บทที่ 396 วิธีการผ่าตัดไม่ใช่ประเด็น!
วันนี้เหล่าเฉินดีใจมาก ถึงกับพาเฉินชางไปกินอาหารกลางวันดีๆ เลยทีเดียว
จางจื้อซินก็อยากไป แต่ติดที่วันนี้ท้องไส้เขาไม่ค่อยดี เหล่าเฉินจึงโทรหาเพื่อนที่ทำงานอยู่ในแผนกระบบทางเดินอาหารและนัดตรวจให้เขา ตัดสินใจแล้วว่าจะให้เขากินยาสักหน่อย มิฉะนั้นวันนี้กินอะไรไปอย่าได้คิดถึงความหอมเลย!
ถึงขั้นอาจส่งผลต่อชื่อเสียงของร้านอาหารด้วยซ้ำ หรือไม่ก็ส่งผลกับความอยากอาหารของทุกคน!
ขณะที่จางจื้อซินอยู่ในอารมณ์หดหู่ เฉินเล็กเฉินใหญ่ก็เดินเคียงกันมาถึงร้านอาหารแห่งหนึ่งแล้ว
เดิมทียังอยากดื่มสุราสักสองจอก แต่ตอนบ่ายยังต้องทำงานอีก ตอนเย็นเฉินชางก็ต้องอยู่เวร จึงดื่มไม่ได้
อาหารมากมายหลากหลาย ทั้งสองนั่งลงพูดคุยแย้มยิ้มไปด้วยกัน
ทั้งสองไม่ได้นั่งกินข้าวคุยเล่นกันเช่นนี้มาระยะหนึ่งแล้ว ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เฉินชางเดินตามก้นเหล่าเฉินไปทำงานทั้งวัน
“เสี่ยวเฉิน ครั้งนี้ต้องขอบคุณคุณจริงๆ” เหล่าเฉินยิ้ม “มา ผมขอใช้ชาแทนเหล้า ดื่มให้คุณหนึ่งจอก”
เฉินชางรีบยิ้มรับ “เกรงใจเกินไปแล้วครับ คุณสอนอะไรผมเยอะแยะผมยังไม่พูดอะไรเลย เรื่องแค่นี้จะนับเป็นอะไรได้ล่ะครับ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เฉินชางก็ยิ้มกระอักกระอ่วน “อีกอย่างคุณก็มีส่วนร่วมในงานวิทยานิพนธ์จริงๆ และข้อมูลผู้ป่วยทั้งหมดก็เป็นของคุณทั้งนั้น”
เมื่อกล่าวเช่นนี้ออกมา ทั้งสองก็มองตากันยิ้มๆ
เฉินปิ่งเซิงยิ้มแล้วดื่มชาเข้าไปอึกหนึ่ง สายตาจับจ้องเฉินชาง อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “คุณเติบโตแล้วจริงๆ ตอนแรกผมยังรู้สึกไม่ชินเลยด้วยซ้ำ ชินแต่ตอนที่คุณเดินตามอยู่ข้างหลังผม แต่สองเดือนมานี้ อยู่ดีๆ คุณก็ไม่เดินตามผมแล้ว ไม่ชินเลยจริงๆ”
เฉินชางยิ้มบางแต่ไม่ได้พูดอะไร ก็เหมือนกับที่เหล่าเฉินพูด ตอนแรกเฉินชางก็ไม่ชินเช่นกัน แต่ช่วงนี้ยุ่งเกินไปจนไม่มีเวลาคิดอะไรให้มากความ เขาอยากหาเวลาว่างมานั่งรับประทานอาหารดื่มเหล้าและพูดคุยกับเฉินปิ่งเซิงมาตลอด แต่ก็ยุ่งเกินไปจนไม่มีโอกาส
เฉินปิ่งเซิงยิ้ม “ตอนนี้ก็นับว่าคุณเป็นพลังรุ่นใหม่ของแผนกฉุกเฉินแล้วนะครับ”
เฉินชางหัวเราะ จากนั้นจึงถือโอกาสประจบประแจง “เป็นเพราะคุณสอนมาดีไงล่ะครับ”
เหล่าเฉินส่ายหน้า “ตีเหล็กยังต้องดูวัตถุดิบ คุณเป็นคนมีพรสวรรค์และเรียนรู้เร็ว จะว่าไปผมก็รู้สึกเสียใจบ้างแล้วเหมือนกันที่ให้คุณอยู่แต่ในแผนกฉุกเฉิน คุณเป็นคนที่เกิดมาเพื่อเป็นศัลยแพทย์ ผมไม่เคยเห็นใครมีพรสวรรค์มากกว่าคุณเลย ผมควรให้คุณสัมผัสกับการผ่าตัดเร็วกว่านี้จริงๆ ไม่งั้นตอนนี้คุณอาจผ่าตัดคนเดียวได้แล้ว”
“แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ตอนนี้การผ่าตัดของคุณก็เยี่ยมมาก ไม่ว่าจะผ่าตัดอะไรก็ทำได้เร็วจนเหมือนเข้าถึงแก่นแท้ได้เสมอ บอกตามตรง ผมเคยเห็นการผ่าตัดไส้ติ่งและการผ่าตัดถุงน้ำดีของคุณแล้ว ดีกว่าผมซะอีก”
เหล่าเฉินประเมินค่าเฉินชางไว้สูงมาก แต่ทันใดนั้นเอง อยู่ดีๆ เฉินปิ่งเซิงก็พลิกบทสนทนา จับจ้องไปที่เฉินชางแล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “แต่คุณจะละทิ้งเป้าหมายหลักไปเพราะอย่างอื่นไม่ได้!”
ประโยคนี้ทำให้เฉินชางชะงักไป
หมายความว่ายังไงกันแน่
เฉินปิ่งเซิงมองเฉินชางแล้วพูดอย่างจริงจังต่อไปว่า “การผ่าตัดเป็นวิถีทางไม่ใช่เป้าหมาย ผมหวังว่าคุณจะเข้าใจจุดนี้”
เฉินชางมองเห็นความสงบและมั่นคงในดวงตาของอีกฝ่าย ทำเอาเขาชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงซึมซับประโยคที่ว่า ‘การผ่าตัดเป็นวิถีทางไม่ใช่เป้าหมาย’ อย่างอ้อยอิ่ง
ทันใดนั้น หลายสิ่งหลายอย่างที่เฉินชางไม่เคยคิดก็ปรากฏในสมอง
เหล่าเฉินกล่าวต่อไปว่า “เป้าหมายของการรักษาก็คือการช่วยชีวิต ส่วนการผ่าตัดเป็นเพียงวิธีการรักษาอย่างหนึ่งเท่านั้น คุณผ่าตัดได้ดี เรื่องนี้ผมยอมรับ นี่คือพรสวรรค์ของคุณ แต่คุณต้องจำไว้ว่าการรักษาไม่ได้มีเพียงการผ่าตัดเท่านั้น”
“ที่ผมพูดเรื่องพวกนี้กับคุณเพราะไม่อยากให้คุณสูญเสียตัวตน! คุณเป็นหมอ ไม่ใช่ช่างฝีมือ คุณไม่จำเป็นต้องทำได้แค่การแกะสลัก คุณไม่จำเป็นต้องพิจารณาแค่ว่าจะแกะสลักได้หรือเปล่า ในฐานะที่เป็นศัลยแพทย์ สิ่งที่คุณต้องทำไม่ใช่แค่การผ่าตัดให้ดีเท่านั้น แต่ยังต้องวินิจฉัยโรคให้แน่ชัด แยกแยะโรคภัยให้ได้ พิจารณาการรักษาให้ดี วางแผนการรักษาให้สมบูรณ์แบบ ขณะผ่าตัดก็หาวิธีรักษาทางอายุรศาสตร์ไปด้วย…”
“ดังนั้นคุณจะเหลิงไม่ได้เด็ดขาด จะสูญเสียตัวตนเพียงเพราะคุณผ่าตัดดีๆ แค่ไม่กี่เคสไม่ได้ เส้นทางการแพทย์ยาวไกล ความรู้ลึกซึ้งกว้างขวาง คุณจะต้องเรียนรู้ให้มาก!”
คำพูดของเหล่าเฉินทำให้เฉินชางสะท้อนใจ และทำให้เขาได้สติมากขึ้น
เขาจะผ่าตัดได้มากน้อยแค่ไหนกันเชียว
อย่างมากก็สิบกว่าเคส แต่จะมั่นใจจริงๆ หรือว่าจะรักษาโรคในสิบกว่าเคสนี้ได้จริงๆ
ความระมัดระวังของเขา แผนการรักษาของเขา และสิ่งอื่นๆ…เรียกได้ว่าเขาเชี่ยวชาญการผ่าตัดอย่างแท้จริง เช่นนั้นขอเพียงผ่าตัดให้ดีก็พอแล้ว แต่หากคุณทำได้แค่ผ่าตัด จะเป็นศัลยแพทย์ที่ยอดเยี่ยมได้หรือ จะเป็นหมอระดับหัวหน้าแพทย์ที่เหมาะสมได้จริงๆ หรือ
มีโรงพยาบาลไหนบ้างที่ให้คุุณผ่าตัดอย่างเดียว
ไม่ว่าจะวินิจฉัย รักษา ผ่าตัด ฟื้นตัว การรักษาจะขาดสิ่งใดไปไม่ได้เด็ดขาด!
แม้จะผ่าตัดได้ดี ผ่าตัดได้ยอดเยี่ยม แต่นอกจากผ่าตัดแล้วจะต้องทำอย่างอื่นได้ด้วย!
ไม่ว่าจะเป็นหมอคนใด ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นเลย แม้แต่เก่อฮว๋ายก็ยังมีความรู้ทางด้านคลินิกในระดับที่ว่าต่อให้เฉินชางใช้ความประจบสอพลอของตนก็ยังตามไม่ทัน แน่นอนว่านี่เป็นเพียงขั้นตอนอย่างหนึ่ง ในทุกขั้นตอนที่คุณเรียนรู้ทักษะการผ่าตัด ย่อมได้รับความรู้เฉพาะทางอื่นๆ อีกมากมายติดมาด้วย ดังนั้นจึงไม่อาจเป็นเพียงคนที่ผ่าตัดได้เพียงอย่างเดียว แต่จะต้องเป็นหมอที่ดีให้ได้ด้วย
ตั้งแต่การวินิจฉัยไปจนถึงการรักษา ตั้งแต่การผ่าตัดไปจนถึงการฟื้นตัว ต้องใช้ทุกอย่างมาพัฒนาตัวเอง
ในตอนที่คุณได้เป็นหมอระดับหัวหน้าแพทย์หรือหัวหน้าแผนกแล้ว คุณย่อมกลายเป็นที่พึ่งพาสุดท้ายของผู้ป่วยทั้งหมดในแผนก เป็นแหล่งรวมใจของหมอทั้งหมดในแผนก คุณจะต้องทำตัวเองให้สมบูรณ์แบบ ดังนั้น เส้นทางของหมอจึงเป็นเส้นทางที่ไม่มีวันหวนกลับ
หากมีชีวิตอยู่จนแก่เฒ่าก็ต้องเรียนรู้ไปจนแก่เฒ่า!
……
……
อาหารมื้อนี้กินไปถึงสองชั่วโมง เหล่าเฉินบอกอะไรกับเฉินชางมากมาย เตือนข้อควรระวังกับเขามากมาย นี่ทำให้เฉินชางได้รับแต่ประโยชน์ไม่มีโทษใดๆ
หลายสิ่งหลายอย่างเป็นสิ่งที่ไม่มีสอนในหนังสือ หลายสิ่งหลายอย่างเป็นข้อมูลจากการประสบการณ์ชีวิตของเหล่าเฉิน
ช่วงบ่ายยุ่งกันทั้งบ่าย แผนกฉุกเฉินมีผู้ป่วยมาผ่าตัดไส้ติ่งสองคน เฉินชางเป็นศัลยแพทย์หลัก หวังหย่งเป็นผู้ช่วย เมื่อผ่าตัดเสร็จก็มีผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลวถูกส่งมาที่แผนกคนหนึ่ง มีชีวิตอยู่ได้เพียงช่วงบ่าย
เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นที่แผนกฉุกเฉินทุกวัน ไม่อาจพูดว่าเป็นเรื่องสะเทือนใจอะไรได้ ถึงอย่างไรตอนผู้ป่วยถูกส่งตัวมาก็อันตรายมากแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวผู้ป่วย หรือหมอก็เตรียมใจกับเรื่องเหล่านี้ไว้แล้ว
คืนนี้เป็นเวรของเฉินชาง
เฉินชางรู้สึกว่าทุกครั้งที่อยู่เวรดึกก็เหมือนกับการเข้าสู่สนามสอบ เวลาประกาศผลคะแนนก็คือช่วงเวลาแลกเวรของเช้าวันต่อไป สภาพอาการของผู้ป่วยก็คือกระดาษข้อสอบของคุณ
เวรดึกเป็นช่วงเวลาที่ทดสอบความสามารถของหมอได้ดีที่สุด เพราะจะต้องเผชิญหน้ากับผู้ป่วยเพียงลำพัง จัดการผู้ป่วยเพียงลำพัง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องใช้ความสามารถสูงมาก ก็เหมือนกับที่เหล่าเฉินบอก คุณเป็นหมอ การผ่าตัดเป็นเพียงวิถีทาง ทว่าหากวิเคราะห์กันจนถึงที่สุด สิ่งที่คุณต้องเรียนรู้ก็คือจะอธิบายให้ผู้ป่วยและครอบครัวฟังอย่างไร
เวลาล่วงเลยมาจนถึงหนึ่งทุ่มกว่า เฉินชางใช้ไมโครเวฟอุ่นอาหารที่กินเหลือจากตอนกลางวัน
ตอนนั้นเหล่าเฉินสั่งอาหารมาก ทั้งยังเป็นอาหารจานหลักไม่น้อย คนแค่สองคนจึงกินไม่หมด
เฉินชางเสียดายของจึงใช้กล่องอาหารห่อกลับเพื่อเอาไว้กินตอนเย็น
บริเวณเคาน์เตอร์พยาบาลของโรงพยาบาลมีไมโครเวฟให้ใช้สองเครื่อง ที่เป็นเช่นนี้เพราะสะดวกต่อผู้ป่วยและสะดวกกับบุคลากรทางการแพทย์ด้วย นอกจากนี้ในแผนกฉุกเฉินมักจะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นเสมอ นั่นก็คือขณะหมอกินข้าวได้ครึ่งเดียวก็จะมีคนป่วยมา สุดท้ายก็ต้องวางอาหารลงแล้วไปทำงาน พอทำงานเสร็จอาหารก็เย็นไปหมดแล้ว ดังนั้นไมโครเวฟจึงกลายเป็นอุปกรณ์ที่ได้รับความนิยมที่สุดในโรงพยาบาล
เมื่อเห็นเฉินชางเดินถืออาหารเข้ามา พยาบาลน้อยที่เคาน์เตอร์พยาบาลทั้งหลายก็พากันชะโงกมอง
“ว้าว ได้กลิ่นหอมเลย หมอเสี่ยวเฉินคะ ต้องแบ่งคนอื่นด้วยนะคะ!” พยาบาลพากันหยิบตะเกียบขึ้นมาอย่างดีอกดีใจ
เสี่ยวเยี่ยนสูดจมูกแรงๆ ครั้งหนึ่ง “มีหัวปลาผัดพริกหยวกด้วย!”
เฉินชางกลอกตา “จมูกดีจังนะครับ!”
อาหารมีมากมาย เฉินชางไม่คิดจะกินคนเดียวอยู่แล้ว ทุกคนก็ไม่ได้ถือสา พากันกินอย่างเอร็ดอร่อย