใจแล้วพูดขึ้น
“ดอกบัวก่วงหลิงหมื่นปี น่าจะเหมาะสมกับระดับฝึกฝนของข้าแล้ว หากในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว แล้วยังไม่สามารถก้าวขึ้นไปอยู่อีกขั้นได้แล้วล่ะก็ น่าจะไม่มีประโยชน์อะไรกับร่างกายของข้าอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไร ถือว่าครั้งนี้ข้าได้รับน้ำใจจากเผ่าของท่านแล้ว หากวันหลังยังมีโอกาสอีกล่ะก็ ข้าจะต้องตอบแทนแน่นอน คนอื่นๆ กำลังจะมาแล้ว เช่นนั้นผู้น้อยแซ่หานต้องขอตัวลา” หานลี่ส่ายหน้าเบาๆ จากนั้นก็ประสานหมัดทำความเคารพผู้อาวุโสเผ่ามังกรทั้งหลาย ทันใดนั้นร่างของเขาก็กลายเป็นสีเขียวและพุ่งขึ้นท้องฟ้าออกไป
หลังจากนั้นไม่นานแสงนั้นก็หายลับปลายขอบฟ้าไป
“สมแล้วที่เป็นผู้แข็งแกร่งที่สามารถฆ่าเซียนคนนั้นได้ จากนี้ต่อไปเขาน่าจะสามารถผ่านไปสู่แดนเซียนได้ เละกลายเป็นคนที่ไม่สามารถมองข้ามได้” ผู้อาวุโสที่สวมชุดขาวกล่าวชมหนึ่งประโยค
“แน่นอน แต่ต้องเป็นในตอนที่เขาสามารถไปสู่แดนเซียนได้เท่านั้น” ผู้อาวุโสจินมองไปตามทางที่หานลี่จากไป สีหน้าและน้ำเสียงของเขาดูแปลกไปเล็กน้อย
“คำพูดของหัวหน้าผู้อาวุโสหมายความว่าอย่างไร ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา และหลังจากที่กินดอกบัวก่วงหลิงไป โอกาสที่เขาจะสามารถผ่านด่านเคราะห์มีไม่น้อยเลยทีเดียว” หญิงสาวอีกคนที่สวมชุดสีเขียว ก็กล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจ
ส่วนผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาเช่นกัน
“พวกเจ้าคิดว่าจิตสัมผัสของคนผู้นี้เป็นอย่างไรบ้าง?” หลังจากผู้อาวุโสจินลูบเคราเบาๆ แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรออกมา แต่กลับยิ้มแล้วถามกลับ
“แข็งแกร่งมาก น่าจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในคนที่เข้าร่วมงานชุมนุมพระสูตรดอกบัวก่วงหลิงแล้ว”หลังจากผู้อาวุโสชุดขาวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตอบขึ้นมาอย่างเด็ดขาด
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากข้าทายไม่ผิดล่ะก็ พลังจิตสัมผัสที่เขาแสดงต่อหน้าเราเป็นเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้น” ผู้อาวุโสจินหัวเราะเบาๆ แล้วตอบ
“จะเป็นไปได้อย่างไร! ในเมื่อพูดเช่นนี้แล้ว หรือว่าแม้กระทั่งพลังจิตสัมผัสของข้าก็ไม่มีทางเทียบเคียงเขาได้เลย ผู้อาวุโสจิน หรือว่าท่านใช้วิชาลับนั้นเพื่อสำรวจเด็กคนนั้นอย่างเงียบๆ แล้ว” ทันใดนั้นก็มีคนอุทานเสียงดังขึ้น
“เป็นเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นข้าจะกล้าพูดออกมาหรือ แต่ก็น่าสียดายอย่างมาก เดิมทีหากจิตสัมผัสแข็งแกร่งขึ้นมากเท่าใด ก็จะมีประโยชน์ต่อการผ่านด่านเคราะห์มากเท่านั้น แต่พลังจิตสัมผัสของเขากลับแข็งแกร่งเกินไปหน่อย มันเกินขีดจำกัดของสิ่งมีชีวิตในดินแดนนี้แล้ว หลังจากที่ข้าเคล็ดวิชาลึกลับจากพรสวรรค์ของข้าตรวจสอบแล้ว จิตสัมผัสของเขานั้นแข็งแกร่งมากจริงๆ แต่มันจะเป็นภัยร้ายที่แอบแฝงมา หากเขาไม่มีแผนรับมือที่เหมาะสม เกรงว่าในอีกไม่กี่ร้อยปีข้างหน้า เขาจะต้องไม่รอดแน่” ผู้อาวุโสจินกล่าวขึ้นอย่างสบายๆ
“คาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ด้วย”
“ไม่รู้ว่าคนผู้นี้จะรู้หรือยังเกี่ยวกับภัยร้ายที่แฝงตัวมาของจิตสัมผัส”
“ต่อให้ตอนนี้เขายังไม่รู้ แต่อีกไม่นานเขาจะพบเรื่องนี้เข้าอย่างแน่นอน แต่ข้าเกรงว่ามันคงจะไม่สายเกินไปนะ”
“นั่นสิ เรื่องที่เกี่ยวกับจิตสัมผัสนั้นเป็นเรื่องที่รับมือยากเป็นที่สุด พวกเราเผ่ามังกรเองก็ไม่มีวิธีรับมือที่ดีเช่นกัน ไม่เช่นนั้นผู้อาวุโสจินก็คงจะเตือนเขาโดยตรงไปแล้ว”
หลังจากที่ผู้อาวุโสเผ่ามังกรได้ยินเรื่องที่น่าตกใจแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะพูดถกเถียงกันขึ้นมา
ในตอนนั้นเอง ที่ปลายฟ้าระยะไกลก็มีเสียงระเบิดดังขึ้น จากนั้นก็มีมังกรสีขาวตัวหนึ่งปรากฏขึ้นมาที่แท่นหินแห่งนั้น
หลังจากเสียงหนึ่งดังขึ้น ด้านหน้าแท่นหินบริเวณไม่ไกลจากผู้อาวุโส มีชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น เขาสวมชุดคลุมสีขาว มีจี้หยกคาดเอว บนหัวสวมกวานสีทอง สองมือประสานกันพร้อมพูดว่า
“ข้าน้อยเซวียนหยวนเจี๋ย จากเผ่าเซวียนหยวน คารวะสหายเผ่ามังกรทุกท่าน”
“อะไรนะ คนของเผ่าโบราณเซวียนหยวนน่ะหรือ!”
เมื่อผู้อาวุโสเผ่ามังกรได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจกันทุกคน ทุกสายตาจับจ้องไปที่ชายหนุ่มคนนั้นไม่วางตา ชั่วพริบตาเดียวพวกเขาก็ลืมเรื่องของหานลี่ไปหมดแล้ว
…
หนึ่งปีต่อมา หานลี่ก็กลับมาที่ทะเลไร้ขอบเขตของเผ่ามนุษย์ได้อย่างราบรื่น และกลับมาที่ตำหนักชิงหยวน พร้อมได้รวมตัวกับหนานกงหวั่น ปิงเฝิง และคนอื่นๆ อีกด้วย หลังจากได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันแล้ว เขาก็รีบเข้ามาในห้องลับและปิดด่านฝึกทันที
ดูเหมือนว่าในครั้งนี้หานลี่จะใช้เวลาปิดด่านฝึกไม่น้อยเลย คาดไม่ถึงว่าหลังจากที่เขาปิดด่านไป เขาก็ไม่ได้ออกมาอีกเลย
เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างช้าๆ หมุนไปอย่างรวดเร็วจนครบสองร้อยปี
ในตอนนั้นเองเผ่ามนุษย์ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่
ก่อนอื่นเลยหลังจากผ่านมาหลายปีแม่นางปิงพั่วก็กลับมาที่เผ่ามนุษย์ในฐานะบรรพชนมหาเมธี เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงของเผ่ามนุษย์
เผ่าเล็กที่อยู่ข้างๆ เผ่ามนุษย์อย่างเผ่าพฤกษาที่อ่อนแอ ก็แสดงความเต็มใจที่จะพึ่งพาอาศัยเผ่ามนุษย์
จากนั้นคือเผ่าเยี่ยซาที่ไม่ถูกกับเผ่ามนุษย์มาโดยตลอด จู่ๆ ก็สัญญาว่าจะยอมแพ้และย้ายเข้าไปอยู่ป่าลึก ละทิ้งถิ่นที่อยู่อาศัยเดิม แต่ก็ไม่รู้ว่าย้ายไปที่แคว้นใด
เมื่อเผ่ามนุษย์เห็นดังนั้นก็ยึดครองพื้นที่ว่างตรงนั้นอย่างไม่เกรงใจ
หลังจากนั้นชนต่างชนเผ่าในแผ่นดินใหญ่หยวนเฟิงก็ส่งมิตรไมตรีที่ดีให้เผ่ามนุษย์มากขึ้น ส่วนเผ่าวิญญาณเหาะเหินและเผ่าอื่นๆ ก็มีความยินดีที่จะเป็นพันธมิตรกับเผ่ามนุษย์มากขึ้น
แทบจะในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ถึงร้อยปี เหมือนเผ่ามนุษย์จะเป็นเผ่าที่สะดุดตาที่สุดในแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนแล้ว
ส่วนภายในเผ่ามนุษย์ก็มีเคล็ดวิชาบำเพ็ญเพียรขั้นสูงและเคล็ดวิชาลับสุดยอดที่ปรากฏขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
อีกอย่างหนึ่งก็คือสมบัติธรณีสวรรค์ที่จะได้ยินแต่ในตำนาน ก็ปรากฏขึ้นบ่อยครั้งที่เผ่ามนุษย์
ภายใต้การกระตุ้นดังกล่าว ก็มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงและกลางของเผ่ามนุษย์ ที่เคยติดคอขวดอยู่เป็นเวลานาน ก็สามารถเลื่อนขั้นได้ภายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
ส่วนบรรดาเด็กรุ่นหลังที่เพิ่งเข้ามาบำเพ็ญเพียร ก็มีคนที่มีพรสวรรค์เพิ่มขึ้นไม่น้อย พวกกองกำลังจำนวนไม่น้อยจึงมีความสุขมาที่จะได้แย่งชิงพวกเขา
เผ่ามารที่ตั้งตนเป็นพันธมิตรของเผ่ามนุษย์มาตลอด แม้ว่าคนไม่เคยเจอประสบการณ์ที่พลิกฟ้าทะลายดินดังเช่นเผ่ามนุษย์ แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงที่คล้ายกัน ฝีมือความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ขยายตัวขึ้นเช่นกัน
หลังจากที่ยึดพื้นที่บางส่วนที่เผ่ามนุษย์ไม่มีเวลาดูแล พวกเขาก็สามารถควบคุมพื้นที่ได้มากกว่าเดิมเกือบสองเท่า
วิทยายุทธ์ โอสถ ของวิเศษใหม่ๆ ก็มีเผ่ามนุษย์จำนวนไม่น้อยที่นำเข้าไปในเผ่ามาร ทำให้พวกเขาได้รับผลประโยชน์ไม่น้อยเลย
หากมีคนสืบค้นและติดตามอย่างละเอียด จะพบว่าการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดมีสาเหตุมาจากที่เดียวกัน
ไม่ว่าจะเป็นวิทยายุทธ์ขั้นสูง หรือว่าของวิเศษและโอสถที่ล้ำค่าอย่างมาก ของทั้งหมดนี้ปรากฏขึ้นอย่างเงียบๆ ในบริเวณใกล้กับตำหนักชิงหยวน ส่งผลให้ฝีมือของเผ่าทั้งสองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าสะพรึงกลัว
…
หลังจากนั้นสองปี เขตชายแดนของแดนมาร หมาป่าปีศาจสองหัวกำลังลากรถเหาะสีดำคันหนึ่ง รถเหาะคันนั้นเป็นรถของทหารยามที่กำลังลาดตระเวนอยู่
หลังจากที่ทหารกลุ่มนั้นเพิ่งจากไปไม่นาน พื้นที่เดิมนั้นก็มีระลอกคลื่นจางๆ ปรากฏขึ้นมากลางอากาศ ทันใดนั้นก็มีเงาร่างสีเขียวปรากฏขึ้นอย่างไร้เสียง
เขาเพียงแค่หันกลับไปมองบริเวณที่ทหารเหล่านั้นเพิ่งจากไป จากนั้นเขาก็จ้องมองเข้าไปในตราประทับ
“คิดไม่ถึงว่าเคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณจะยุ่งยากขนาดนี้ แม้กระทั่งหมัวกวงกับหั่วซวีจือก็ยังไม่มีหนทางรับมือ น่าเสียดายที่สามารถค้นความทรงจำของเซียนผู้นั้นได้เล็กน้อยเท่านั้น ไม่อย่างนั้นอาจจะไม่ต้องมาถึงที่นี่” หลังจากที่ชายร่างเงาสีเขียวบ่นพึมพำขึ้น เขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยอีกครั้ง
หนึ่งวันต่อมา เงาร่างสีเขียวก็มาปรากฏที่สถานที่ลึกลับที่ถูกปิดผนึกเอาไว้
ถัดจากจุดนั้นไม่ไกลจะมีแท่นบูชาสีเลือดแปลกตา ด้านบนนั้นมีชามสีดำสนิทชิ้นหนึ่งวางอยู่ รอบด้านมีเสาสำริดแปดต้นตั้งตระหง่านอยู่
“สหายหาน นี่เจ้ายังมาตามนัดเลยนะ ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับเคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณ” ทันทีที่เงาร่างสีเขียวเดินเข้าใกล้แท่นบูชา ชามสีดำใบนั้นก็สั่นขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ได้ยินเสียงผู้ชายเอ่ยพูดอย่างราบเรียบ
เงาร่างสีเขียวที่ปิดด่านฝึกมาสองร้อยปี ในที่สุดก็พบว่าทะเลจิตใต้สำนักของตนเองมีอะไรผิดปกติไป หานลี่จึงออกจากตำหนักชิงหยวนมาอย่างเงียบๆ และเข้ามาที่แดนมารอีกครั้ง
“นัดของผู้อาวุโสเมื่อครั้งก่อนไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือ?” หานลี่จ้องไปที่ชามสีดำนั้นตาเขม็ง พร้อมถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ด้วยฐานะของตัวข้า จะผิดสัญญาได้อย่างไร” เสียงของผู้ชายคนนั้นกล่าวขึ้นอย่างไม่ลังเล
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าตกลงในเงื่อนไขแรกของท่าน ผู้อาวุโสช่วยบอกความจริงเกี่ยวกับเคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณขั้นสามทีเถอะ” หลังจากที่หานลี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวขึ้นอย่างช้าๆ
“ฮ่าๆ ที่สหายหานทำเช่นนี้ ถือเป็นวิธีที่ชาญฉลาดแล้ว การฝึกเคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณมีเพียงแค่สามขั้น แล้วเจ้าจะต้องผ่านไปยังแดนเซียน มิฉะนั้นสิ่งที่เจ้าทำมามันจะสูญเปล่าทั้งหมด” ผู้ชายคนนั้นหัวเราะเสียงเบา เห็นได้ชัดว่าเขากำลังดีใจอย่างมาก
ทันใดนั้นที่ชามใบนั้นก็มีเสียงดัง กึกๆ ขึ้นมา และแสงสีขาวก็พุ่งออกมา หลังจากนั้นเพียงครู่เดียว มันก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าของหานลี่
คาดไม่ถึงว่ามันคือยันต์หยกขนาดเท่าฝ่ามือ ด้านหน้าสลักอักษรรูนสีเงินและทองจำนวนมากมาย ในขณะเดียวกันแสงดาวทั้งห้าดวงก็กะพริบไม่หยุด ท่าทางดูลึกลับอย่างมาก
“นี่คือยันต์หยกที่สามารถไปสู่แดนเซียนได้โดยตรง ส่วนการกระตุ้นและการหลอมก็เป็นเช่นนี้…” ผู้ชายคนนั้นพูดไปพูดมาเสียงก็เบาลงโดยไม่รู้ตัว
ครึ่งวันต่อมา สายรุ้งสีเขียวก็มุ่งหน้าออกจากทะเลสาบที่ถูกปิดผนึกไว้แห่งนั้น หลังจากนั้นไม่นาน สายรุ้งนั้นก็หายไป
ภายในแสงสีเขียวนั้น หานลี่กำลังยืนตัวตรงพร้อมเอามือไพล่หลัง ใบหน้ามืดครึ้ม ราวกับว่าเขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
…
สามปีต่อมา ในห้องโถงแห่งหนึ่งในตำหนักชิงหยวน หญิงสาวหน้าตางดงามผู้หนึ่งสวมชุดสีขาว กำลังพูดอะไรสักอย่างกับหานลี่อยู่ด้วยท่าทางเคารพ
จากนั้นนางก็โค้งตัวเล็กน้อย พร้อมพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น กลางฝ่ามือของนางมีสร้อยข้อมือมิติสีขาวเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นมา พร้อมมอบให้หานลี่ด้วยสองมือ
“ไป๋กั่วเอ๋อร์ เจ้าทำได้ดีมาก คิดไม่ถึงว่าการออกไปหาประสบการณ์ของเจ้าในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะทำให้วิญญาณหนาวของเจ้าอยู่ในระดับนี้ แต่ยังสามารถหาศิลาพลังหยินมาได้มากมายขนาดนี้เชียว นี่เป็นเรื่องที่ไม่ได้ทำได้ง่ายๆ เลย” หลังจากที่หานลี่ใช้จิตสัมผัสสำรวจของที่อยู่ด้านในแล้ว เขาก็มองไปที่ศิษย์ของตนเองอีกครั้ง รอยยิ้มที่หาได้ยากก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา