บทที่ 330 วัยเยาว์อันเปล่งประกาย
ระยะนี้เฉินชางเริ่มมีชื่อเสียงในวงการศัลยกรรมของเมืองอันหยางแล้ว ตั้งแต่เปลี่ยนรูปแบบการร่วมมือกับคลินิกศัลยกรรมจื้อซิน เฉินชางก็ไม่ต้องไปที่นั่นทุกสัปดาห์แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อหยางเทาและฉินเสียงรู้ข่าว ก็ยิ่งคบหากับเฉินชางได้อย่างสนิทใจมากขึ้น
หยางเทาเป็นนักธุรกิจ ไม่ว่าจะคนวงนอกวงในเขาก็รู้จักดี ยิ่งกับเฉินชาง เขาก็ยิ่งทุ่มเทขายอย่างสุดกำลังจนแหล่งทรัพยากรที่มีในมือก็เริ่มเอนเอียง
ด้วยความช่วยเหลือของฉินเสียง ทำให้เฉินชางมีเวลาว่างไปสอบใบรับรองศัลยแพทย์ตกแต่งแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนที่เฉินชางมาทำงานอยู่ข้างนอกก็ไม่จำเป็นต้องทำลับๆ ล่อๆ อีก จะอย่างไรก็มีใบอนุญาตแล้ว
ตอนบ่ายหลังเลิกงาน เฉินชางได้รับโทรศัพท์จากฉินเสียง เขาบอกว่าโต้วซินจะออกจากโรงพยาบาลพรุ่งนี้ตอนสายๆ
นี่เป็นการแอดมิดหลังการผ่าตัดครั้งที่สองของโต้วซิน โดยปกติแล้วการผ่าตัดศัลยกรรมตกแต่งผิวหนังจากแผลไฟไหม้ขนาดใหญ่บนใบหน้าเช่นนี้ย่อมทำให้เสร็จภายในครั้งเดียวไม่ได้ และการผ่าตัดสองครั้งของเฉินชางก็ประสบความสำเร็จมาก ตอนนี้ผลการฟื้นตัวค่อนข้างดีทีเดียว
อย่างไรก็ตาม เฉินชางยังไม่ได้เห็นผลลัพธ์สุดท้าย เมื่อคิดถึงหญิงสาวที่มีใบหน้าบริสุทธิ์ประหนึ่งดวงตะวันอันอบอุ่นและหิมะกลางฤดูหนาว เฉินชางก็อารมณ์ดีขึ้นมา อยากรู้จริงๆ ว่าผลการผ่าตัดเป็นอย่างไร หวังว่าการผ่าตัดภายนอกจะช่วยขจัดเมฆหมอกในใจของเธอได้ ทำให้ความน้อยเนื้อต่ำใจที่อยู่ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจได้รับการปัดเป่า เพื่อที่เธอจะได้กลายเป็นหญิงสาวน่ารักเจิดจ้าดั่งแสงอาทิตย์
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเขาเก็บของเรียบร้อยแล้วก็เตรียมจะเลิกงาน ทว่าตอนนี้ฉินเสี้ยวหยวนก็เดินเข้ามา เมื่อเห็นเฉินชางกำลังจะกลับก็รีบเรียกเอาไว้
“เสี่ยวเฉิน เลิกงานแล้วหรือ”
เฉินชางชะงักไป เมื่อเห็นผู้อำนวยการฉินก็ยิ้มให้ “ครับ ผู้อำนวยการฉิน คุณก็เลิกงานแล้วหรือครับ”
ฉินเสี้ยวหยวนพยักหน้าก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้มไร้กังวล “เรื่องวันนี้ไม่ต้องใส่ใจนะครับ เด็กคนนั้นไม่รู้ความจริงๆ”
เฉินชางยิ้มบางๆ “เราเป็นหมอ มีคนบ้าคนบอแบบไหนบ้างที่ไม่เคยเจอล่ะครับ”
เมื่อฉินเสี้ยวหยวนได้ยินคำพูดนี้ของเฉินชางก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ดูเหมือนเฉินชางจะไม่สนใจจริงๆ ถึงกับเปรียบเทียบอีกฝ่ายเป็นคนบ้าคนบอเลยทีเดียว
แต่ก็ไม่เป็นไร
ฉินเสี้ยวหยวนส่ายหน้าอย่างไม่ใส่ใจ เรื่องพวกนี้ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไปเถอะ เรื่องที่เขาสนใจคืออีกเรื่องหนึ่งต่างหาก “ช่วงนี้ผมเห็นฉินเยว่กำลังยุ่งอยู่กับการวิเคราะห์ข้อมูลอะไรบางอย่าง ทำงานถึงตีหนึ่งกว่าทุกวัน ถึงคนหนุ่มสาวจะไม่รู้สึกเหนื่อยมาก แต่ทำงานแล้วก็ต้องรู้จักพักผ่อนบ้างนะครับ”
สิ่งที่เขาใส่ใจที่สุดก็คือลูกสาวสุดรักสุดหวงของตัวเองต่างหาก วันๆ เธอเอาแต่ทำงาน ทำให้เขาปวดใจแทบตายแล้ว!
แม้แต่ตัวผมเองก็ยังไม่อยากใช้ลูกสาวสุดรักสุดหวง แต่คุณกลับใช้เธอเหมือนวัวเหมือนม้า!
นอกจากนั้น ถึงจะพูดอย่างไร ลูกสาวก็ไม่ฟังเลย!
เหล่าฉินจนปัญญาจึงได้แต่กระทำการอ้อมค้อมด้วยการมาบอกเฉินชางนี่แหละ
จริงดังคาด เมื่อเขากล่าวคำนี้ออกมา ในใจของเฉินชางก็เกิดสั่นไหว ความจริงเขารู้สึกซาบซึ้งใจมากนะ…
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินชางก็รีบพูดว่า “ผู้อำนวยการฉิน วางใจเถอะครับ เดี๋ยวผมจัดการเรื่องนี้เอง”
เมื่อฉินเสี้ยวหยวนได้ยินดังนั้นก็ผ่อนคลายลงได้ “เสี่ยวเฉิน มีแรงขับเคลื่อนก็เป็นเรื่องดี แต่ว่า…อย่าให้เหนื่อยเกินไปล่ะครับ คุณก็เหมือนกัน ผมได้ยินมาว่าช่วงนี้พอเลิกงานแล้วคุณก็ต้องไปที่โรงพยาบาลตงต้าอีก อย่าทำให้ตัวเองเหนื่อยเกินไป คุณยังอายุน้อย ควรดูแลสุขภาพให้ดี”
เฉินชางยิ้ม “ขอบคุณที่ใส่ใจนะครับผู้อำนวยการฉิน”
เมื่อเห็นเฉินชางเดินจากไปแล้ว ฉินเสี้ยวหยวนก็ทอดถอนใจออกมา เขาใส่ใจเฉินชางที่ไหนกัน เขาแค่…กลัวลูกสาวตัวเองจะเป็นหม้าย!
ไม่มีใครรู้จักลูกสาวดีไปกว่าคนเป็นพ่อแล้วจริงๆ
ฉินเสี้ยวหยวนเห็นฉินเยว่เติบโตมากับตา เธอมีนิสัยดื้อดึง เรื่องที่ตัดสินใจไปแล้ว ต่อให้เอาอะไรมาดึงรั้งก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจ
ก่อนหน้านี้ครอบครัวของศาสตราจารย์อู๋ยังออกไปกินข้าวกับฉินเสี้ยวหยวนกันทั้งครอบครัวเพราะต้องการจับคู่ให้เด็กทั้งสอง ซึ่งอันที่จริงแล้วลูกชายของบ้านอู๋ก็ไม่เลว จบจากสถาบันชื่อดัง นิสัยก็ไม่แย่ หากคบกันก็ยังพอได้ แต่ฉินเยว่กลับหาเรื่องหนีกลับมาตอนที่ไปดูหนังกับเขา จากนั้นพอโทรหาก็ไม่ยอมออกไปด้วยกันอีกเลย
นี่ทำให้ฉินเสี้ยวหยวนรู้สึกอับจนหนทาง เด็กบ้านอู๋คนนั้นก็ไม่เลว แต่ไม่โดนใจฉินเยว่
ส่วนเฉินชางคนนี้ก็ทำให้ลูกเขาต้องนอนดึกตื่นเช้าทุกวัน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฉินเสี้ยวหยวนก็อดทอดถอนใจไม่ได้
เฮ้อ…ลูกสาว เมื่อโตแล้วก็ไม่ควรรั้งไว้…
เขาส่ายหน้าแล้วถอนใจออกมา มองเฉินชางที่กำลังเดินจากไป
จริงๆ แล้วเสี่ยวเฉินก็ไม่เลว เป็นคนที่มีศักยภาพคนหนึ่ง ส่วนเรื่องครอบครัว…ฉินเสี้ยวหยวนไม่ได้สนใจอะไร ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนมีหน้ามีตาในเมืองอันหยาง จะช่วยลูกเขยไม่ได้เชียวหรือ
……
……
เฉินชางรีบมาที่แผนกศัลยกรรมผิวหนังของโรงพยาบาลตงต้า เดินไปยังห้องผู้ป่วยที่คุ้นเคย เมื่อผลักประตูแล้วเดินเข้าไปก็เห็นใบหน้าด้านข้างที่ดูน่ารักและบริสุทธิ์ถูกแสงแดดสาดส่อง มือของเธอเขียนอะไรบางอย่างอยู่
เมื่อได้ยินเสียงประตู โต้วซินก็รีบหันมา
ชั่วขณะที่เห็นเฉินชาง ดวงตาพลันทอประกายยินดี เต็มไปด้วยประกายวาววับ ดวงตากลมโตคู่นั้นคล้ายกับมีแสงสว่างเจิดจ้าราวกับมีฤดูใบไม้ผลิแห่งความเยาว์วัยอัดแน่นอยู่ในนั้น
อย่างไรก็ตาม ชั่วขณะต่อมา โต้วซินก็หันมาแล้วส่ายหน้าจนผมปัดป่ายไปมากระทั่งบดบังใบหน้าเอาไว้ จากนั้นก็ก้มหน้าลง
ในใจของโต้วซินที่อายุสิบเจ็ดสิบแปดเต็มไปด้วยความลับของความเยาว์วัย
เฉินชางเห็นดังนั้นก็ยิ้มให้แล้วเดินเข้ามา “ซินซิน พ่อหนูล่ะครับ”
เสียงของโต้วซินเพราะมากจริงๆ แต่ทุกครั้งที่เฉินชางพูดกับเธอ เธอมักจะตอบด้วยเสียงแผ่วเบา
“ไปซื้อข้าวค่ะ”
เฉินชางพยักหน้า “อ้อ หัวหน้าฉินบอกว่าพรุ่งนี้หนูจะออกจากโรงพยาบาลแล้ว หมอเลยมาเยี่ยม”
เมื่อโต้วซินได้ยินว่าเฉินชางมาเยี่ยมตนก็รู้สึกเบิกบานใจจริงๆ
เฉินชางพูดต่อไปว่า “มา เงยหน้า ให้หมอดูหน้าหน่อยว่าเป็นยังไงบ้าง”
โต้วซินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นด้วยท่าทางไม่สบายใจนัก
ในตอนนี้เฉินชางจึงค่อยเห็นอย่างชัดเจน การฟื้นตัวไม่เลวเลย หลังจากเย็บแผลแล้วก็ไม่เหลือรอยแผลเป็นอีก การเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างชัดเจนอย่างเดียวก็คือบริเวณรอยตัดของผิวหนังที่นำมาปลูกถ่ายซึ่งเฉินชางใช้วิธีการเย็บแบบพิเศษซ่อมแซมไปอย่างประณีต แม้จะยังมีรอยหลงเหลืออยู่แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบกับความงดงามแม้แต่น้อย กลับเป็นรอยที่ค่อนข้างพิเศษด้วยซ้ำ
โต้วซินชอบรอยนี้มาก มันเป็นของขวัญที่พี่เฉินชางมอบให้เธอ!
“อืม! ไม่เลวจริงๆ” เฉินชางจ้องมองใบหน้าที่เปราะบางนั้นอย่างพึงพอใจ ผิวที่ปลูกถ่ายไม่เปลี่ยนสี ฟื้นตัวได้ดีมาก
เฉินชางดีใจจริงๆ ไม่ใช่แค่เพราะการผ่าตัดของตนประสบความสำเร็จเท่านั้น แต่เขายังหวังดีกับเด็กหญิงคนนี้จากใจจริง
โต้วซินคิดอยู่นาน เธอมีความลับที่อยากบอกเฉินชางแต่ไม่กล้าบอก แต่หากไม่พูดออกไป คงโศกเศร้าจนยากจะรับไหว เธอกลัวว่าต่อจากนี้จะไม่มีโอกาสได้พูดอีก
ในที่สุดโต้วซินก็รวบรวมความกล้า เงยหน้าขึ้นมองเฉินชาง ดวงตากลมโตทั้งสองจับจ้องไปที่เขาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “พี่เฉินชาง หนูชอบคุณค่ะ”
แต่ตอนนี้เอง เสียงประตูก็ดังขึ้นพอดี เป็นพ่อของโต้วซินที่เปิดประตูเข้ามา
เฉินชางชะงักไปโดยพลัน เมื่อครู่เขาได้ยินไม่ชัด “ซินซิน หนูพูดอะไรนะครับ”
ประโยคเมื่อครู่ของโต้วซินทำให้ความกล้าทั้งหมดของเธอปลิวหายไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น พ่อของเธอก็กลับมาแล้ว จึงได้แต่พูดไปว่า “ไม่มีอะไรค่ะ หนูพูดว่าพี่เฉินชาง ขอบคุณมากนะคะ”
เฉินชางยิ้มให้
……
……
วันต่อมา โต้วซินก็ออกจากโรงพยาบาลแล้ว เธอกับพ่อถือกระเป๋าใบใหญ่ใบเล็กเดินไปที่ป้ายรถประจำทาง ในตอนที่เดินผ่านคลินิกศัลยกรรมอันหรูหราก็มีหญิงสาวคนหนึ่งยัดใบปลิวมาให้พวกเธอสองคน
โต้วซินพลิกดูใบปลิวอย่างเบื่อหน่าย แต่เมื่อมองไปแล้วก็ต้องชะงักไปทันที!
“ศัลยแพทย์ตกแต่งเงินล้าน เฉินชาง!”
โต้วซินตาค้างไปแล้ว!
จะอย่างไรเธอก็คิดไม่ถึงว่าพี่เฉินชางที่ผ่าตัดตกแต่งใบหน้าให้ตนฟรีๆ…จะเป็นศัลยแพทย์ตกแต่งที่มีมูลค่าสูงถึงหนึ่งล้าน
การผ่าตัดตกแต่งของเขาหนึ่งเคสมีค่าถึงหนึ่งล้านหยวน! แต่กลับทำให้ตนฟรีๆ แล้วยังมอบของขวัญให้ตนอีกมากมาย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ จิตใจอันอ่อนไหวของโต้วซินก็สั่นระริก อารมณ์อันซับซ้อนก่อกำเนิดในใจ ในดวงตาคลอไปด้วยน้ำตา แต่ผ่านไปนานก็ยังไม่ไหลออกมา
เธอมองไปยังพี่เฉินชางบนใบปลิวที่มีรัศมีหล่อเหลา จากนั้นจึงพับอย่างระมัดระวังแล้วใส่เข้าไปในกระเป๋าตรงหัวใจ
พ่อของเธอมองมาแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ซินซิน การประกวดเสียงไพเราะของปีนี้ใกล้จะเริ่มแล้ว หนูจะเข้าร่วมหรือเปล่าลูก”
โต้วซินดวงตาเปล่งประกาย ส่องสว่างสดใสโชติช่วง เธอตัดสินใจแล้วจึงกล่าวไปอย่างแน่วแน่ว่า “ไปค่ะ!”