บทที่ 399 ความผันผวนคือสัจธรรมของมนุษย์
หลังจากเฉินชางหยิบสมุดออกมา ทุกคนก็ชะงักไปทันที
ตำรวจสองนายขยับเป็นคนแรก รีบยื่นมือออกมารับสมุดไป
เพิ่งเปิดสมุดออก เมื่อเห็นคำว่า ‘คำสั่งเสีย’ ก็พากันสะดุ้งตกใจ!
นี่…ของสิ่งนี้สำคัญเกินไปแล้ว
ญาติผู้หญิงของผู้ป่วยมองตำรวจ ส่วนชายวัยกลางคนตกตะลึง ดวงตาทั้งสองจับจ้องตำรวจ กล่าวด้วยแววตาคาดหวัง “ผม…ผมดูได้ไหมครับ”
ตำรวจสองนายสบตากัน จากนั้นจึงส่งสมุดไปให้อีกฝ่าย “ครับ อย่าทำให้เสียหายนะครับ นี่…เกี่ยวกับลูกสาวของคุณโดยตรง”
ชายคนนั้นพยักหน้า ยกมือสั่นเทาทั้งสองขึ้นมารับสมุด
“ครับ! ได้ครับ! ได้!”
ครอบครัวของผู้ป่วยทั้งสามคนรับสมุดมาแล้วก้มลงอ่านด้วยกัน
เพียงแต่…เฉินชางทราบดี
สำหรับตำรวจ สมุดเล่มนี้ก็คือหลักฐาน
สำหรับตน มันเป็นเพียงของที่ไม่สลักสำคัญ
แต่สำหรับครอบครัวนี้ อาจเป็นเหมือน…การแล่เนื้อเถือหนัง…เปรียบเสมือนโทษประหาร!
จริงดังคาด ชายคนนั้นใช้ทั้งสองมือรับสมุดมา อ่านทุกประโยคอย่างระมัดระวัง แต่ละประโยคราวกับมีดที่กรีดเฉือนลงบนขั้วหัวใจ!
ทุกประโยค เหมือนเข็มทิ่มแทงใจ!
เจ็บปวด!
……
……
เฉินชางถอนหายใจอย่างจนปัญญา ไม่มีอารมณ์ดูแลพวกเขา ตอนนี้ยังมีเรื่องสำคัญมากมายที่ต้องจัดการ
เล่อเล่อและเสี่ยวเยี่ยนมองดูผู้ป่วยหญิง ก็เกิดหวาดกลัวขึ้นมา!
เมื่อเจิ้งหย่งจวินผู้เป็นหมอประจำห้อง ICU เดินเข้ามา เฉินชางก็แสดงท่าทางบอกเล่า หมออายุสี่สิบต้นๆ เห็นเช่นนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที ถึงกับกลั้นคำด่าไม่ได้ว่า “เดรัจฉาน!”
เธอเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ใครมันกล้าลงมือโหดเหี้ยมถึงขนาดนี้!
ทั่วทั้งร่างของผู้ป่วย นอกจากบริเวณใบหน้าและช่วงแขนที่ไม่มีแผล ส่วนอื่นของร่างกายที่อยู่ใต้ร่มผ้าก็มีรอยแผลอยู่ทุกหนทุกแห่ง
จากการสังเกตอาการพบว่าสัญญาณชีพมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ค่ำคืนนี้คงเป็นค่ำคืนที่ไม่อาจข่มตานอน
แต่ไหนแต่ไรมา การช่วยชีวิตก็หยุดกลางคันไม่ได้อยู่แล้ว!
เมื่อการฟอกไตเสร็จสิ้นก็ต้องรีบตรวจ CK อีกครั้ง
ตอนนี้เจิ้งหย่งจวินถือโอกาสส่งตัวผู้ป่วยไปที่ห้อง ICU เพราะที่นั่นมีอุปกรณ์พร้อมกว่า
ค่ำคืนนี้เปรียบเสมือนฝันร้ายสำหรับทุกคน!
สำหรับเฉินชาง นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน
เรื่องภาวะกล้ามเนื้อสลายเขาเคยเห็นและเคยรักษามาไม่น้อย เรื่องผู้ป่วยกินยานอนหลับเพื่อฆ่าตัวตายก็เคยเห็นและรักษามาไม่น้อย แต่ว่า…
ความรุนแรงในครอบครัว!
ความรุนแรงในครอบครัวที่สาหัสสากรรจ์ขนาดนี้ เฉินชางก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
ทุกครั้งที่ย้อนนึกถึงตัวอักษรในสมุดบันทึกแต่ละตัวที่กระตุ้นให้ผู้อ่านเดือดดาล ในสมองมักปรากฏภาพการกระทำที่ไม่อาจให้อภัย เขาคิดว่าผู้กระทำสมควรได้รับการลงโทษอย่างเหมาะสม ทว่าเขาไม่ใช่คนตัดสิน เขาเป็นเพียงหมอคนหนึ่งเท่านั้น
แม้ผู้ที่นอนอยู่บนเตียงผ่าตัดจะเป็นนักโทษ เขาที่เป็นหมอก็ต้องพยายามรักษาสุดชีวิต
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ เฉินชางก็รู้สึกว่า บางที…สำหรับคนเป็นหมอ สิ่งที่ยากที่สุดอาจไม่ใช่ทักษะการรักษา ทว่าคือการกระทำโดยปราศจากอารมณ์ส่วนตัวทั้งๆ ที่เห็นความโหดร้ายของมนุษย์อยู่เต็มตาต่างหาก
นี่เป็นเรื่องช่วยไม่ได้
บางที…หากสวรรค์รับรู้ คงโศกเศร้าเช่นกัน
ความผันผวนคือสัจธรรมของมนุษย์ ชั่วขณะนั้น เฉินชางคิดว่าตัวเองเข้าใจคำพูดประโยคนี้ลึกซึ้งขึ้นอีกมากเลยทีเดียว
……
……
เฉินชางเฝ้าอยู่ที่ห้อง ICU ถึงประมาณตีห้า ระหว่างนั้นหัวใจของผู้ป่วยหญิงหยุดเต้นไปครั้งหนึ่ง โชคดีที่กู้ชีพทันเวลาและช่วยชีวิตกลับมาได้
เฉินชางมองดูเส้นสัญญาณชีพที่ปรากฏบนหน้าจอ ประหนึ่งว่านี่คือวิญญาณอันอ่อนระโหยโรยแรงของเธอ
เขารู้สึกราวกับว่า ตอนนี้ขณะนี้ หญิงสาวที่อายุน้อยกว่าตนผู้กำลังนอนอยู่บนเตียงหลังนั้นเปรียบเสมือนกระต่ายที่ถูกกักขังวิญญาณ ถูกโบยตีอยู่ตลอดเวลา เธอต้องการหลีกหนีความทรมาน ดังนั้น…ตอนนี้จึงยังไม่ฟื้น
จนกระทั่งเขาได้รับโทรศัพท์จากแผนกฉุกเฉินจึงบอกลาเจิ้งหย่งจวินแล้วกลับไปที่แผนก
ตอนนี้มีผู้ป่วยใหม่มาที่แผนกฉุกเฉินแล้ว เฉินชางเริ่มยุ่งกับงานอีกครั้ง ค่ำคืนนี้เขากลัวว่างงานเป็นพิเศษ
เพราะทุกครั้งที่เขาว่าง จะอดคิดถึงเรื่องนี้ไม่ได้
ครอบครัวของผู้ป่วยหญิงยังคงรออยู่ในห้องโถงด้วยความกระวนกระวายใจ ชายวัยกลางคนยืนพิงกำแพงอย่างอ่อนล้า ขาทั้งสองไร้เรี่ยวแรงจะหยัดยืนจนค่อยๆ ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น สุดท้ายก็นั่งขดตัวแข็งทื่ออยู่เช่นนั้น ขาทั้งสองข้างกางออก ศีรษะทิ้งพิงไปกับกำแพงอันเย็นยะเยือก
แม้กระนั้น ในดวงตาก็ยังเต็มไปด้วยความหนักแน่นสุดเปรียบ บางทีเขาอาจตัดสินใจแล้วว่า ถ้าเขาไม่ตายจะไม่ยอมไปพักเด็ดขาด!
หนุ่มน้อยอายุสิบเจ็ดร้องไห้ราวกับเด็กสามขวบ เขากุมศีรษะสะอึกสะอื้นพลางทึ้งผมตัวเอง ส่วนผู้หญิงอีกคนเอาแต่เงียบงันไม่กล่าววาจา ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ตำรวจนายหนึ่งจากไปแล้ว ส่วนอีกนายหนึ่งมองหนุ่มน้อยคนนั้นด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรบุ่มบ่าม
……
……
เวลาเก้าโมงเช้า หลี่เป่าซาน หัวหน้าแผนกฉุกเฉินเรียกประชุมอย่างเป็นทางการเพื่อหาวิธีรับมือกับผู้ป่วยหญิง
หมออายุรกรรมประสาทคนหนึ่งเสนอว่าควรทำ MRI และ EEG เพื่อดูว่ามีโรคเกี่ยวกับระบบประสาทหรือไม่ เพราะในสถานการณ์เช่นนี้ย่อมไม่อาจทิ้งความเป็นไปได้นี้ออกไปจริงๆ
ทางด้านหัวหน้าฝ่ายอายุรศาสตร์โรคไต หลังจากอ่านค่า CK ของช่วงเช้าไปแล้วก็กล่าวว่ายังไม่ถึงกับไตวาย สภาพในตอนนี้ไม่อันตรายเท่าไรนัก ส่วนเรื่องภาวะกล้ามเนื้อสลาย…ก็ไม่ได้ร้ายแรงถึงชีวิต อาจเป็นเพราะได้รับการฟอกเลือดทันเวลา
……
เมื่อทุกคนแสดงความเห็นของตนออกมาหมดแล้ว ผู้ป่วยหญิงก็ถูกนำตัวไปตรวจอีกครั้ง แต่เรื่องที่ทำให้ทุกคนต้องหวาดผวาก็เกิดขึ้นอีกครั้งแล้ว!
ผลการทำ MRI บ่งบอกว่ามีอาการสมองขาดเลือดชั่วคราวซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสมองอย่างที่ไม่อาจรักษา ผลการตรวจ EEG พบว่าคลื่นสมองผิดปกติ…ลักษณะของคลื่นสมองที่ปรากฏดูแปลกไป
นี่มันแปลกมาก
ศาสตราจารย์ตู้ผู้เป็นหัวหน้าแผนกอายุรกรรมประสาทและสมองเห็นดังนั้นก็ชะงักไปทันที จากนั้นก็กล่าวออกมาอย่างเนิบช้า “นี่…ต้องดูที่ตัวผู้ป่วยแล้วละค่ะ”
กล่าวจบทุกคนก็พากันมองไปที่หัวหน้าแผนกตู้ เห็นดังนั้น หัวหน้าแผนกแซ่ตู้ผู้มีอายุเกือบหกสิบปีจึงกล่าวเสริมไปอีกประโยคหนึ่งว่า “ฉันเคยเห็นคลื่นสมองแบบนี้ค่ะ ทุกคนลองฟังดูก่อนก็ได้อย่าได้คิดเป็นจริงเป็นจังไป เพราะสิ่งที่ฉันจะเล่าไม่มีนัยยะสำคัญทางสถิติและไม่มีหลักฐานข้อพิสูจน์ทางการแพทย์ เป็นเพียงเคสทางการแพทย์เคสหนึ่งเท่านั้น”
ทุกคนพากันพยักหน้า นี่คือสิ่งที่เรียกว่าประสบการณ์ทางการแพทย์
ศาสตราจารย์ตู้กล่าวต่อไป “ตอนนี้สมองส่วนที่เสียหายคือสมองส่วนหน้า ซึ่งอาจส่งผลต่ออารมณ์ เมื่อผู้ป่วยได้สติก็จะทำให้อารมณ์แปรปรวน หรืออาจถึงขั้นเป็นโรคประสาทเลยก็ได้! แต่…อาจส่งผลแค่ทำให้ความทรงจำสับสน หรือไม่ก็…สูญเสียความทรงจำ”
“อีกอย่าง ผู้ป่วยจะฟื้นคืนสติหรือเปล่าก็ต้องดูที่ตัวผู้ป่วยเองด้วยค่ะ นอกจากนั้นคลื่นสมองเป็นแบบนี้แล้ว ความจริงก็พอจะดูออกว่าระบบสมองไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ความผิดปกติของคลื่นสมองแบบนี้อาจเข้าใจได้ว่าเป็นการปกป้องตัวเองอย่างหนึ่ง!”
“พูดให้ชัดเจนก็คือ มนุษย์เราอาจไม่มีความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ แต่ว่า…สิ่งมีชีวิตย่อมมีสัญชาตญาณเอาตัวรอด พอเห็นคลื่นสมองนี้แล้ว ฉันจึงสรุปได้ว่าร่างกายของผู้ป่วยกำลังต่อสู้และปรารถนาที่จะฟื้นขึ้นมา”
กล่าวจบทุกคนก็พากันเงียบ
ศาสตราจารย์ตู้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “รอเถอะค่ะ บางทีอาจฟื้นขึ้นมา บางทีอาจไม่ฟื้น ตอนนี้ต้องดูที่ตัวผู้ป่วยเองแล้ว”
ประโยคนี้เปรียบเสมือนกันโยนความหวังทั้งหมดไปที่ตัวผู้ป่วย
บางที เธออาจไม่อยากฟื้น
บางที เธออาจยินดีฟื้นขึ้นมาในรูปโฉมใหม่