บทที่ 248 งานตั้งโต๊ะรับสมัครงาน
ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่เฉินชางมาร่วมงานตั้งโต๊ะรับสมัครงานในฐานะผู้รับสมัคร
ค่อนข้างรู้สึกแปลกๆ
ผู้คนยังคงเนืองแน่นไม่เปลี่ยน ไม่ได้มีเพียงแต่นักศึกษาจบใหม่ที่มีจำนวนมาก ยังมีผู้ปกครองจำนวนหนึ่งที่ถ้าไม่ได้มายื่นเรซูเม่แทนบุตรหลานก็มาสืบข่าวสมัครงานของแต่ละองค์กร
เจ้าหน้าที่รับสมัครงานของโรงพยาบาลอันดับสองเป็นผู้หญิงอายุไม่มากสองคน เมื่อช่วงเช้าหัวหน้าแผนกทรัพยากรบุคคลก็มาที่งานแล้ว ทว่าไม่นานก็กลับ ถึงอย่างไรเสียเป้าหมายสำคัญของงานตั้งโต๊ะรับสมัครงานก็คือรับเรซูเม่
บุคคลระดับหัวหน้ามาเข้าร่วมงานแค่พอเป็นพิธีเท่านั้น ต้องกล่าวว่างานตั้งโต๊ะรับสมัครงานเล็กๆ นี้ไม่ได้อยู่ในสายตาของคนตำแหน่งสูงเหล่านั้น
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลอันดับสองก็จัดว่าเป็นโรงพยาบาลอันดับต้นที่มีชื่อเสียงในด้านเนื้องอกวิทยา ประสาทวิทยา ระบบทางเดินปัสสาวะ โรคหัวใจ โรคตับ โรคติดต่อเป็นต้น แผนกเหล่านี้ล้วนเป็นแผนกที่มีความสำคัญระดับชาติ
คนยื่นเรซูเม่เยอะมาก
เจ้าหน้าที่แผนกทรัพยากรบุคคลทั้งสองคนอายุไม่มาก อายุสามสิบกว่า เมื่อเห็นชายหนุ่มอย่างเฉินชาง เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนต่างก็ชีวิตชีวาขึ้นมา ถึงอย่างไรชายหญิงทำงานร่วมกันก็ช่วยกระตุ้นให้บรรยากาศในการทำงานดูกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น
ใช้เวลาไม่กี่สิบนาทีเฉินชางก็เรียกชื่อ ‘พี่จ้าว’ ‘พี่ชุย’ ด้วยความสนิทสนมคุ้นเคยแล้ว
อันที่จริงแล้วทั้งสองต่างก็เคยได้ยินชื่อเฉินชางมาบ้างแล้ว ถึงอย่างไรเสียหลังจากเรื่องซ่งเฉียงหัวหน้าฝ่ายกิจการเกิดเรื่องได้ไม่กี่วัน ทุกคนต่างก็รู้จักชื่อเฉินชางแล้ว
เจ้าหน้าที่แผนกบุคคลของโรงพยาบาลจะมีงานยุ่งแค่ไม่กี่ครั้งต่อปี นอกนั้นก็ว่างมากจริงๆ ปกติมักจะชอบจับกลุ่มซุบซิบนินทา
ดังนั้นเรื่องที่ซ่งเฉียงหมดอำนาจ พวกเธอก็รู้เรื่องราวทั้งหมดชนิดที่กล่าวได้ว่ารู้ดี แต่ก็ยังไม่รู้เกี่ยวตัวเฉินชางชัดเจนนัก
แค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเดือนกว่า เฉินชางได้ทำอะไรหลายอย่าง เริ่มจากได้เปลี่ยนสถานะมาเป็นบุคลากรในสังกัด ทำให้ซ่งเฉียงหลุดจากตำแหน่ง เรียนต่อปริญญาโทระหว่างทำงานไปด้วย ความรุ่งโรจน์เช่นนี้ได้มาด้วยการต่อสู้ดิ้นรน จึงเป็นไปได้ยากที่จะไม่เป็นที่รู้จัก
ระหว่างนี้มักจะมีผู้คนแวะเวียนเข้ามาสอบถามเป็นระยะ ทั้งที่บริเวณข้างโต๊ะรับสมัครงานมีป้ายระบุรายละเอียดไว้อย่างชัดเจน ถ้าคิดว่าตนเองมีคุณสมบัติเหมาะสมก็ทิ้งช่องทางการติดต่อไว้ได้เลย
เฉินชางเดิมทีคิดว่างานตั้งโต๊ะรับสมัครงานคงน่าสนุกมากทีเดียว ให้ความรู้สึกเหมือนการทำงานรูปแบบหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะต้องมาทำงานร่วมกับพี่สาวที่ชอบพูดโน่นพูดนี่ไปเรื่อยไม่หยุด
แต่ก็ดีเหมือนกันที่ได้สร้างมิตรสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าหน้าที่แผนกทรัพยากรบุคคล หลายเรื่องที่จำเป็นต้องติดต่อประสานงานกับแผนกนี้ในภายภาคหน้าก็จะสะดวกมากขึ้น
ถือว่าเป็นการสร้างความรู้สึกที่ดีต่อกัน!
เฉินชางอาศัยใบหน้าขาวละอ่อน ริมฝีปากสุดเซ็กซี่ขยี้ใจ บวกกับวาจาคารมคมคาย ทำให้ค่าความรู้สึกดีของทั้งสองเพิ่มขึ้นถึงเจ็ดแปดแต้ม
ประจบสอพลอต่อไปอีกก็ไม่มีผลอะไรแล้ว
…
…
ต่งจยากับหลัวโจวมาถึงหน้าโรงยิม “ไปกันเถอะ ไปดูกันอีกทีเผื่อว่ามีโรงพยาบาลใหม่ๆ มาตั้งโต๊ะ?”
หลัวโจวอารมณ์ไม่สู้ดีนัก เรซูเม่ทั้งหมดที่มีก็ยื่นไปหมดแล้ว แต่ท่าทางที่ดูไม่รีบไม่ร้อนของผู้รับสมัครชวนให้ผู้สมัครอย่างเขารู้สึกหมดกำลังใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีนี้เปิดรับสมัครตำแหน่งศัลยแพทย์ทั่วไปไม่กี่ที่ ยื่นสมัครได้แค่ไม่กี่แห่ง
หลัวโจวถอนหายใจออกมา “เมื่อช่วงเช้าฉันวนดูตั้งหลายรอบแล้ว โรงพยาบาลไหนที่สมัครได้ก็ยื่นใบสมัครส่งเรซูเม่ไปจนหมดแล้ว ถึงจะเป็นพนักงานสัญญาจ้างก็เถอะ แต่ก็ไม่เลว เงินเดือนกับสวัสดิการดีมาก”
ต่งจยามองหลัวโจว “ฉันอยากให้นายทำงานในเมืองอันหยาง”
คำพูดเพียงหนึ่งคำ ทำให้หัวใจของหลัวโจวค่อนข้างร้าวราน
แต่…หางานในเมืองเอกของมณฑลมันง่ายขนาดนั้นที่ไหนกัน
เมื่อเห็นสายตาแห่งความคาดหวังของต่งจยา หลัวโจวก็หัวเราะออกมา เขาหยิกแก้มของเธอเบาๆ “ไปกันเถอะ ไปดูกัน”
เกิดเป็นลูกผู้ชาย ไม่มีใครไม่อยากตามใจแฟนตนเอง!
ต่อให้ยากสักแค่ไหน ก็จะต้องทุ่มเทสุดกำลังทั้งหมดที่มี
แน่นอนว่าในช่วงบ่ายมีโรงพยาบาลอื่นมาตั้งโต๊ะเพิ่ม แต่แรงดึงดูดใจมีไม่มากจริงๆ ขณะที่ทั้งสองตระเวนกรอกใบสมัครกับยื่นเรซูเม่ไปทั่วอยู่นั้น ทันใดนั้นต่งจยาก็เห็นเฉินชาง!
“หลัวโจว นายดูนั่นเร็ว นั่นเฉินชางใช่มั้ย” ต่งจยาดึงเสื้อหลัวโจวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ พร้อมชี้นิ้วไปที่โต๊ะรับสมัครงานของโรงพยาบาลอันดับสอง
หลังจากหลัวโจวหันไปมอง แล้วเขาก็เห็นเฉินชางนั่งอยู่ตรงนั้นจริงๆ ด้วย
เขารู้สึกประหลาดใจทันใด “เฉินชางเพิ่งจะเรียนปริญญาโทปีหนึ่งไม่ใช่หรือไง เขาทำอะไรที่นี่”
ต่งจยาส่ายหน้า “อาจจะแค่เดินดูก่อนมั้ง ไปกันเถอะ เข้าไปทักทายสักหน่อย”
ระหว่างที่พูด ทั้งสองก็เดินเข้าไปที่โซนตั้งโต๊ะรับสมัครงานของโรงพยาบาลอันดับสอง
“ชางเอ๋อร์! นายจริงๆ ด้วย นายมาทำอะไรที่นี่เนี่ย” หลัวโจวกล่าว
เมื่อเฉินชางเห็นหลัวโจว เขาก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา ยื่นประวัติย่อของโรงพยาบาลอันดับสองให้หลัวโจว “รับสมัครงานไง เชิญนั่งครับเพื่อน ทำความรู้จักกับโรงพยาบาลอันดับสองสักหน่อย”
หลัวโจวทำเสียงชิชะ “ชิ! นายเรียกฉันว่ารุ่นพี่ซะดีๆ อ้อ จริงด้วย…นายมาหางานเหมือนกัน?”
เฉินชางส่ายหน้า จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าหลัวโจวจบด้านศัลยกรรมทั่วไป ก็เลยถามว่า “จริงด้วยสิ หลัวโจว นายจบด้านศัลยกรรมทั่วไปใช่ไหม แผนกฉุกเฉินรับสมัครศัลยแพทย์ทั่วไปวุฒิปริญญาโท นายไม่ลองสมัครดูสักหน่อยหรือ”
หลัวโจวหัวเราะ “ฉันสมัครไปตั้งแต่แรกแล้ว แต่…ฉันเห็นรับแค่หนึ่งอัตรา คนสมัครกันตั้งเท่าไหร่”
เฉินชางรับ “อืม ก็จริง” แล้วก็กล่าวเสริมขึ้นว่า “เตรียมตัวให้ดีก็แล้วกัน แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลอันดับสองไม่เลวเลยนะ บรรยากาศการทำงานดีมาก ฉันว่านายน่าจะลองพยายามดูสักตั้ง ถ้าหากได้เข้ามาทำงานที่นี่ก็นับว่าไม่เลวเลยจริงๆ”
เมื่อหลัวโจวได้ฟังคำพูดที่ฟังดูเอาจริงเอาจังของเฉินชาง เขาก็ค่อนข้างตะลึง “โอ้โห…ชางเอ๋อร์ นายทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลอันดับสองจริงๆ หรือเนี่ย”
พี่จ้าวแผนกทรัพยากรบุคคลที่นั่งอยู่ข้างๆ หัวเราะ “เรื่องปลอมที่ไหนกันคะ เสี่ยวเฉินเป็นหมอแผนกฉุกเฉินค่ะ ถ้าคุณสอบผ่านแล้ว ต่อไปพวกคุณก็กลายเป็นเพื่อนร่วมแผนกกันแล้ว”
คำพูดหนึ่งประโยคที่ทำให้หลัวโจวกับต่งจยาถึงกับตกตะลึง
“ฉันรู้ว่าเดิมทีนายทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลอันดับสอง แต่…ตอนนี้นายสอบติดปริญญาโทแล้วไม่ใช่หรือไง ฉันคิดว่านายลาออกแล้ว…” หลัวโจวกล่าว
พี่จ้าวหัวเราะ “เสี่ยวเฉินเป็นบุคลากรในสังกัด จะยอมลาออกเพื่อไปเรียรต่อปริญญาโทได้ไงกัน จะว่าไปแล้ว เรียนต่อปริญญาโทในครั้งนี้ก็เป็นทางโรงพยาบาลที่ส่งเสี่ยวเฉินไปเรียนต่อเพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้ขั้นสูงซึ่งอยู่ในขอบเขตของงานที่ทำ”
เรื่องเฉินชางเรียนต่อปริญญาโท ทางโรงพยาบาลประกาศให้ทุกคนเข้าใจตรงกันว่าเป็นการเรียนต่อระดับปริญญาโทระหว่างที่ทำงานไปด้วย แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นการเรียนปริญญาโทแบบเต็มเวลา
และด้วยเหตุผลเช่นนี้ ทางโรงพยาบาลจึงอธิบายเรื่องนี้ได้ง่าย ส่วนแผนกทรัพยากรบุคคลก็แจ้งเรื่องนี้กับฝ่ายอื่นได้ง่าย มิเช่นนั้นก็จะค่อนข้างยุ่งยาก
“บุคลากรในสังกัด?” หลัวโจวสบตาต่งจยา ค่อนข้างรู้สึกเหลือเชื่อ เฉินชางกลายเป็นบุคลากรในสังกัดของโรงพยาบาลอันดับสองตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เขาวุฒิปริญญาตรีไม่ใช่หรือ
แต่เจ้าหน้าที่แผนกทรัพยากรบุคคลจะโกหกได้หรือไง
จู่ๆ หลัวโจวก็พบว่าตนไม่ค่อยรู้จักเฉินชางสักเท่าไหร่
เรียนจบมาสามปี หลัวโจวคิดว่าเฉินชางทำงานระยะหนึ่งแล้วก็ลาออกมาเรียนต่อปริญญาโท ไม่คิดว่าเฉินชางจะกลายเป็นบุคลากรในสังกัดไปแล้ว ตอนนี้ทางโรงพยาบาลให้มาเรียนต่อระดับปริญญาโทเพื่อเพิ่มพูนความรู้ขั้นสูง บ่งบอกชัดเจนว่าในอนาคตข้างหน้าต้องได้เลื่อนตำแหน่งอย่างแน่นอน!
ทันใดนั้นหลัวโจวก็อดทอดถอนใจกับรู้สึกอิจฉา (แง่บวก) ในใจไม่ได้!
เฉินชางเป็นอย่างไรเขารู้ดีมาก สมัยเรียนปริญญาตรี ยื่นสมัครทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา เกิดในครอบครัวที่อยู่ในชนบท สมัยเรียนเฉินชางขยันหมั่นเพียรมากเป็นพิเศษ
เฉินชางใช้วุฒิปริญญาตรีต่อสู้บากบากบั่นจนประสบความสำเร็จในเมืองอันหยางได้
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หลัวโจวก็รู้สึกค่อนข้างเลื่อมใสอย่างคาดไม่ถึง!
พี่จ้าวเจ้าหน้าที่แผนกทรัพยากรบุคคลกล่าวว่า “พ่อหนุ่ม เตรียมตัวให้ดีเถอะ การสอบคัดเลือกครั้งนี้ยุติธรรมมาก”
เฉินชางไม่ได้พูดอะไรมาก ถึงอย่างไรเสียตนก็แค่มาดูเฉยๆ ไม่ได้มีอำนาจในการตัดสินใจ อย่าคิดว่าการที่ตนทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลอันดับสองแล้วตนจะมีอำนาจมากขนาดนั้น ว่ากันถึงที่สุดแล้ว ตนก็เป็นแค่หนึ่งในหนึ่งพันสี่ร้อยคนของบุคลากรในสังกัดก็เท่านั้นเอง!
แต่เฉินชางยังคงมีกำลังใจมอบให้เพื่อนเสมอ เขากล่าวให้กำลังใจว่า “หลัวโจว ตอนนี้แผนกฉุกเฉินพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังให้ความสำคัญกับการฝึกอบรมบุคลากรมาก ครั้งนี้นับว่าเป็นโอกาส นายเตรียมตัวให้ดีๆ ถ้านายสอบผ่านเข้ามาทำงานที่โรงพยาบาลอันดับสองได้จริงๆ ก็จัดว่าเป็นตำแหน่งที่ไม่เลวเลย รายได้ก็ดีมากด้วย ที่สำคัญคือบรรยากาศภายในแผนกค่อนข้างดีเลย”
เมื่อหลัวโจวได้ฟังเช่นนั้น เขาก็พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม และกล่าวขอบคุณเฉินชาง “อืม ขอบใจนะ ชางเอ๋อร์ ฉันจะกลับไปเตรียมตัวให้ดีๆ จะพยายามเป็นเพื่อนร่วมแผนกเดียวกันกับนายให้ได้”
หลังจากที่หลัวโจวกับต่งจยาเดินจากไปแล้ว ความรู้ที่สึกที่เกิดขึ้นกับทั้งสองเรียกได้ว่าหลากหลายความรู้สึกผสมปนเป
ใครจะไปคาดคิดว่าจะเจอสถานการณ์เช่นนี้
หลังจากที่ออกมาจากโรงยิมแล้ว นัยน์ตาของต่งจยาก็เบิกโตขึ้น อดกล่าวไม่ได้ว่า “หลัวโจว เย็นนี้เรานัดเฉินชางกินข้าวมั้ย ถึงยังไงเฉินชางก็เป็นหมอแผนกฉุกเฉิน ตอนนี้มาตั้งโต๊ะรับสมัครงานด้วย ถ้าหากว่าคุยกันได้ล่ะ…”
…จะว่าไปแล้วพวกเราต้องสืบจากเฉินชางสักหน่อย ถ้าหากว่าได้ข้อมูลอะไรที่เรารู้ก่อนล่วงหน้าได้ก็ผลดีกับตัวนาย!”
หลัวโจวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ส่ายหน้า “ช่างเถอะน่า ทำแบบนี้จะทำให้เฉินชางลำบากใจหรือเปล่า…เฉินชางมีชีวิตเป็นยังไงมาก่อน ทุกคนรู้ดี กว่าจะมีวันนี้ได้ต้องต่อสู้ด้วยตัวเองล้วนๆ ไม่ใช่หรือ แต่ตอนนี้พวกเรากลับมาสร้างความยุ่งยากใจให้กับเขา เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องชัดๆ…
…จะว่าไปแล้ว ทุกคนต่างก็มีมุมที่ยากลำบากของตัวเองกันทั้งนั้น อย่าทำให้เมื่อถึงตอนนั้นแล้วเรื่องของเราสองคนกลายเป็นสิ่งที่ฉุดรั้งชีวิตเขาให้ต้องหยุดชะงักเลย! เธอว่าที่ฉันพูดถูกต้องมั้ย”
ต่งจยาถอนหายใจออกมา เธอคิดเยอะขนาดนี้ก็เพราะเธอคิดแทนหลัวโจว “ฉันกลัว…”
หลัวโจวหัวเราะแล้วมองหน้าต่งจยา “เอาน่า ที่รัก! เธอต้องเชื่อมั่นในตัวฉัน ฉันจะสอบผ่านแน่นอน เราอาศัยความสามารถของตนเองสอบเข้าไปได้จะน่าภูมิใจขนาดไหน ทำไมจะต้องลำบากคนอื่นด้วย!”
เมื่อต่งจยาเห็นแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความแน่วแน่ของหลัวโจว เธอก็ไม่ได้รบเร้าอะไรอีก “โอเค งั้นนายจะต้องพยายามให้เต็มที่นะ!”
หลัวโจวพยักหน้า