บทที่ 249 หัวเดียวกระเทียมลีบ
ถึงอย่างไรเสียก็เป็นงานตั้งโต๊ะรับสมัครงาน ไม่ใช่แค่ต่งจยากับหลัวโจวเท่านั้นที่เข้ามาทักทายเฉินชาง ไม่นานก็มีคนเห็นเฉินชางในงานตั้งโต๊ะรับสมัครงาน คนเหล่านั้นต่างก็ทยอยกันเข้ามาซักถามข้อมูลจากเฉินชาง
เฉินชางให้ความสำคัญกับขอบเขตความพอดีมาก เขาไม่ได้รู้สึกว่าตนทำงานอยู่แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลอันดับสองแล้วจะมีสิทธิพิเศษอะไร เขามาในวันนี้ก็แค่มาช่วยงานเท่านั้น
สำหรับเรื่องการคัดเลือกคนเข้าทำงาน? พูดคุยฝากฝัง? ใช้เส้นสาย?
เขารู้ว่าตนเองว่าเป็นแค่บุคลากรตัวเล็กๆ
กล่าวอย่างไม่น่าฟังก็คือ คำพูดของตนจะไปมีน้ำหนักอะไร
บุคลากรในสังกัดของโรงพยาบาลอันดับสองมีหนึ่งพันสี่ร้อยอัตรา หมอไม่กี่ร้อยคนที่รวมอยู่ในนั้นต่างก็เป็นแค่หมอตำแหน่งทั่วไป แล้วคำพูดของหมอตำแหน่งทั่วไปจะมีอำนาจอะไร
ดังนั้นเฉินชางก็เลยไม่รับปากอะไรส่งเดชหรือพูดอะไรไปเรื่อย
แต่การที่เฉินชางไม่ได้พูดอะไรส่งเดชก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่คิดอะไรเพ้อเจ้อไปเอง
เฉินชางในเวลานี้กลายเป็นประเด็นร้อนในห้องแชทของกลุ่มห้องเรียน (เพื่อนเก่าสมัยปริญญาตรี) ไปแล้ว
ทุกคนต่างก็พาชื่นชมเฉิงชางจากใจว่าเก่งสุดยอด!
ถึงอย่างไรเสียในบรรดาเพื่อนสมัยเรียนปริญญาตรี เฉินชางก็จัดว่าเป็นคนที่มีความก้าวหน้า มีหน้าที่การงานที่มั่นคง เป็นบุคลากรในสังกัดของโรงพยาบาลอันดับต้นของมณฑล สิ่งนี้เป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจขนาดไหน
และในตอนนี้เอง โทรศัพท์มือถือของเฉินชางมีคนส่งข้อความส่วนตัวกันมาอย่างต่อเนื่อง ข้อความต่างๆ นานาทยอยส่งกันเข้ามาหาเฉินชาง ส่วนใหญ่ก็นเป็นข้อความประมาณว่า ช่วยใช้เส้นสายให้หน่อยได้หรือเปล่า ช่วยฝากหัวหน้าแผนกฉุกเฉินให้ได้หรือเปล่า มีข้อมูลวงในหรือเปล่า อะไรทำนองนี้
เฉินชางไม่ได้ตอบข้อความกลับไป เขาคิดตรึกตรองดูแล้วมองว่าไม่เหมาะสม จึงตอบข้อความกลับไปว่า [อยากช่วยนะ แต่มันเกินความสามารถที่จะช่วยได้]
คนที่เข้าใจเฉินชางจริงๆ ก็ส่งอิโมจิหน้ายิ้มกลับมาเพื่อแสดงให้รู้ว่าเข้าใจ ส่วนคนที่ไม่เข้าใจก็ส่งมีม ‘เหอๆ’ ตอบกลับมา
เฉินชางหัวเราะด้วยความจนปัญญา ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องอธิบายเหตุผลให้คนที่ไม่เข้าใจเหล่านั้นฟัง
เพราะถึงอย่างไรคุณก็ไม่มีทางหาวิธีอธิบายให้คนประเภทนี้เข้าใจได้
อธิบายไปแล้วได้อะไร
คนที่โอบกอดสภาพจิตใจเช่นนี้ คิดถึงแต่ตัวพวกเขาเองทั้งนั้น คนพวกนี้ไม่ตรึกตรองสักนิดว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้ ไม่ตรึกตรองสักนิดว่าจะส่งผลกระทบอะไรต่อตัวคุณหรือเปล่า
คบคนประเภทนี้เป็นเพื่อน?
ไม่มีความจำเป็น
ทว่าไม่นานเรื่องที่เฉินชางจบวุฒิปริญญาตรีและได้เข้าทำงานในโรงพยาบาลอันดับสองในสถานะบุคลากรในสังกัดก็กลายเป็นหัวข้อให้ถกกัน
บางคนก็กล่าวอย่างมีเจตนาแฝง แสร้งทำทีเป็นเปิดประเด็นว่า ‘เดี๋ยวนี้เฉินชางกลายเป็นคนเก่งไปแล้ว โรงพยาบาลส่งให้เขาเรียนปริญญาโท มองไม่เห็นเพื่อนเก่าอย่างพวกเราอยู่ในสายตาแล้ว’ นำพามาซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา
ในตอนแรกเฉินชางยังตอบข้อความในกลุ่มอยู่ ทว่าต่อมาก็ขี้เกียจจะให้ความสนใจแล้ว ก็เลยออกจากกลุ่มวีแชทเสียเลย
ปัญหาอะไรที่แก้ได้ก็แก้ อะไรที่แก้ปัญหาไม่ได้ก็ต้องปล่อยไป
ในสังคมมีคนทุกรูปแบบ
เมื่อคนพวกนี้เห็นว่าคุณได้ดีกว่าใครอื่น ถ้าพวกเขาไม่รู้สึกเจ็บปวดจนทนไม่ไหว ก็จะเริ่มริษยาคุณอยู่ในใจ
ถึงอย่างไรเสีย หลังจากที่เฉินชางเรียนจบปริญญาตรีแล้วเขาก็ไม่ได้เรียนต่อปริญญาโททันที แต่คนพวกนั้นตอนนี้จบปริญญาโทกันหมดแล้ว
แล้วผลในปัจจุบันล่ะ
เฉินชางได้เป็นบุคลากรในสังกัด แถมยังเป็นบุคลากรในสังกัดของโรงพยาบาลอันดับต้นของมณฑลด้วย ส่วนวุฒิปริญญาโทในอนาคตก็มีแล้วเหมือนกัน!
ส่วนคนพวกนั้นที่รู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเพราะกว่าตนเองจะสอบเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโทได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หลังจากเรียนจบแล้วกลับหางานยากว่าคนวุฒิปริญญาตรีอีกก็เลยไม่พอใจ
ทว่าทุกคนต่างก็เป็นปุถุชนธรรมดา มีใครบ้างได้อะไรมาโดยไม่ต้องออกแรง
ทุกความสำเร็จของผู้ชนะย่อมแลกมาด้วยการต่อสู้ดิ้นรนอย่างสุดชีวิตกันทั้งนั้น
แต่บนโลกใบนี้มีคนทุกรูปแบบ คุณสั่งความคิดของคนอื่นไม่ได้
เฉินชางไม่ให้ความสนใจกับเรื่องพวกนี้
เมื่อเห็นว่าเฉินชางออกจากกลุ่มวีแชท บรรยากาศในกลุ่มวีแชทตกอยู่ในความเงียบงันในเวลาต่อมา
ในตอนนี้ทุกคนต่างก็เงียบสงบลงแล้ว เดิมทีที่แชทถามไถ่เรื่องเฉินชางกันอย่างคึกคัก ก็ไม่อยากเจอหน้าเฉินชางอีก ทุกคนต่างก็อดหัวเราะเยาะไม่ได้ จากนั้นก็ปิดหน้าวีแชทไป ไม่แชทต่อแล้ว
ทว่าเมื่อหม่าจื้อเถิงเห็นว่าเฉินชางออกจากกลุ่มวีแชทไปแล้ว ก็อดกล่าวไม่ได้ว่า: [เฉินอะไรดี ก็แค่บุคลากรในสังกัดไม่ใช่หรือ พวกเรายังไม่ได้เริ่มสอบบรรจุก็เท่านั้นเอง อย่าคิดว่าตัวเองเก่งนักเลย ออกจากกลุ่มวีแชท เก่งจังเลยนะ? เพื่อนเก่าขอให้คุณช่วยนิดช่วยหน่อยทำเป็นปฏิเสธต่างๆ นานา!]
สวีฮุ่ยฮุ่ยส่งข้อความหนึ่งข้อความ: [เกิ่งเหยียนเก่งขนาดนั้นยังไม่พูดเลย จบปริญญาโทวิทยาลัยการแพทย์ปักกิ่งยูเนี่ยน สามีก็เป็นนักวิจัยนักปริญญาเอกสถาบันโรคหลอดเลือดหัวใจแห่งชาติสังกัดโรงพยาบาลฟู่ว่าย มีอนาคตไกลขนาดนั้น ส่วนเฉินชางคางคกขึ้นวอจริงๆ]
หม่าจื้อเถิงรีบสมทบ: [จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตอนนั้นที่เกิ่งเหยียนเลิกกับเขาไปเป็นการกระทำที่เฉียบแหลมมาก เขามีอะไรคู่ควรกับเกิ่งเหยียน อยู่แผนกฉุกเฉินโรงพยาบาลอันดับสองทำอวดดี ก็แค่แผนกฉุกเฉิน!]
ในเวลานนี้ เกิ่งเหยียนที่ส่งข้อความโต้ตอบในกลุ่มวีแชทน้อยมากก็ส่งข้อความหนึ่งข้อความ: [เฉินชางทำให้พวกเธอโมโห?]
เกิ่งเหยียนอ่านข้อความตั้งแต่ต้นจนจบ กล่าวตามความจริงว่าการที่เฉินชางได้เข้าไปทำงานในโรงพยาบาลอันดับสอง แถมยังได้บรรจุเป็นบุคลากรในสังกัดแล้วด้วย สิ่งเหล่านี้ค่อนข้างสร้างความประหลาดใจให้กับเกิ่งเหยียน เพราะถึงอย่างไรเสียงานก็หายาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นวุฒิปริญญาตรีด้วยแล้ว ยิ่งหายากเข้าไปใหญ่
แต่เมื่อเห็นคนอื่นพูดจาเช่นนี้ เธอค่อนข้างรู้สึกเหยียดหยามพฤติกรรมแบบนี้
หลังจากที่ส่งข้อความไปแล้ว เกิ่งเหยียนก็ออกจากกลุ่มวีแชทเช่นกัน
บรรยากาศในกลุ่มวีแชทร้อนระอุขึ้นในทันใด
หม่าจื้อเถิงกับสวีฮุ่ยฮุ่ยทั้งสองคนต่างก็ตกตะลึงจนตาค้าง นี่เกิดอะไรขึ้น
ในตอนนี้หลัวโจวก็อดไม่ได้แล้วเหมือนกัน เขากล่าวขึ้นว่า: [เฉินชางเก่งกว่าพวกนาย สมัยเรียนก็เก่งกว่าพวกนาย ตอนนี้ทำงานก็ยังเก่งกว่าพวกนาย!]
หลังจากส่งข้อความไปแล้วก็ออกจากกลุ่มวีแชทเช่นกัน!
หลินเหอหัวเราะพร้อมส่งมีม: [เหอๆ เจ็บปวด!]
หลังจากนั้นก็ออกจากกลุ่มวีแชทไปด้วยเช่นกัน
หม่าจื้อเถิงโกรธจัดจนหน้าแดงก่ำในในทันใด เขาคิดไม่ถึงว่าเรื่องราวกจะกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
ไม่นานสมาชิกในห้องแชทของกลุ่มห้องเรียน (เพื่อนเก่าสมัยปริญญาตรี) ก็ทยอยออกจากกลุ่มจนจำนวนสมาชิกห้าสิบกว่าคนลดฮวบลงไปครึ่งหนึ่ง ส่วนคนอื่นๆ คาดว่าคงจะปิดการแจ้งเตือนข้อความไปแล้ว
หม่าจื้อเถิงกับสวีฮุ่ยฮุ่ยตกตะตึงจนตาค้าง พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นได้
หม่าจื้อเถิงส่งข้อความเข้าข้างตนเองออกไป: [เหอะๆ ดัดจริตจริงๆ ทำเป็นดูถูกพฤติกรรมคนอื่น ไม่ใช่เป็นเพราะเห็นว่าตอนนี้เฉินชางเป็นบุคลากรในสังกัดหรอกหรือ ชิ! แต่ละคนรีบร้อนจะเลียแข้งเลียขา?]
ในเวลานี้มีเพื่อนนักศึกษาคนหนึ่งส่งข้อความไปว่า: [นายนี่มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ล้มเหลวในการเกิดมาเป็นคนจริงๆ คิดไม่เลยถึงว่าจะยังไม่รู้ตัวอีกว่าต้นตอของปัญหาที่เกิดขึ้นคืออะไร ระยะเวลาสามปีที่นายเรียนปริญญาโทมามันช่างไร้ค่าจริงๆ]
หลังจากที่คนคนนั้นส่งข้อความไปแล้วก็ไม่ใส่ใจอะไรอีก กดปุ่มออกจากกลุ่มวีแชททันที
หม่าจื้อเถิงโกรธจัดจนอกแทบระเบิดในทันใด!
เฉินชางออกจากกลุ่มวีแชทไปแล้ว ก็ไม่สนใจอะไรแล้วว่าใครจะพูดอะไรทำอย่างไร
คนประเภทนี้ขาดทัศนคติที่ถูกต้อง ไม่มีประโยชน์ที่จะเสวนาด้วยแม้แต่ครึ่งคำ
ไม่นานเฉินชางก็ถูกลากเข้าไปในวีแชทกลุ่มอันใหม่
หลัวโจวหัวเราะ: [กลุ่มวีแชทกลุ่มนี้สงบเงียบ]
ทุกคนต่างก็พากันหัวเราะและเริ่มพูดคุยกัน
เฉินชางถึงเพิ่งรู้ว่าเมื่อครู่นี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น
เฉินชางค่อนข้างรู้สึกซาบซึ้งใจขึ้นมาทันใด อันที่จริงแล้วคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นคนดี แต่ในห้องเรียนก็มักจะมีคนที่มีนิสัยชอบก่อเรื่องอยู่คนสองคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่รู้สึกว่าตนเองเก่ง
เฉินชางหัวเราะ อดกล่าวไม่ได้ว่า: [ขอบคุณนะทุกคน]
ต่งจยายิ้มเล็กน้อย: [อั่งเปาๆ จะพูดอะไรก็ไม่สู้มอบอั่งเปา รับคำขอบคุณเป็นอั่งเปา]
ทุกคนต่างก็หยอกล้อสนุกสนาน
เฉินชางเองก็รู้สึกสนุกสนานไปด้วย สถานะทางการเงินของเฉินชางในปัจจุบันนี้ไม่เหมือนแต่ก่อน เมื่อวันที่หนึ่งกันยายน เขารับเงินล้านจากคลินิกศัลยกรรมจื้อซิน ตอนนี้เฉินชางมีเงินเก็บล้านกว่าหยวน
เฉินชางหัวเราะแล้วก็ทยอยส่งอั่งเปาสองร้อยหยวนให้เพื่อนๆ
ต่งจยาเดิมทีแค่หยอกเล่น ทุกคนก็แค่หยอกเล่นสนุกสนานด้วยเช่นกัน
คิดไม่ถึงว่าเฉินชางจะมีเงินอยู่ในมือเยอะขนาดนี้!
[สุดยอดเลยเถ้าแก่เฉิน!]
[ประธานเฉิน นี่คุณเกาะเศรษฐินีกินหรือไงครับ]
[มีความเป็นไปได้ ถึงยังไงเฉินชางก็หล่อขนาดนี้ มีใบหน้าขาวละอ่อนเป็นไม้ตาย!]
เฉินชางถึงกับหวาดกลัวถึงขีดสุด ทำไมพวกนายถึงรู้เรื่องนี้ได้
อย่าว่าไป ถ้าไม่ใช่เพราะเศษรฐินีพวกนี้ ตนไม่มีทางที่จะมีเงินเยอะขนาดนี้ได้…