บทที่ 327 ผมสู้อาจารย์เฉินไม่ได้! (2)
จากนั้นเฉินชางก็เริ่มเย็บและซ่อมแซมหลอดลมที่เสียหาย ทุกคนรอบๆ ยื่นศีรษะเข้ามาดู คอยสังเกตอย่างละเอียด เมื่อได้เห็นการทำงานของเขาก็พากันผงกศีรษะเบาๆ สุดยอดจริงๆ ด้วย
หลอดลมเสียหายจนมีสภาพแบบนั้น ถูกเย็บอย่างละเอียดแน่นหนา ลดความเป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดรอยแผลเป็นอย่างสุดความสามารถ ใช้วิธีการเย็บแผลที่เหมาะสม…
สุดยอด!
……
ไม่นานการผ่าตัดก็เสร็จสิ้น!
ขณะที่เฉินชางกำลังจะทำงานสุดท้าย อยู่ๆ ซย่าเกาเฟิงก็พูดขึ้นว่า “เสี่ยวเฉิน ให้โอกาสคนหนุ่มสาวฝึกฝนหน่อยเถอะ คุณเองก็ลำบากมากแล้ว พักผ่อนหน่อยนะครับ”
เฉินชางที่เตรียมจะพูดว่าไม่ลำบากเลยครับพลันต้องชะงักไปทันที! เพราะตอนนี้หมอแผนกศัลยกรรมทรวงอกที่ยังดูอายุน้อยตรงหน้ากำลังมองเฉินชางด้วยใบหน้าแดงก่ำ
เฉินชางยิ้มกระอักกระอ่วน ตอนนี้จึงค่อยมีปฏิกิริยาขึ้นมา
ที่เขาไม่ให้คนอื่นทำเพราะไม่อยากรบกวนคนอื่น หากเขาผ่าตัดเสร็จแล้วให้คนอื่นเก็บงานที่เหลือ…ดูเอาเถอะว่าในที่นี้มีใครที่มีคุณวุฒิต่ำกว่าเฉินชางบ้าง ดังนั้นไม่ว่าจะมอบหมายงานให้ใครก็ดูไม่เหมาะสมไปหมด
ทว่าตอนนี้สายตาที่หมอแผนกศัลยกรรมทรวงอกใช้มองตน…เหมือนกับสายตาที่ใช้มองจิ่งหราน
เฉินชางรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย พยักหน้าให้เขาแล้วพูดว่า “รบกวนแล้วครับ”
หมอน้อยรีบพยักหน้า “อาจารย์เฉิน ไม่รบกวน ไม่ลำบากเลยครับ! คุณผ่าตัดเปิดช่องอกเพื่อตรวจสอบและหยุดเลือดได้ดีจริงๆ! มีหลอดเลือดเล็กๆ ที่เสียหายมากมายคุณก็ยังหาเจอจนหมด…แล้วยังเย็บหลอดลมด้วย สุดยอดจริงๆ ครับ! หวังว่าต่อไปจะได้เรียนรู้กับอาจารย์เฉินนะครับ”
เฉินชางชะงักไปแล้ว
อาจารย์เฉินอีกแล้ว…
เฮ้อ ก็ยังฟังดูดีกว่าอาจารย์ชาง
แต่ถูกคนที่อายุมากกว่าตัวเองเรียกอาจารย์แบบนี้ ออกจะแปลกๆ อยู่นะ
มันทำให้เขารู้สึก…สบาย
อืม!
คิดถึงตรงนี้ เฉินชางก็รู้สึกว่าอาจารย์อันและหัวหน้าถานจงหลินติดหนี้คำว่า ‘อาจารย์ผู้มีพระคุณ!’ ของเขาอยู่!
ขณะเดียวกัน ภายในห้องผ่าตัดของแผนกศัลยกรรมทั่วไป ณ โรงพยาบาลประชาชนแห่งมณฑล รอบตัวถานจงหลินถูกห้อมล้อมไปด้วยหมอในแผนก
วันนี้มีผู้ป่วยพิเศษคนหนึ่งมาที่โรงพยาบาลประชาชนแห่งมณฑล สภาพของผู้ป่วยค่อนข้างอันตราย ต้องทำการเย็บเส้นเอ็นซึ่งมีระดับความยากสูง ซึ่งถานจงหลินโทรหาเฉินชางแล้วแต่อีกฝ่ายไม่รับสายจึงทำได้เพียงลงมือผ่าตัดด้วยตัวเองแล้ว
โชคดีที่…สุดท้ายก็สำเร็จ!
ในตอนนี้ ถานจงหลินสัมผัสได้ถึงความลึกซึ้งของ ‘วิธีของเฉิน’ ของอาจารย์เสี่ยวเฉินมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ตนยังห่างชั้นอีกไกลจริงๆ
หมอที่อยู่รอบๆ เห็นถานจงหลินเย็บเส้นเอ็นได้อย่างประณีตก็พากันปรบมือชื่นชม
นี่ถือเป็นเคสตัวอย่างได้เลย!
หัวหน้าถานช่างแข็งแกร่ง!
ทุกคนพากันปรบมือ
หัวหน้าแผนกศัลยกรรมมือของโรงพยาบาลตงต้าสาขาสองที่มาสังเกตการณ์อยู่ข้างๆ ก็ร่วมปรบมือแล้วกล่าวชมว่าดีไปด้วย
“สุดยอด! สุดยอดจริงๆ การเย็บเส้นเอ็นของหัวหน้าถานในตอนนี้ยอดเยี่ยมไปเลยครับ ทำให้ผมต้องมองใหม่แล้ว ไม่แปลกใจเลยที่คุณรักษาดาราใหญ่อย่างสิงอวี่ได้!”
ทว่าถานจงหลินกลับทอดถอนใจออกมา เฮ้อ…ยังสู้อาจารย์เสี่ยวเฉินไม่ได้ เทียบไม่ได้แม้แต่ครึ่งหนึ่งของอาจารย์เสี่ยวเฉิน
เมื่อถานจงหลินได้ยินคำชื่นชมของทุกคนก็ส่ายหน้าแล้วทอดถอนใจออกมา บอกไปตามความจริงว่า “วิธีการเย็บแบบนี้ผมเรียนมาจากคนอื่นครับ ยิ่งไปกว่านั้น…ยังเรียนมาแค่ผิวเผิน ยังเข้าไม่ถึงแก่นแท้เลยครับ!”
หัวหน้าแผนกศัลยกรรมมือแห่งโรงพยาบาลตงต้าสาขาสองที่อยู่ข้างๆ เกิดความสนอกสนใจขึ้นมาโดยพลัน “มิน่าล่ะ ผมว่าวิธีนี้ประณีตจนน่าอัศจรรย์จริงๆ มันชื่อวิธีอะไรหรือครับ”
ถานจงหลินคิดครู่หนึ่ง “เรียกว่า ‘วิธีของเฉิน’”
แม้คนรอบๆ จะไม่เข้าใจ แต่ก็จดจำชื่อที่ฟังดูแล้วยิ่งใหญ่นี้เอาไว้ในใจ แม้จะไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่จะต้องเป็นชื่อของคนที่ยอดเยี่ยมแน่นอน
ถานจงหลินกล่าวเนิบช้าว่า “หากคนคนนั้นมาผ่าตัดเคสนี้ คงใช้เวลาน้อยลงครึ่งหนึ่ง นอกจากนี้สิ่งสำคัญก็คือ ผมมั่นใจเต็มร้อยเลยว่าเขาจะทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เหมือนเดิม!”
เมื่อเขากล่าวเช่นนี้ออกมา ทั้งห้องก็พากันตื่นตกใจ!
เป็นไปได้หรือ อัตราความสำเร็จ 100% ในการผ่าตัดเคสแบบนี้น่ะหรือ จะเวอร์ไปหรือเปล่า!
กระทั่งหัวหน้าแผนกศัลยกรรมมือของโรงพยาบาลตงต้าสาขาสองก็ยังเกิดความสงสัย “หัวหน้าถาน…คนคนนั้นที่ว่านี่หมายถึงใครหรือครับ”
ถานจงหลินส่ายหัว ไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก
หัวหน้าแผนกศัลยกรรมมือเห็นถานจงหลินมีท่าทางหดหู่ก็รีบตบไหล่แล้วพูดไปว่า “ไม่เป็นไร คลื่นลูกใหม่ไล่คลื่นลูกเก่า คนรุ่นใหม่เหนือคนรุ่นเก่า! หัวหน้าถาน จะช้าจะเร็วคุณก็ต้องก้าวข้ามเขาได้แน่”
หากไม่ปลอบใจยังดี แต่พอปลอบใจขึ้นมาทำเอาถานจงหลินเกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว!
สาเหตุก็คือ…อีกฝ่ายเป็นคลื่นลูกใหม่ ส่วนตนเองเป็นคลื่นลูกเก่าไงล่ะ! อีกฝ่ายเป็นคนรุ่นใหม่ ส่วนตนเองเป็นคนรุ่นเก่าไงล่ะ!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ถานจงหลินก็ยิ้มเจื่อนๆ ออกมา หากอยากไล่ตามเฉินชางให้ทัน ดูแล้วยังอีกยาวไกล ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่อยากกินขาหมูแล้ว!
ซื้อมามากขนาดนั้น หากตนไม่กินแล้วภรรยามาหาจะทำอย่างไร
กลุ้มใจจริงวุ้ย!
คิดถึงตรงนี้ ถานจงหลินก็หันไปมองทุกคน จู่ๆ ก็หัวเราะออกมาแล้วพูดว่า “คืนนี้ภรรยาของพวกคุณไม่อยู่บ้านสินะครับ ถ้างั้นทุกคนก็มารวมตัวกันที่บ้านผมเป็นไง ผมซื้อขาหมูมาด้วย ตอนเย็นจะเอาไปตุ๋นให้ทุกคนกิน ทุกคนมาชิมกันด้วยนะครับ!”
……
……
[ติ๊ง! การผ่าตัดเปิดช่องอกเพื่อตรวจสอบและหยุดเลือดประสบความสำเร็จ เย็บหลอดเลือด…หลอดลม… ประเมินผลโดยรวมแล้วได้รับรางวัลคือ หนังสือทักษะระดับสีม่วง 1 เล่ม]
เฉินชางดีใจ ไม่เลว ได้รับหนังสือทักษะมาหนึ่งเล่ม แล้วยังเป็นระดับสีม่วงด้วย
ยังต้องรออะไรอีกล่ะ
เฉินชางรีบเปิดใช้ด้วยความคาดหวังที่อัดแน่นเต็มอก
[ติ๊ง! ยินดีด้วย คุณได้รับทักษะการผ่าตัดโรคเลื่อนระดับปรมาจารย์ หลังจากใช้งานแล้วจะได้รับทักษะการผ่าตัดโรคเลื่อนทักษะใดก็ได้ตั้งแต่ระดับ 3 ลงไป]
เฉินชางชะงักไป
ผ่าตัดโรคเลื่อนหรือ
ผมจะเอาไอ้นี่ไปทำอะไร
แผนกฉุกเฉินมีการผ่าตัดนี้ด้วยเหรอครับ
นี่มันการผ่าตัดของแผนกศัลยกรรมทั่วไปไม่ใช่หรือ
เมื่อเฉินชางเห็นรางวัลที่ตนได้รับก็ตกตะลึงไปทันที
ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย!
อย่างไรก็ตาม ในตอนที่ระบบส่งเสียงแจ้งเตือนขึ้นอีกครั้ง เฉินชางก็ชะงักไปโดยพลัน!
[โรคเลื่อนมีหลายประเภท รวมไปถึงภาวะสมองเคลื่อนที่[1] โรคเลื่อนบริเวณเยื่อหุ้มหัวใจ ไส้เลื่อนบริเวณสะดือ[2] ไส้เลื่อนที่เอว[3] ไส้เลื่อนที่เกิดบริเวณพังผืดกลางลำตัว ไส้เลื่อนกระบังลม ไส้เลื่อนกระบังลมที่ส่งผลบริเวณหลอดอาหาร ไส้เลื่อนบริเวณแผลผ่าตัด เป็นต้น]
โรคเลื่อนมีหลายชนิดขนาดนี้เชียวหรือ เฉินชางจำเป็นต้องพูดจริงๆ ว่าตัวเองมีประสบการณ์น้อยเกินไป
ถึงกับมีคนจํานวนหนึ่งที่ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องภาวะโรคเลื่อนมากนัก บางคนถึงกับเอาไปรวมกลับอายพิศม์[4]ด้วยซ้ำ
อายพิศม์คือพิษจากก๊าซที่เกิดจากการสลายตัวของซากพืชซากสัตว์ หลักๆ เกิดจากการที่ไม่มีใครกำจัดซากพืชซากสัตว์อย่างมีประสิทธิภาพ รวมกับที่อากาศร้อนเกินไปจนครบเงื่อนไขที่จะก่อให้เกิดเป็นอายพิศม์ขึ้นมา
ความจริง ‘พิศม์’ ที่ว่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็น ‘อาย (ก๊าซ)’ เท่านั้น มันยังเหมารวมไปถึงสภาพแวดล้อมที่ก่อให้เกิดจุลินทรีย์ได้ง่าย และก่อให้เกิดโรคติดต่อเช่นโรคมาลาเรียได้ง่ายด้วย
ซึ่งโรคเลื่อนก็ไม่ใช่ก๊าซ (ภาษาจีนออกเสียงคล้ายกันจึงมีคนสับสน) แต่เป็นภาวะที่อวัยวะในร่างกายเคลื่อนออกจากตำแหน่งปกติ จนยื่นผ่านผิวกายในส่วนที่บอบบางออกมา ยกตัวอย่างเช่นไส้เลื่อนที่เกิดจากลำไส้เล็กเลื่อนลงต่ำ โรคเลื่อนบริเวณเยื่อหุ้มหัวใจก็คือการที่หัวใจเลื่อนออกจากเยื่อหุ้มหัวใจลงไปด้านล่าง เป็นต้น
หากจะเปรียบอวัยวะในร่างกายมนุษย์เป็นคน โรคเลื่อนก็คล้ายกับการที่มนุษย์สูญเสียความยับยั้งชั่งใจจนบุกเข้าไปในประตูบ้านคนอื่นนั่นเอง
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นโรคเลื่อน (ซั่งชี่ )หรืออายพิศม์ (จั้งชี่) ก็ไม่ใช่ก๊าซ (ชี่) เพียงแต่บรรพบุรุษของเราชอบคำศัพท์นี้ คำว่า ‘ชี่’ ในทางการแพทย์จีนจึงเป็นเพียงคำที่นำมาใช้อ้างอิง ไม่ได้มีความหมายว่าก๊าซเหมือนในยุคปัจจุบัน
……
หลังจากเฉินชางอ่านแจ้งเตือนของระบบอย่างละเอียดแล้วก็เข้าใจทันที
ดูแล้วเขาคงได้ทักษะที่ยอดเยี่ยมมาแล้วสินะ
ความจริงสำหรับเฉินชางแล้ว ทักษะจะยอดเยี่ยมหรือไม่ก็ไม่เป็นปัญหา แต่ต้องนำไปใช้ได้จริงต่างหากจึงจะสำคัญที่สุด ทางที่ดีขอเป็นทักษะที่พบในปฏิบัติการทางคลินิกบ่อยๆ ในตอนที่ผู้ป่วยเกิดอาการเช่นนี้จะได้ไม่รู้สึกว่าตนไร้ความสามารถ
ดูแล้วเป็นทักษะที่ไม่เลวเลย
[1] ภาวะสมองเคลื่อนที่ (brain herniation) เป็นผลข้างเคียงที่อันตรายถึงชีวิตของภาวะความดันในกะโหลกสูงมาก ซึ่งเกิดเมื่อบางส่วนของสมองถูกบีบผ่านโครงสร้างต่างๆ ภายในกะโหลก
[2] ไส้เลื่อนบริเวณสะดือ (umbilical hernia) มักพบในเด็กทารกที่คลอดก่อนกำหนด เนื่องจากผนังหน้าท้องส่วนที่อยู่ใต้ชั้นของผิวหนังยังปิดไม่สนิท ทำให้บางส่วนของลำไส้เคลื่อนตัวออกมาอยู่ใต้สะดือและดันจนสะดือโป่งหรือที่เรียกกันว่า สะดือจุ่น
[3] ไส้เลื่อนที่เอว (lumbar hernia) ระหว่างกระดูกสันหลังมีแผ่นรองที่เรียกว่าดิสก์ intervertebral แผ่นดิสก์แต่ละแผ่นมีศูนย์กลางที่อ่อนนุ่มคล้ายเจลล้อมรอบด้วยชั้นนอกที่แข็งเป็นเส้นใยเรียกว่าแกนกลาง ซึ่งไส้เลื่อนบริเวณเอวเกิดขึ้นจากการลื่นไถลหรือฉีกขาดของแผ่นดิสก์ที่ทำหน้าที่เป็นตัวรับแรงกระแทกระหว่างกระดูกสันหลัง (อันเป็นผลมาจากการเคลื่อนไหว การล้ม การยกของหนัก)
[4] อายพิศม์ – ทฤษฎีว่าด้วยไอพิษที่ระเหยจากดินและพืช หรือสิ่งโสโครก (Miasmatic Theory) ทำให้เกิดโรค เป็นความคิดความเชื่อที่สืบทอดกันมานาน ในเอกสารสมัยก่อนมีการเรียกไอระเหยเหล่านี้ว่า “อายพิศม์” ทฤษฎีดังกล่าวเป็นความเชื่อที่มีร่วมกันในหลายวัฒนธรรม ก่อนที่แพทย์จะรู้จักเชื้อโรค เช่น ในยุโรป จีน และอินเดีย เป็นต้น โดยเชื่อว่า “อายพิศม์” นั้น เป็นที่มาของโรคระบาดอย่างอหิวาตกโรคและไข้จับสั่น เป็นต้น