บทที่ 280 เฉินชางต่างหากเป็นแพทย์ผู้นำทีมผ่าตัด!
เกิ่งเหยียนมองเฉินชาง ถามด้วยรอยยิ้มว่า “เตรียมจะซื้อบ้านหรือเนี่ย ก้าวหน้าใหญ่แล้ว! จะแต่งงานแล้ว?”
เฉินชางส่ายหน้า “ยังไม่มีแฟนเลยจะแต่งงานได้ไงกัน แต่ซื้อบ้านเตรียมไว้ก่อน ถึงยังไงหน้าที่การงานก็มั่นคงแล้ว เลยหาที่อยู่ให้เป็นหลักแหล่ง”
เมื่อคุยถึงเรื่องคู่รัก เฉินชางก็เปลี่ยนเรื่องคุย “เธอก็มาดูบ้าน?”
เกิ่งเหยียนเป็นคนอันหยาง ครอบครัวมีฐานะดี สมัยเรียน เวลาไปกินอาหารกับเฉินชาง เธอมักเป็นฝ่ายเสนอตัวจ่ายบิลค่าอาหารอยู่บ่อยครั้ง และเพื่อที่จะรักษาความรู้สึกของเฉินชาง เวลาสั่งอาหาร เธอจะไม่ค่อยสั่งเมนูที่มีราคาสูง
ต่อมาหลังจากที่เลิกกันแล้ว ด้วยสาเหตุหลายด้าน ถึงอย่างไรแต่ละคนต่างก็มีอุดมการณ์เป็นของตนเอง ไม่อาจตราหน้าใครว่าเป็นฝ่ายผิดได้
กล่าวได้เพียงว่าทุกคนมีสิ่งที่เป้าหมายของตนเองที่ต้องตามล่า!
เกิ่งเหยียนพยักหน้า “อืม ใช่ ที่นี่ห่างจากโรงพยาบาลตงต้าไม่ไกลมาก ก็เลยเข้ามาดูหน่อย”
เฉินชางชะงัก อดถามไม่ได้ว่า “ตอนที่จิ่งหรานมาทำงานที่โรงพยาบาลตงต้าเขาได้สวัสดิการบ้านพักอาศัยด้วยไม่ใช่หรือ”
เกิ่งเหยียนพยักหน้า “ใช่ เดิมทีบอกว่ามีสวัสดิการบ้านอาศัยให้ แต่เป็นบ้านเก่า อีกทั้งพื้นที่ไม่กว้างขวาง ฉันเตรียมจะแต่งงาน หลังจากแต่งงานก็จะมีลูก อยากหาบ้านที่มีพื้นที่กว้างขวางหน่อย โรงพยาบาลเลยให้เงินสนับสนุนมา ฉันก็เลยแวะเข้ามาดู”
เกิ่งเหยียนอดกล่าวไม่ได้ว่า “การที่นายเลือกไม่เรียนต่อปริญญาโทน่ะถูกต้องแล้ว ตอนนี้งานหายาก คนที่เพิ่งเรียนจบปริญญาโทออกมายังหางานไม่ได้เลย เพื่อนพวกเรายังกลุ้มใจเรื่องนี้กันอยู่เลย”
เฉินชางหัวเราะกระอักกระอ่วน “ฉันก็กำลังเรียนปริญญาโทอยู่ไม่ใช่หรือไง ตอนนี้พวกเธอเป็นรุ่นพี่ฉันแล้ว”
เกิ่งเหยียนอดหัวเราะไม่ได้ “ดูแล้วการทำงานแผนกฉุกเฉินมาสามปีทำอะไรนายไม่ได้จริงๆ นายถึงยังเป็นคนขี้เล่นได้ขนาดนี้”
เฉินชางหัวเราะ ไม่พูดอะไร
หยางจยาฮุ่ยจูงเฉินหลัวกับเฉินต้าไห่ไปดูแบบบ้านด้วยท่าทางตื่นเต้นดีใจ คุยกับพนักงานขายอย่างซื่อๆ ตรงไปตรงมา พนักงายขายดูออกว่าหยางจยาฮุ่ยมาจากชนบท ถึงจะมาจากชนบท แต่มือก็มีแผ่นพับแบบบ้านหลายแบบถืออยู่ในมือ
หยางจยาฮุ่ย เฉินหลัว และเฉินต้าไห่ ไม่มีใครสนใจเฉินชางเลยสักนิด
เฉินชางถามขึ้นว่า “อ้อ จริงด้วย นี่เธอมาคนเดียวหรือ”
เกิ่งเหยียนส่ายหน้า “ฉันมากับจิ่งหร่าน อ้อ! จริงด้วย จิ่งหร่านเป็นสามีฉัน เรากำลังจะแต่งงานกัน ถึงวันนั้นนายอย่าลืมมาร่วมงานนะ”
เฉินชางอดหัวเราะไม่ได้ “โต๊ะสำหรับแฟนเก่าหนึ่งโต๊ะ?”
เกิ่งเหยียนแทบจะหัวเราะพรวดออกมา เธอด่าด้วยเสียงหัวเราะ “ไสหัวไปเลย งั้นทั้งโต๊ะก็มีนายนั่งคนเดียว!”
เฉินชางหัวเราะลั่น
ทั้งสองความสัมพันธ์ดีมากจริงๆ สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ความรักของทั้งสองไม่ใช่รักแรกพบ เฉินชางเป็นหัวหน้าห้อง เกิ่งเหยียนเป็นสมาชิกในห้องเรียน ทั้งสองเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาก ความสัมพันธ์เริ่มพัฒนาขึ้นในภายหลัง
และด้วยอุปนิสัยที่เข้ากันได้ ทั้งสองก็เลยขยับสถานะมาเป็นคนรัก
แต่เกิ่งเหยียนเป็นผู้หญิงที่มีอุดมการณ์กว้างไกล สุดท้ายต่างก็เลิกรากันไป
เฉินชางหัวเราะ “ฉันคิดว่าเธอจะเรียนถึงปริญญาเอกเสียอีก เรียนจบปริญญาโทก็จะแต่งงานแล้วหรือเนี่ย นี่ไม่ตรงตามที่เธอกล่าวปฏิญาณไว้ในตอนนั้นนะ!”
เกิ่งเหยียนยิ้มเยาะ “ตอนนั้นนายบอกเป็นตายยังไงก็ไม่เรียนต่อปริญญาโท แต่ตอนนี้นายเรียนปริญญาโทอยู่?”
หลังจากพูดจบ เกิ่งเหยียนก็ถอนหายใจออกมา “สมัยนั้นยังไร้เดียงสาเกินไป! ชีวิตเป็นไปตามแผนที่วางไว้ที่ไหนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่เราบอกว่าเราเลือกทางเดินชีวิตของเราเองก็ไม่สู้บอกว่า ชีวิตต่างหากที่เลือกทางเดินชีวิตให้เรา…
อันที่จริงทางเลือกที่นายเลือกก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลว มันเหมือนกับฉันเรียนจบปริญญาโทแล้วเลือกที่จะแต่งงานกับทำงาน ทางเลือกนี้ก็ไม่ได้เป็นทางเลือกที่ผิดอะไร ทุกคนมีสถานการณ์ที่แตกต่างกัน และชีวิตคนเราไม่เคยเดินไปตามบทที่เขียนไว้ จินตนาการกับความเป็นจริงมีช่องว่างระหว่างกัน…
คนเราควรเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสมตามสถานการณ์ของตนเอง!”
เฉินชางหัวเราะ ไม่ได้พูดอะไร เกิ่งเหยียนเข้าใจสิ่งนี้ เมื่อเทียบกับแต่ก่อน ความเผด็จการของเธอเปลี่ยนแปลงเป็นลดน้อยลงไปมาก
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ หลังจากที่เกิ่งเหยียนลังเลอยู่พักหนึ่ง เธอมองเฉินชางและกล่าวอย่างจริงจังว่า “แต่เวลาที่นายมีทางเลือก ฉันยังคิดว่านายควรเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเอง ฉันคิดว่าการที่นายเลือกเรียนต่อปริญญาโทในครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ดี เพราะถึงยังไงนายก็เป็นคนเก่ง…ผลการเรียนนายต้องออกมาดีแน่…
…โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายทำงานอยู่ในโรงพยาบาลมานานขนาดนี้ นายก็น่าจะรู้ว่าโรงพยาบาลให้ความสำคัญกับประวัติการศึกษาสูงมาก วุฒิปริญญาตรีเป็นได้แค่แพทย์ประจำบ้าน แต่จิ่งหรานตอนนี้เป็นรองหัวหน้าแผนกไปแล้ว…
…ฉันไม่ได้กำลังบอกว่าจิ่งหรานยอดเยี่ยมแค่ไหน แล้วก็ไม่ได้กำลังคุยโว นายรู้จักฉันดี ฉันแค่คิดว่าบางครั้งประวัติการศึกษาก็มีความสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราเรียนแพทย์ ประวัติการศึกษาช่วยย่นระยะเวลาในการก้าวไปสู่ตำแหน่งที่ดีได้ไม่น้อย”
เฉินชางไม่ปฏิเสธ เพราะนี่คือความจริง
ที่โรงพยาบาล การที่คุณจะเลื่อนตำแหน่งได้รวดเร็วเป็นเรื่องที่ยากมาก หลังจากเรียนจบปริญญาตรีซึ่งใช้ระยะเวลาห้าปี คุณสามารถสอบระดับกลางได้ ซึ่งก็คือตำแหน่งนั้นคือแพทย์ประจำบ้าน และผ่านไปอีกห้าปีถึงสอบเป็นผู้ช่วยหัวหน้าแพทย์ และอีกห้าปีถึงสอบเป็นหัวหน้าแพทย์
แต่วุฒิปริญญาโท ใช้ระยะเวลาการศึกษาสองปีก็สอบเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาล ทำงานไปสามปีสอบเป็นรองหัวหน้า และทำงานไปอีกห้าปีสอบเป็นหัวหน้า!
วุฒิปริญญาเอกยอดเยี่ยมยิ่งกว่า พอเรียนจบก็เป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลเลย ผ่านไปสองปีก็สอบเป็นรองหัวหน้า และผ่านไปอีกสามปีก็สอบเป็นหัวหน้าได้เลย
คำนวณดูแล้วคุณห่างตั้งกี่ปี?
จิ่งหรานเคยทำงานเป็นนักวิจัยหลังปริญญาเอกมาก่อน พอเขาเข้ามาทำงานที่โรงพยาบาลตงต้า เขาก็ได้เป็นรองหัวหน้าแผนกเลยทันที เขาอายุเพิ่งจะอายุสามสิบต้นๆ ก็บรรลุในสิ่งที่คนอายุสี่สิบห้าสิบอาจทำไม่ได้ก็ได้
ทำไมเกณฑ์การเลื่อนตำแหน่งของโรงพยาบาลถึงได้สูงนัก
ก็เพราะคนมีศักยภาพสูงเหล่านี้!
เกิ่งเหยียนถอนหายใจแล้วกล่าวต่อ “จะว่าไปประวัติการศึกษาไม่ได้เป็นแค่ข้อพิสูจน์ ตลอดช่วงระยะเวลาในการเรียน นายจะได้เรียนรู้อะไรหลายสิ่งหลายอย่าง ได้เทคนิคต่างๆ มากขึ้น…
…ทำไมจิ่งหรานถึงเสนอเงื่อนไขกับทางโรงพยาบาลได้ ทั้งเรื่องบ้าน เรื่องขอตำแหน่งงานให้ฉัน นั่นก็เป็นเพราะจิ่งหรานมีความเชี่ยวชาญในด้านที่โรงพยาบาลตงต้ายังขาดอยู่ โรงพยาบาลตงต้าต้องการคนมีความสามารถเช่นนี้…
…นายไม่ได้ไปงานต้อนรับนักศึกษาใหม่เมื่อครั้งที่แล้ว มีนักศึกษาใหม่คนหนึ่งหมดสติไป ต่อมาผลวินิจฉัยออกมาว่าเป็นโรคพยาธิไฮดาติดในปอด โรคนี้ที่ตงหยางไม่มีหมอคนไหนรักษาได้ ถ้าไม่ใช่เพราะจิ่งหรานกับรุ่นพี่เฉินที่มาร่วมงานในวันนั้น นักศึกษาคนนั้นคงจากโลกนี้ไปแล้ว!…
…พูดตรงๆ นะ หัวใจสำคัญคือฝีมือในการวินิจฉัยและรักษา! ถ้านายไม่ได้เปิดโลกกว้าง นายก็จะไม่ได้เห็นเทคนิคการผ่าตัดที่มากมายหลายหลาก และโรคภัยไข้เจ็บอีกนานาชนิด!”
เฉินชางตกตะลึง พยาธิไฮดาติดในปอด? นั่นมันเคสที่ตนกับจิ่งหรานช่วยกันรักษา?
ฉัน……
เกิ่งเหยียนกล่าวต่อ “แล้วก็อีกอย่าง นายดูจิ่งหรานสิ มาทำงานงานที่โรงพยาบาลตงต้าได้สวัสดิการบ้านพักที่อยู่อาศัย เท่ากับได้เงินตั้งตัวหนึ่งล้านหยวน ทำงานโรงพยาบาลหกปีหาเงินได้เท่าไหร่กันเชียว หมอตำแหน่งทั่วไปเงินเดือนสามถึงห้าพันหยวนต่อเดือนจัดว่าไม่เลวแล้ว กว่าจะลืมตาอ้าปากได้ก็ต้องใช้เวลาสามถึงห้าปี”
เฉินชางมองเกิ่งเหยียน
ผม…
ในเวลานี้ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนเรียก “เกิ่งเหยียน!”
เกิ่งเหยียนขานรับทันควัน “มาๆ เฉินชาง ฉันจะแนะนำให้นายรู้จักกับสามีของฉัน”
ระหว่างที่พูดเกิ่งเหยียนก็หันไปจูงจิ่งหรานมา เธอกำลังจะกล่าวแนะนำว่า ฉันจะแนะนำให้นายรู้จัก ท่านนี้คือ…
จิ่งหรานชะงัก “หมอเฉิน?”
เฉินชางยิ้มกระอักกระอ่วน “สวัสดีครับหมอจิ่ง!”
ขณะที่ทั้งคู่ทักทายกัน เกิ่งเหยียนก็ได้แต่ยืนงงเป็นไก่ตาแตก
นี่มันอะไรกันเนี่ย
“รู้จักกันหรือเนี่ย”
จิ่งหรานค่อนข้างรู้สึกตื่นเต้นดีใจที่ได้เจอเฉินชาง เพราะถึงอย่างไรเสียการร่วมมือกันในครั้งนั้น ฝีมือของเฉินชางก็เป็นสิ่งที่ยากจะลืมเลือน
“รู้จักกันแน่นอนครับ ผู้ชายคนนี้ก็คือหมอเฉินที่ผ่าตัดช่วยชีวิตนักศึกษาที่ป่วยเป็นโรคพยาธิไฮดาติดในปอดคนนั้นกับผมที่โรงพยาบาลประชาชน!…
…ผมขอแนะให้คุณรู้จัก ท่านนี้คือหมอเฉินผู้มีฝีมือการผ่าตัดขั้นสูงมาก มีความเชี่ยวชาญมากจน ผมเทียบไม่ได้! ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ตอนนั้นผมเองก็ทำไม่ได้”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ จิ่งหรานก็หัวเราะเขินอาย “…เมื่อตอนนั้นที่ผมเล่าให้คุณฟังผมโม้ ความจริงแล้วหมอเฉินเป็นแพทย์ผู้นำทีมผ่าตัดในครั้งนั้น ส่วนผมแค่คอยให้ความช่วยเหลือ ฝีมือระดับเทพของหมอเฉินเหนือชั้นกว่าผมมาก!”
คำพูดเหล่านี้ทำเอาเกิ่งเหยียนถึงกับตกตะลึงจนตาค้าง และพูดอะไรไม่ออกสักคำ!
เกิ่งเหยียนมองหน้าจิ่งหรานด้วยสีหน้างุนงง เมื่อกี้นี้ฉันเพิ่งจะหยิบยกเรื่องราวของคุณมาคุยโม้โอ้อวดไปหนึ่งยก คุณ…คุณทำฉันผิดหวัง!
เมื่อเห็นสีหน้าของเกิ่งเหยียนเปลี่ยนไป จิ่งหรานก็คิดว่าเธอคิดถึงรูปพยาธิที่เขาส่งไปให้เธอดูเมื่อครั้งนั้น สีหน้าของเธอถึงได้เปลี่ยนกะทันหัน “เกิ่งเหยียน รูปที่ส่งให้คุณเมื่อครั้งนั้น…ผมคิดว่า…หมอเฉินส่งรูปให้คนพิเศษดูเป็นคนแรก…ผมก็เลย…”
สีหน้าของเกิ่งเหยียนพลันเปลี่ยนอีกครั้ง!
เธอมองเฉินชางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด นายจงใจสินะ?
เฉินชางก้าวถอยหลังอย่างควบคุมไม่อยู่ เขามองจิ่งหราน ฉิบละ คุณอย่าดึงผมลงเหวสิ!
จิ่งหรานรีบกล่าวทันทีว่า “ความจริงแล้ว หมอเฉินแนะนำผมว่าอย่าส่งรูปให้คุณ!”
[ติ๊ง! ค่าความรู้สึกดีของเกิ่งเหยียน -5!]
เฉินชางหน้าถอดสี “เอ่อ…ไว้เราค่อยเจอกันวันหลังนะ ผมมีธุระกะทันหัน…”
และในตอนนี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น “ช่วยด้วย ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยที มีคนตกลงมาจากชั้นบน!”
เฉินชางกับจิ่งหรานหน้าถอดสี พวกเขาไม่มีเวลาสนใจเรื่องอื่นอีก ต่างก็วิ่งตรงไปทางนั้นทันที