บทที่ 365 ถ่ายรูปได้ดี!
เมื่อเฉินชางเห็นว่าที่แผนกไม่มีอะไรแล้วก็มองไปที่ฉินเยว่แล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ไปเถอะ เดี๋ยวผมไปส่งคุณกลับบ้านนะครับ”
ฉินเยว่พยักหน้า จากนั้นจึงเดินออกไปด้านนอกกับเฉินชาง
เฉินชางหันมาพูดกับหวังหย่งว่า “พวกเราไปก่อนนะครับ ถ้ามีอะไรก็โทรหาผมได้เลย”
หวังหย่งพยักหน้า “เดินทางระวังด้วยนะครับ”
ปกติเฉินชางไปส่งฉินเยว่กลับบ้านอยู่แล้ว ดังนั้นหวังหย่งจึงไม่ได้รู้สึกตกใจ หรือคิดว่าแปลกตรงไหน กลับคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติด้วยซ้ำ
เมื่อออกมาจากแผนกฉุกเฉินแล้ว เฉินชางจึงค่อยจูงมือฉินเยว่ “เดี๋ยวผมไปส่งคุณกลับบ้านนะครับ”
ฉินเยว่ยิ้ม “ฉันว่าสายที่โทรหาพวกเราเมื่อกี้จะต้องมีลับลมคมในอะไรแน่ๆ เลยค่ะ!”
เฉินชางชะงักไป ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามันแปลกประหลาดจริงๆ “คุณจะบอกว่า…”
ฉินเยว่พยักหน้าด้วยท่าทางรู้สึกผิด “ค่ะ!”
ทันใดนั้นในสมองของเฉินชางก็ปรากฏภาพใบหน้าเจ้าเล่ห์ของฉินเสี้ยวหยวนขึ้นมา เขารู้สึกเหมือนมีภูเขาลูกใหญ่กำลังกดทับลงมาทันใด
ในอนาคต ศัตรูความรักก็คือคุณ พ่อตาก็คือคุณ ผู้อำนวยการก็คือคุณ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินชางก็รู้สึกเหนื่อยใจจนต้องส่ายหน้าอย่างอดไม่อยู่
แต่ยังมีวิธีการที่เรียกว่าให้ลูกสาวเป็นคนชักนำอยู่ด้วย
เฉินชางหัวเราะออกมาทันที
……
……
ขณะที่ทั้งสองคุยกันก็เดินทอดน่องจนมาถึงใต้ตึกพักอาศัยแล้ว
ฉินเยว่ยู่ปาก ทอดถอนใจออกมาครั้งหนึ่ง “บ้านอยู่ใกล้ก็ไม่ค่อยดีเหมือนกันนะคะ!”
เฉินชางพูดออกมายิ้มๆ “ถ้างั้นเดินรอบตึกของคุณสักรอบไหมครับ”
ตอนนี้เหล่าฉินนั่งเฝ้าอยู่ที่ระเบียงมาครึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าคนที่รอจะมาถึง จึงเกิดอาการระริกระรี้ขึ้นมาทันที
“คุณ รีบมาเร็ว! ลูกสาวกลับมาแล้ว!”
จี้หรูอวิ๋นได้ยินดังนั้นก็เดินเข้ามาอย่างเร่งร้อน
จี้หรูอวิ๋นอยากเห็นลูกเขยในอนาคตมากกว่าลูกสาวตัวเองเสียอีก
ขณะคุยกัน เธอก็เดินมาถึงระเบียงแล้ว
ทั้งสองหรี่ตามองไปข้างล่าง ไม่นานก็เห็นเฉินชางจูงมือฉินเยว่ ทั้งสองยืนกันอยู่ข้างล่างไม่ยอมขึ้นมา
สายตาของจี้หรูอวิ๋นไม่เลวเลย ดูเหมือนอาการสายตายาวจะมีประโยชน์ก็ตอนนี้เอง ทำให้เธอมองเห็นชัดเจน ดูเหมือนเฉินชางจะมีหน้าตาหล่อเหลากระจ่างใส รูปร่างสูงโปร่ง ให้ความรู้สึกปลอดภัยอบอุ่น
ไม่เลวๆ!
เธอพอใจมาก
เมื่อคิดถึงตรงนี้ จี้หรูอวิ๋นก็วิ่งกลับไปที่ห้องแล้วหยิบโทรศัพท์ของตนขึ้นมา เล็งกล้องโทรศัพท์ไปทางเฉินชางแล้วใช้ฟังก์ชันซูม
ในกล้องมือถือ เธอเห็นเฉินชางและฉินเยว่ยืนหันหน้าเข้าหากัน มือของเฉินชางกำลังกุมมือของฉินเยว่เอาไว้
ผ่านไปนานแล้วฉินเยว่ก็ยังไม่ยอมขึ้นมา!
ทั้งสองคุยกันกระหนุงกระหนิงคล้ายมีเรื่องคุยกันไม่จบไม่สิ้น
จี้หรูอวิ๋นเห็นภาพนี้ก็ทั้งโหยหาและเบิกบานใจ
เฉินชางและฉินเยว่ยืนหันหน้าเข้าหากันอยู่ข้างล่าง
“กลับบ้านเถอะครับ!” เฉินชางพูดยิ้มๆ
ฉินเยว่พยักหน้าแล้วตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มว่า “คุณไม่มีอะไรอยากบอกฉันหน่อยเหรอคะ”
เฉินชางชะงักไปเล็กน้อย เขาใคร่ครวญครู่หนึ่ง “รีบนอนนะครับ!”
ฉินเยว่กลอกตาใส่ทันที “มีอีกไหมคะ”
เฉินชางรีบเค้นสมองคิด ทันใดนั้นเขาก็คิดถึงมุกในอินเตอร์เน็ตขึ้นมาได้จึงรีบฉีกยิ้มเบิกบาน พูดไปว่า “คุณอยากให้ผมขึ้นไปดื่มน้ำเหรอครับ ไม่ต้องหรอก!”
ฉินเยว่รู้สึกขัดใจจริงๆ เธออยากตบเฉินชางจนหน้าทิ่มดินให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย สุดท้ายก็พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “พ่อฉันอยู่บ้านค่ะ ขึ้นไปด้วยกันก่อนสิคะ กินน้ำกินท่าก่อนค่อยกลับ!”
เฉินชางกระสับกระส่ายขึ้นมาโดยพลัน
ช่างมันเถอะ พอเขาคิดถึงสายตาที่ผู้อำนวยการฉินใช้จับจ้องมาที่ตน เขาก็คิดว่าไม่ต้องดื่มน้ำก็ได้ ช่างมันเถอะ
ฉินเยว่เห็นเฉินชางไม่พูดอะไรก็กลอกตาด้วยความขุ่นเคือง
สุภาพบุรุษจริงๆ!
ต้องสอนให้ดีสักหน่อยแล้ว!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ฉินเยว่ก็หันมายิ้มให้ “งั้นฉันไปก่อนนะคะ! เจอกันพรุ่งนี้”
เฉินชางพยักหน้า “รีบกลับเถอะครับ พ่อแม่คุณเป็นห่วงคุณแย่แล้ว”
เมื่อเห็นว่าฉินเยว่จะเดินเข้ามาในตึกแล้ว เหล่าฉินจึงรู้สึกผ่อนคลายได้บ้าง ยังดี ยังดี ในที่สุดก็ได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันแล้ว
เฉินชางมองดูฉินเยว่เดินเข้าไป เขากำลังจะหมุนตัวเดินกลับบ้าน ทว่าจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกระจ่างใสดังขึ้นว่า “เฉินชาง!”
เมื่อเขาหันมาก็พบว่ามีสายลมหอมกรุ่นระลอกหนึ่งพัดเข้ามาโอบล้อม ความหอมกรุ่นโถมเข้าใส่อ้อมกอดของเฉินชาง
ฉินเยว่เขย่งปลายเท้า ใช้มือทั้งสองโอบคอดึงศีรษะเฉินชางลงมาแล้วจุมพิตลงบนหน้าผาก
“ฉันชอบคุณนะคะ! ฝันดีค่ะ…”
คำพูดนี้ดังข้างหูเฉินชาง ทำให้เขาตกตะลึงจนนิ่งไป รู้สึกสมองว่างเปล่า
เฉินชางตกใจและตกตะลึง แต่ที่มีมากกว่าคือความสุข
เขาสัมผัสได้ถึงความบางเบาที่ฉินเยว่ทิ้งไว้บนหน้าผากตน เป็นสัมผัสที่อบอุ่นและเปียกชื้น ทำให้เฉินชางสั่นสะท้านไปหลายนาที
ฉินเยว่วิ่งเข้าไปในตึกอย่างเร่งร้อนจนหายไปจากสายตา พริบตานั้นเฉินชางรู้สึกตื่นเต้นมาก
ความรู้สึกนี้ทำให้เขามีความสุขจริงๆ
เซอร์ไพรส์!
คาดหวัง!
เป็นความรู้สึกแปลกๆ
เมื่อได้เผชิญกับความสุขที่มาเยือนอย่างกะทันหันเช่นนี้ เฉินชางก็คิดจริงๆ ว่าตนเองกำลังตกหลุมรัก
หรือบางทีความรักก็สมควรเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
เขายื่นมือออกไปคิดจะลูบหน้าผากตนเองแต่ก็รู้สึกเสียดาย กลัวจะเป็นการลบสัมผัสของฉินเยว่ออกไปจนไม่เหลือ
ดีจริงๆ
นี่คือความรักหรือ
ฉินเยว่ก็รู้สึกเหมือนตนเองตกไปในชามน้ำผึ้ง
……
……
จี้หรูอวิ๋นมองลงไปข้างล่าง เธอเห็นฉินเยว่วิ่งเข้าใส่อ้อมกอดเฉินชางแล้วจุมพิตลงบนหน้าผากของอีกฝ่าย ทันใดนั้นเธอก็ตื่นเต้นจนแทบทนไม่ไหว! ถึงกับใช้มือทั้งสองดึงเสื้อฉินเสี้ยวหยวน ตื่นเต้นจนทนไม่ไหวแล้ว!
“จูบเขาแล้ว!”
“จูบแล้ว!”
“จูบแล้ว…จูบแล้ว! ฮ่าๆ…จูบแล้ว!”
จี้หรูอวิ๋นปลื้มปริ่มราวกับได้ดูซีรีส์ของไอดอลที่ตนชื่นชอบ เมื่อเห็นลูกสาว เธอก็รู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปในช่วงวัยรุ่น
นี่คงเป็นจูบแรกของลูกสาวสินะ
คิดถึงตรงนี้ จี้หรูอวิ๋นก็เบิกบานใจขึ้นมาทันที เธอรีบยกโทรศัพท์ขึ้นกดบันทึกเหตุการณ์นั้นไว้
บางที หลังจากนี้อีกหลายปี เมื่อพวกเขาได้เห็นภาพนี้จะต้องมีความสุขมากแน่นอน
บางคนมีความสุข บางคนก็รู้สึกหดหู่
เหล่าฉินเห็นภาพนี้ของทั้งคู่ก็รู้สึกแสบจมูก
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่รู้สึกเหมือนจมูกไม่ได้อย่างใจ คล้ายได้กลิ่นเปรี้ยวฝาด อยากจะร้องไห้
คิดแล้วเหล่าฉินก็ส่ายหน้า
จะเป็นแบบนี้ไม่ได้ ลูกสาวมีความสุขตนเองก็สมควรดีใจถึงจะถูก จะมาร้องไห้ได้อย่างไรกัน
ทว่าฉินเสี้ยวหยวนก็ยังห้ามความรู้สึกไม่ได้ เขารู้สึกเหมือนชิ้นเนื้อที่หัวใจถูกเฉือนออกไปส่วนหนึ่ง
รู้สึกไม่สบายไปหมด
คิดถึงตรงนี้ เหล่าฉินก็ไม่อยากดูแล้ว เขายืนขึ้นเดินกลับไปนั่งบนโซฟา รินชาให้ตนเองแก้วหนึ่ง นั่งเงียบไม่ยอมพูดอะไร
ทางด้านจี้หรูอวิ๋นกลับกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแล้วพูดด้วยท่าทางเบิกบานใจว่า “คิกๆ รูปนี้ถ่ายได้ดีจริงๆ! เหล่าฉิน ดูสิคะ”
ขณะพูดจี้หรูอวิ๋นก็เดินถือโทรศัพท์มาหาเหล่าฉิน “คุณดูสิ มุมนี้กำลังดีเลย ถ่ายได้ไม่เลวเลยนะคะ”
ในภาพ บนถนนที่มีแสงจากไฟทางสาดส่อง ฉินเยว่ยืนเขย่งปลายเท้า ประทับจูบลงบนหน้าผากของเฉินชาง ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุข