บทที่ 369 วินิจฉัยโดยอาศัยสัญญาณทางร่างกายเพียงอย่างเดียวหรือ
เฉินชางทำกราฟหัวใจให้คุณเจิ้งด้วยตัวเอง จากนั้นก็นำผลมาตรวจดู พบว่ามีภาวะหัวใจเต้นก่อนจังหวะ (extrasystole) และอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ (cardiac arrhythmia) เล็กน้อย รวมไปถึงภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดด้วย แต่อายุขนาดนี้ก็ถือเป็นเรื่องปกติ
เจิ้งซานสุ่ยยิ้มมองเฉินชางจนตาหยี ถามขึ้นว่า “ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ”
เฉินชางพยักหน้า ตอบไปตามความจริงว่า “ครับ มีภาวะหัวใจเต้นก่อนจังหวะเล็กน้อย รวมไปถึงภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและหัวใจเต้นผิดจังหวะด้วยครับ”
ขณะพูดเฉินชางก็ส่งกราฟหัวใจให้ดู ชายชรารับมาดูแล้วยิ้มออกมาทันที “ไม่เลว ดูดีมากเลยนะครับ!”
เมื่อได้ยินคำวิจารณ์ของชายชราแซ่เจิ้ง เฉินชางก็หน้าแดงก่ำ รู้สึกว่าตัวเองกำลังสอนจระเข้ว่ายน้ำ
คิดแล้วเฉินชางก็ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน
ปกติเมื่อใช้เครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจในการตรวจ เครื่องจะส่งกราฟหัวใจออกมาให้ รวมไปถึงผลวินิจฉัยของตัวเครื่องด้วย แต่ผลจากตัวเครื่องมักไม่แม่นยำ ดังนั้นหมอที่มีประสบการณ์จะอ่านกราฟด้วยตนเอง ไม่ค่อยวินิจฉัยตามมาตรฐานของเครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจเท่าไหร่นัก
คุณเจิ้งยิ้มบางๆ “เฮ้อ อายุมากแล้วก็มีปัญหามาก ขอบคุณนะครับ หมอเสี่ยวเฉินใช่ไหมครับ ไม่เลวจริงๆ”
พูดจบก็ยิ้มให้ มองเฉินชางด้วยสายตาลึกล้ำแฝงความหมายบางอย่าง จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินจากไป
สิ่งที่เฉินชางแสดงให้เห็นในวันนี้ ทำให้เจิ้งซานสุ่ยประเมินเขาไว้สูงมากทีเดียว อายุยังไม่มาก ดูแล้วคงอายุยี่สิบกว่าปีเท่านั้น แต่มีฝีมือถึงระดับนี้แล้ว เจิ้งซานสุ่ยรู้สึกชื่นชมจริงๆ
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นเลย แค่อีกฝ่ายเข้าใจอาการชีพจรผิดปกติและใช้การตรวจวัดความดันโลหิตมาพิจารณาอาการได้ก็มีความสามารถมากแล้ว
เฉินชางไม่ได้เดินออกไปส่งเพราะในห้องยังมีผู้ป่วยรอตนอยู่
ความจริงเฉินชางคิดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบคุณเจิ้งในฐานะผู้ป่วยที่แผนกฉุกเฉินแต่เช้าเช่นนี้
ตอนนี้คุณเจิ้งเป็นอธิการบดีกิตติมศักดิ์อยู่ที่มหาวิทยาลัยการแพทย์ในมณฑลตงหยาง อายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว ในหนึ่งอาทิตย์จะออกมาทำงานที่คลินิกผู้ป่วยนอกสองครั้ง คาดว่าเขาคงบังเอิญผ่านมาทางนี้ขณะกำลังออกกำลังกายตอนเช้า จึงถือโอกาสเข้ามาทำกราฟหัวใจเสียเลย
ความจริงด้วยความสามารถของชายชรา เพียงยกโทรศัพท์ครั้งเดียว ลูกศิษย์ของเขาก็ยกเครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจมาถึงบ้านชายชราได้แล้ว ต้องทราบว่าการจะเป็นปรมาจารย์ในวงการแพทย์ได้นั้น จะมีเพียงความสามารถส่วนบุคคลไม่ได้ แต่จะต้องมีความสามารถระดับมหภาคด้วย!
พูดให้ชัดก็คือคุณเจิ้งเป็นเหมือนสมบัติล้ำค่าของมณฑลตงหยาง
ไม่ว่าจะเป็นแพทย์แผนจีน หรือแพทย์แผนปัจจุบัน ขอเพียงรักษาอาการป่วยได้ ก็นับเป็นแพทย์ที่ดีทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้น หากเป็นแพทย์ที่แท้จริงจะไม่กีดกันซึ่งกันและกัน เพราะจะอย่างไรก็มีเป้าหมายเดียวกัน ไม่ว่าจะใช้ทฤษฎีไหนก็เป็นการรักษาอาการป่วยเหมือนกัน
ยกตัวอย่างเช่นคุณเจิ้งคนนี้ เขามาโรงพยาบาลแต่เช้าก็เพื่อมาทำกราฟหัวใจ แต่ในเมื่อเขาสามารถชี้แนะให้เฉินชางใช้วิธีตรวจวัดความดันโลหิตมาวินิจฉัยอาการได้ก็บอกออกไปให้ทราบ เขามีความรู้เกี่ยวกับชีพจรมาก ไม่ใช่แค่ความรู้ในด้านแพทย์แผนจีนเท่านั้น แต่ยังมีความรู้ไปถึงทฤษฎีแพทย์ร่วมสมัยด้วย
เฉินชางเคยเห็นหมอที่ไปศึกษาเกี่ยวกับแพทย์แผนจีนเพิ่มเติมมามากเช่นกัน ทั้งนี้ก็เพื่อนำมาใช้ในการตรวจหาสาเหตุของอาการและวินิจฉัยอาการป่วยบางชนิด
การปรากฏตัวของคุณเจิ้งทำให้เฉินชางเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างลึกซึ้ง
……
……
หลังจากอู๋อวี้ซู่ลังเลอยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินใจได้แล้ว!
แอดมิทก็แล้วกัน!
สุขภาพเป็นทุนรอนในการปฏิวัติชีวิต หากตนเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้น…ครอบครัวของเขาก็คงจบสิ้น ดังนั้นตรวจก่อนค่อยว่ากันเถอะ
คิดได้ดังนี้ อู๋อวี้ซู่ก็เริ่มติดต่อไปหาบริษัท เขาออกไปโทรศัพท์หลายนาที ต้องส่งมอบงานและจัดการธุระปะปังอีกมากมาย
เมื่อกลับมาในห้องตรวจอีกครั้งจึงค่อยพูดขึ้นว่า “หมอเฉินครับ เดี๋ยวผมจะกลับบ้านไปเอาบัตรประกันสังคมและสมุดบันทึกการรักษามานะครับ แล้วเดี๋ยวผมจะมาทำเรื่องแอดมิท แล้วก็…ถ้าผมมาแล้วให้มาหาคุณอีกไหมครับ”
เฉินชางพยักหน้า “คุณไปเตรียมตัวได้เลยครับ คุณกลับมาแล้วผมจะช่วยติดต่อแผนกศัลยกรรมหัวใจให้นะครับ ยังไงคุณก็ต้องผ่าตัด ไปแอดมิทกับแผนกศัลยกรรมหัวใจจะเหมาะสมกว่า”
เฉินชางไม่ได้บอกให้อู๋อวี้ซู่แอดมิทในแผนกที่ตัวเองทำงานอยู่เพียงเพราะตนผ่าตัดโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัดได้ การรักษาโรคไม่ได้ขึ้นอยู่กับการผ่าตัดเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงระเบียบขั้นตอนอีกมากมาย เช่นการดูแลของพยาบาล หรือการปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์เป็นต้น
ในแผนกฉุกเฉินจะไม่ค่อยเห็นการผ่าตัดโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัด ดังนั้นหากแอดมิดที่แผนกฉุกเฉินจะนับว่าเป็นการไม่รับผิดชอบต่อผู้ป่วย ดังนั้นเฉินชางจึงไม่ได้บอกให้ผู้ป่วยแอดมิทที่แผนกฉุกเฉินเพียงเพราะจะพัฒนาการผ่าตัดของตนแน่นอน
อู๋อวี้ซู่พยักหน้า พูดขอบคุณ จากนั้นก็กลับไป
……
……
ไม่นานก็ได้เวลาแลกเวรแล้ว เฉินชางเพิ่งรู้ตัวว่าตนมักจะอยากมองไปที่ฉินเยว่ ยิ่งไปกว่านั้น…ก็มองจนเหม่อไปเล็กน้อยแล้วด้วย
เฉินชางรีบส่ายหน้า พยายามรวบรวมสมาธิ แต่…ก็ยังแอบปรายตามองฉินเยว่อยู่ดี
ฉินเยว่ถูกเฉินชางมองจนหน้าแดงระเรื่อ สุดท้ายก็มองเฉินชางครู่หนึ่ง เธอซื่อสัตย์กับตัวเองแล้ว ที่สำคัญก็คือ…ถูกเฉินชางมองเช่นนี้ ทำให้เธอใจเต้นจนแทบทนไม่ไหวจริงๆ
ทั้งสองแอบมองกันไปกันมา ท่าทางลับๆ ล่อๆ
ในที่สุดเฉินชางก็เข้าใจแล้วว่าทำไมบริษัทหลายแห่งถึงไม่สนับสนุนความรักในที่ทำงาน นี่ไม่มีผลดีกับการทำงานเลย ตอนนี้เป็นช่วงเวลาของหัวหน้าพยาบาลเถียนเซียงหลานที่เปรียบเสมือนผู้ดูแลใหญ่ ดังนั้นเฉินชางจึงเปิดแถบสถานะของตนขึ้นมาดู
[เฉินชาง ระดับ: 29: 1200/11600 (เปลี่ยนอาชีพแล้ว)
อาชีพที่1: ศัลยแพทย์ทรวงอก: 12 คะแนน
อาชีพที่2: ศัลยแพทย์หัวใจ (อาชีพลับ): 19 คะแนน]
เฉินชางชะงักไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงเลยว่าคะแนนประเมินของอาชีพศัลยแพทย์หัวใจของตนจะแซงคะแนนของอาชีพศัลยแพทย์ทรวงอกไปเร็วขนาดนี้ เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินชางก็ตกใจ
ท่าทางระยะนี้จะไม่ได้เสียเวลาเปล่าจริงๆ
ทันใดนั้น เฉินชางก็รู้สึกว่าอาชีพศัลยแพทย์หัวใจเป็นเหมือนจุดเปลี่ยน เพราะเมื่อดูในแผนผังทักษะแล้ว ทุกทักษะล้วนเป็นทักษะระดับปรมาจารย์สีม่วงทั้งนั้น จากการแจ้งเตือนของระบบ ถ้ามีทักษะสีม่วงจะบวกคะแนนเพิ่มสี่คะแนน
อืม…จะต้องใช้ทักษะด้านศัลยกรรมหัวใจถึงยี่สิบห้าทักษะเพื่อให้คะแนนประเมินทางอาชีพทะลุร้อยคะแนน จากนั้นจึงจะเปิดอาชีพที่สามได้
อีกอย่าง ขาดอีกแค่สามสิบเอ็ดคะแนนก็จะเปิดใช้ทักษะด้านศัลยกรรมหัวใจระดับสี่ได้แล้ว
นี่ทำให้เฉินชางเบิกบานใจจริงๆ
ในด้านศัลยกรรม ศัลยกรรมหัวใจถือเป็นวิชาเฉพาะทางที่ค่อนข้างยาก การผ่าตัดส่วนใหญ่อยู่ในระดับสี่ นี่ทำให้เฉินชางอึดอัดมาก ถ้าคิดจะเรียนทักษะระดับสี่ก็ต้องมีคะแนนประเมินอาชีพถึงห้าสิบคะแนนเสียก่อน
ดูท่าทางช่วงนี้ตนจะต้องทำให้เมิ่งซีที่โรงพยาบาลตงต้าตกใจบ่อยๆ แล้ว
ตอนนี้เฉินชางรู้ความลับเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับค่าความรู้สึกดีของระบบแล้ว นั่นก็คือการประจบประแจงไม่ค่อยมีประโยชน์อะไร มันมีขีดจำกัดอยู่ เมื่อค่าความรู้สึกดีไปถึงยี่สิบคะแนน ประจบประแจงต่อไปก็ไม่มีผล
แต่การทำให้อีกฝ่ายตกใจ (ในทางที่ดี) จะให้ผลดีกว่า ทำให้ตกใจครั้งหนึ่งก็ได้ค่าความรู้สึกดีมาครั้งหนึ่ง เฉินชางคิดดีแล้ว เขาต้องทำให้อาจารย์เมิ่งตกใจหลายๆ ครั้งหน่อย ให้ค่าความรู้สึกดีของอีกฝ่ายพุ่งทะยานขึ้นไปสูงๆ
วันนี้เขากดเปลี่ยนทักษะไปใช้ [ทักษะฟังเสียงหัวใจ] ครั้งหนึ่ง ทำให้สูญเสียค่าความรู้สึกดีไปสิบแต้ม ดังนั้นค่าความรู้สึกดีของเมิ่งซีจึงกลายเป็น [ค่าความรู้สึกดี: 40 (เหลือ30)]
เฉินชางเข้าใจดีว่ามันหมายถึงอะไร หมายความว่าความสัมพันธ์ระหว่างเฉินชางและอาจารย์เมิ่งจะถูกรักษาอยู่ในระดับสี่สิบแต้ม แต่จริงๆ แล้วมีค่าเพียงสามสิบแต้มเท่านั้น
แต่…เมื่อมองตัวเลขนั้นแล้ว เฉินชางก็จมลงสู่ความเงียบงัน
เขากำลังกังวลว่าถ้าค่าความรู้สึกดีของอาจารย์เมิ่งเพิ่มไปถึงร้อยแต้มแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
เมื่อคิดถึงตรงนี้เฉินชางก็เงยหน้ามองฉินเยว่
ผมไม่ได้อยากนอกใจจริงๆ…
แต่ระบบบังคับผม
ทันใดนั้นเฉินชางก็คิดถึงปัญหาบางอย่างขึ้นมาได้ ตอนนี้ค่าความรู้สึกดีของฉินเยว่อยู่ที่เท่าไหร่กันแน่
เฉินชางกดดูค่าความรู้สึกดีของอีกฝ่ายทันที
[ฉินเยว่: ค่าความรู้สึกดี (ความรัก): 30]
เฉินชางชะงักไป ทำไมหลังคำว่าค่าความรู้สึกดีถึงมีคำว่าความรักเพิ่มมาด้วยล่ะ
[ติ๊ง! ระบบค่าความรู้สึกดีแบ่งออกเป็นหลายประเภท ได้แก่: ความสัมพันธ์แบบเพื่อน ความสัมพันธ์แบบคนรัก ความสัมพันธ์แบบศิษย์อาจารย์ ความสัมพันธ์แบบครอบครัว…มีค่าความรู้สึกดีหลายอย่าง การเพิ่มขึ้นของค่าความรู้สึกดีจะทำให้ไมตรีจิตในความสัมพันธ์แต่ละประเภทของพวกคุณดีขึ้นเท่านั้น]
ทันใดนั้นเฉินชางก็รู้สึกผ่อนคลาย
เขาพบว่าตัวเองคิดมากเกินไปแล้ว ไมตรีจิตระหว่างตนกับอาจารย์เมิ่งคงเป็นแบบศิษย์อาจารย์สินะ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นว่าค่าความรู้สึกดีของเหล่าเฉินทะลวงไปถึงเจ็ดสิบแต้มแล้ว เฉินชางก็รู้สึกตื่นตระหนักเล็กน้อย
ดูท่าทางต่อไปนี้เขาต้องหาทางทำลายสถิติค่าความรู้สึกดีอย่างไร้ยางอายบ้างซะแล้ว และตอนนี้ค่าความรู้สึกดีของตนและฉินเยว่ก็กลายเป็นประเภทความรักไปแล้ว