บทที่ 355 แผนของเหล่าฉิน
ฉินเสี้ยวหยวนนั่งอยู่บนโซฟาด้วยท่าทางเคร่งขรึม ภรรยาเพิ่งผ่านวัยหมดประจำเดือนไปไม่นาน ส่วนลูกสาวก็ยังอยู่ในช่วงวัยสาว หากว่ากันตามเหตุผล ช่วงนี้เป็นช่วงที่ฉินเสี้ยวหยวนต้องใจเย็นที่สุด
เมื่อย้อนคิดถึงหลายปีก่อน ฉินเสี้ยวหยวนก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย!
ผู้อำนวยการฉินผู้สง่างามคนนี้ พอกลับมาที่บ้านก็…เรียกได้ว่าเป็นคนไร้ที่ยืนเลยทีเดียว
ภรรยาอยู่ในวัยทอง ถึงเขาจะโกรธแต่ก็ไม่กล้าบ่น!
ลูกสาวอยู่ในช่วงวัยรุ่น ได้แต่บ่นแต่ไม่กล้าโกรธ!
เหล่าฉินเหนื่อยใจจริงๆ! แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทุกอย่างก็ดีขึ้น ทว่าวันเวลาดีๆ ก็มีแค่ไม่กี่วัน เหล่าฉินกลับต้องกังวลขึ้นมาอีกแล้ว
กังวลว่าฉินเยว่อายุมากแล้วจะไม่ได้แต่งงาน! กังวลว่าจะได้สามีย่ำแย่จนต้องทนอยู่ด้วยไปชั่วชีวิต
ฉินเสี้ยวหยวนทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่เลยทีเดียว! ตอนกลางวันไปทำงานที่โรงพยาบาล ตกเย็นกลับมาบ้านก็ต้องจัดการเรื่องในบ้าน
เหนื่อยใจ!
เทียบกับเหล่าฉินแล้ว คุณแม่ฉินปล่อยวางได้มากกว่า เธอคิดว่าปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติเถอะ…ส่วนทางด้านคนเป็นพ่อ เขาใส่ใจกับลูกสาวมาก หากเกิดเรื่องไม่ดีก็เหมือนเป็นการควักหัวใจตัวเอง
หากใครกล้ารังแกลูกสาวเขา ฉินเสี้ยวหยวนจะลุกขึ้นมาสู้แลกชีวิตเลยทีเดียว
ลูกสาวก็เป็นเหมือนไข่มุกกลางฝ่ามือของครอบครัว เป็นสมบัติล้ำค่าของหัวใจ
เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ฉินเสี้ยวหยวนก็รู้สึกไม่สบายใจถึงขั้นลุกนั่งไม่ติดที่ จะทำอย่างไรก็ใจเย็นไม่ได้!
ภรรยาถูกท่าทางของฉินเสี้ยวหยวนรบกวนจนทนไม่ไหว จึงพูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“คุณมานี่! ฉันจะสอนอะไรคุณให้นะคะ!”
ฉินเสี้ยวหยวนรีบเดินเข้ามาทันที “สอนอะไรครับ รีบพูดมาเถอะ!”
ภรรยายิ้มอย่างลึกลับ “คุณคิดดูสิคะว่าตอนนี้ใครจะโทรมาหาเยว่เยว่ของพวกเราได้บ้าง คุณไม่อยากรู้หรือคะว่าทำไมเยว่เยว่ถึงแต่งตัวแปลกไปจากปกติแบบนี้ ทำไมลูกถึงตื่นเช้า ทำไมอยู่ดีๆ ก็ลุกขึ้นมาจัดการตัวเอง ทั้งอาบน้ำแต่งหน้า ไหนคุณบอกสิคะ คนที่จะโทรมาตอนนี้ได้คือใคร คนที่จะโทรมาตอนนี้ได้ยังจะมีใครอีก!”
ภรรยาของเขาก็เป็นเหมือนขงเบ้งและสุมาอี้ ในดวงตาเต็มไปด้วยความขบขัน เหมือนคาดเดาเรื่องราวได้อย่างกระจ่างแจ้ง!
จู่ๆ ฉินเสี้ยวหยวนก็เหมือนเห็นแสงสว่าง!
ใช่แล้ว!
ทำไมเขาโง่แบบนี้นะ!
ใครจะโทรหาฉินเยว่ตอนนี้
คนที่โทรมาต้องเป็นสาเหตุที่ลูกสาวแต่งหน้าแต่งตัวแน่นอน
คิดได้ดังนี้ ฉินเสี้ยวหยวนก็กลอกตา คิดวางแผนอย่างรอบคอบ
ดูโทรศัพท์ก็รู้แล้วว่าเป็นใคร แต่ห้ามให้ลูกรู้เด็ดขาดว่ามือถือถูกย้ายที่
คิดได้ดังนี้ ฉินเสี้ยวหยวนก็เดินไปที่ห้องนอนของฉินเยว่อย่างระมัดระวังอีกครั้ง เขาเดินไป เดินไป รู้สึกว่ารองเท้าแตะช่างไม่เหมาะกับงานนี้เอาเสียเลย จึงถอดรองเท้าไว้ตรงประตู หยิบมือถือขึ้นมาดู พบว่ามีสายไม่ได้รับสามสาย
แต่ว่า…
ที่สำคัญก็คือ!
สายที่ไม่ได้รับทั้งสามสายเป็นเบอร์ของเฉินชางทั้งหมด!
ยิ่งไปกว่านั้น…วีแชทก็มีข้อความแจ้งเตือนมาจำนวนหนึ่ง เห็นเพียงข้อความที่ว่า “ผมถึงข้างล่างแล้ว!”
ฉินเสี้ยวหยวนยืดตัวขึ้นโดยพลัน! จากนั้นก็ได้ยินเสียงภรรยาของตนแว่วมาจากด้านนอกว่า “เหล่าฉิน ช่วยหยิบมือถือให้ฉันหน่อยค่ะ!”
ฉินเสี้ยวหยวนหน้าเปลี่ยนสี รู้ว่าภรรยากำลังเตือนตนอยู่ จึงรีบวางโทรศัพท์ลูกสาวลงแล้ววิ่งไปนั่งลงบนโซฟาแทันที!
ภรรยากระซิบบอกว่า “จะออกมาแล้ว!”
ฉินเสี้ยวหยวนมีสีหน้ากระวนกระวาย เขาตบหน้าอกตนให้ใจเย็น
ตื่นเต้นจริงโว้ย ทำตัวอย่างกับโจรแน่ะ
แต่นี่มันบ้านผมนะ…
ผมจะกระวนกระวายอะไรเนี่ย
เมื่อคิดได้ดังนี้ ฉินเสี้ยวหยวนก็พยายามสงบลมหายใจ
ฉินเยว่เดินออกมาแล้ว ปกติเธอแต่งหน้าน้อยมาก ทว่าตอนนี้กลับแต่งหน้าอย่างพิถีพิถัน ไม่แต่งหน้าให้หนาเกินไป ดูสวยเป็นพิเศษ ผมเผ้าที่เมื่อก่อนมัดเป็นหางม้าตอนนี้ก็ปล่อยสยาย เข้ากันได้ดีกับคิ้วที่เขียนอย่างบรรจง ดูงดงามมากจริงๆ!
ฉินเสี้ยวหยวนเห็นดังนั้นก็ยังรู้สึกอิจฉา!
ลูกสาวคนดี
เฮ้อ…
สุดท้ายก็ต้องแต่งให้คนอื่น
ให้พ่อเลี้ยงลูกทั้งชีวิตยังจะดีกว่า…
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฉินเสี้ยวหยวนก็คิดถึงท่าทางของเฉินชาง ในใจยิ่งรู้สึกซับซ้อน
เสี่ยวเฉินไม่เลวเลย รูปร่างสูงเพรียว หน้าตาหล่อเหลาเอาการ
ความจริงจะแต่งกับเฉินชางก็ไม่แย่…
แต่เมื่อคิดดูอีกครั้ง เขาก็รู้สึกว่าลูกสาวบ้านตนแต่งกับใครก็ไม่ดีทั้งนั้น!
นี่เป็นลูกสาวของเขานะ
ฉินเยว่เริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว วันนี้อากาศดี เธอจึงสวมชุดเดรสที่แสดงส่วนเว้าส่วนโค้งอย่างหาได้ยากยิ่ง เข้าคู่กับรองเท้าเวดจ์คู่งาม ไม่ใส่เสื้อเชิ้ตตัวหลวมโพรกกับกางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบเหมือนเคย
เมื่อเห็นฉินเยว่แต่งตัวเช่นนี้ กระทั่งแม่ของเธอก็ยังอึ้ง! ไหนเลยจะมีอารมณ์ดูหนังอยู่อีก! ในใจร้องตะโกนว่าเรื่องใหญ่แล้ว!
คราวที่แล้วเธอพาฉินเยว่ไปบ้านเพื่อนยังไม่เห็นจะแต่งตัวงามขนาดนี้ วันนี้ถึงขั้นยอมลุกมาแต่งหน้าด้วยตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น…ยังสวมชุดสวยๆ แบบนั้นกับรองเท้าเวดจ์ส้นสูงด้วย???
เมื่อมองถึงตรงนี้ แม่ของฉินเยว่ก็ตกตะลึงจนตาค้าง คิดในใจว่า แย่แล้ว
เธอปรายตามองฉินเสี้ยวหยวน ขมวดคิ้วเล็กน้อยส่งสัญญาณบอกว่า: เกิดเรื่องใหญ่กับลูกสาวคุณแล้ว!
ฉินเสี้ยวหยวนจะไม่ทราบได้อย่างไร เขาขยิบตาบอกว่า: ผมรู้แล้ว!
ภรรยายักคิ้วบอกต่อ: ทำไมไม่ไปดูไม่ไปถามหน่อยล่ะคะ
ฉินเสี้ยวหยวนหน้าขรึม: แล้วทำไมคุณไม่ถามล่ะ!
ภรรยาถลึงตาใส่ : ฉันถามคุณว่าทำไมคุณไม่ถาม!
ฉินเสี้ยวหยวนไม่กล้าสู้ ได้แต่ยืดตัวขึ้นมองฉินเยว่ที่กำลังส่องกระจก อดพูดไม่ได้ว่า “เยว่เยว่ จะกินข้าวกลางวันไหมลูก”
ฉินเยว่เดินยิ้มสะพายกระเป๋าใบเล็กมาข้างนอก “พ่อคะแม่คะ หนูไปก่อนนะคะ กลางวันคงไม่ได้กลับมากินข้าวแล้วค่ะ”
ฉินเสี้ยวหยวนรีบถามต่อ “ตอนเย็นล่ะ”
ฉินเยว่ลังเลเล็กน้อย “ยังไม่แน่ใจเลยค่า!”
ฉินเสี้ยวหยวนตกใจจนใจสั่น ตอนเย็นก็ยังไม่แน่ใจ…
“งั้น เยว่เยว่ พรุ่งนี้ต้องทำงาน กลับเร็วๆ หน่อยนะลูก”
ฉินเยว่พยักหน้า “งืม รู้แล้วค่ะ พ่อคะแม่คะ หนูไปล่ะ!”
พูดจบก็เปิดประตูเดินออกไปทันที
ฉินเสี้ยวหยวนเห็นดังนั้นก็เคร่งเครียดจนทนไม่ไหว ยังดีที่เป็นวันอาทิตย์…มิฉะนั้น หากคืนนี้ไม่กลับบ้านจะทำอย่างไร คนเป็นพ่อจะสั่งสอนอย่างไรดี ลูกสาวก็อายุยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดไปแล้ว ควรจะเตือนอย่างไรดี
ฉินเสี้ยวหยวนรู้สึกว่าตัวเองช่างลำบากแท้!
คิดไปคิดมา เขาก็รู้สึกว่าตัวเองต้องทำอะไรบางอย่างแล้ว
จะทำอย่างไรดีล่ะ
จริงสิ!
ทันใดนั้นฉินเสี้ยวหยวนก็คิดแผนการขึ้นมาได้
เขายุ่งกับฉินเยว่ไม่ได้ แต่ยุ่งกับเฉินชางได้!
พอถึงช่วงสี่ทุ่มกว่าก็ให้แผนกฉุกเฉินโทรหาอีกฝ่ายบอกว่ามีผู้ป่วย ให้เฉินชางไปดูสักหน่อย…
เป็นแผนที่ดี!
คิดได้ดังนี้ ฉินเสี้ยวหยวนก็รู้สึกว่าตัวเองฉลาดเหลือเกิน! ถึงอย่างไรบ้านของเฉินชางก็อยู่ใกล้โรงพยาบาล เตือนให้เขากลับเร็วหน่อยก็พอ
คิดได้ดังนี้ ฉินเสี้ยวหยวนก็คิดว่าแผนนี้ช่างดีเลิศประเสริฐศรี!
จะต้องไปแจ้งทางแผนกฉุกเฉินไว้ก่อน!
คิดแล้วฉินเสี้ยวหยวนก็เดินออกไปที่ระเบียง นั่งยองตรงหน้าต่างแล้วส่องลงไปล่างตึก
อย่าได้ดูคนผิดไปเชียว
โชคดีที่ตึกสวัสดิการเป็นตึกเก่ามีไม่กี่ชั้น ทำให้เห็นชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ล่างตึกได้อย่างชัดเจน
ไม่ใช่เฉินชางแล้วจะเป็นใครได้อีก!
เห็นแล้วฉินเสี้ยวหยวนก็รู้สึกซับซ้อนในใจ
“ใครน่ะ”
ฉินเสี้ยวหยวนเห็นภรรยาตนเดินมานั่งยองๆ อยู่ตรงหน้าต่าง มองส่องไปยังชายผู้เดินเคียงคู่กันไปกับฉินเยว่ด้านล่าง เอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ฉินเสี้ยวหยวนแค่นเสียงเย็น ผมไม่สนใจคุณแล้ว
ฮ่าๆๆๆ!
ผมไม่บอกคุณหรอก!
คิดได้ดังนี้ฉินเสี้ยวหยวนก็ส่ายหน้า “ไม่รู้ครับ! ผมมองไม่เห็น!”