บทที่ 424 เติมสิ่งที่ขาด!
อาหารกลางวันอร่อยดี ร้านอาหารก็เป็นร้านระดับสูง เฉินชางจึงถ่ายคลิปอาหารบนโต๊ะแล้วส่งให้ฉินเยว่ดู
วันนี้ฉินเยว่เข้าเวรพอดี จึงกินอาหารเที่ยงตามสะดวก เมื่อเห็นข้อความของเฉินชางก็โมโหหนัก รีบถ่ายรูปถุงน้ำเกลือและถุงกลูโคสไปให้เฉินชาง ‘นี่เป็นอาหารของคุณในสัปดาห์นี้! (สติ๊กเกอร์หน้าโหด) / แนบรูป’
เฉินชางขำจนหลุดหัวเราะ ทว่าความสามารถในการเอาตัวรอดของเขาสูงมาก หลังกินข้าวเสร็จจึงซื้อชานมผลไม้ที่ฉินเยว่ชอบที่สุดมาให้ด้วย
…..
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสองโมงกว่า ฉินเยว่ยุ่งมาครึ่งวันไม่มีแม้แต่เวลาพักผ่อน เมื่อกลับมาถึงห้องเวร เพิ่งเดินเข้ามา ยังไม่ทันมีเวลาหายใจก็ถูกคนคนหนึ่งเข้ามาสวมกอด!
ฉินเยว่ตกใจจนหน้าถอดสี!
เทคนิคปราบเสือถูกนำมาใช้ เพียงพริบตาเดียวก็งัดกระบวนท่าป้องกันตัวอันเก่งกาจออกมาจนเฉินชางถูกปราบในเวลาเพียงเสี้ยววินาที
เอาเถอะ เฉินชางยอมรับว่าตัวเองไม่กล้าขยับ กลัวยัยขี้ประจบฉินบาดเจ็บ
ตอนนี้ฉินเยว่ทำมือเป็นรูปใบมีดจ่ออยู่ตรงเป้าของเสี่ยวเฉิน
เฉินชางตกใจจนหน้าถอดสี “คิดให้ดีก่อน! คุณผู้หญิง…”
ตอนนี้ฉินเยว่จึงค่อยได้สติกลับมา ที่แท้ก็เป็นเฉินชาง!
ชั่วขณะนั้นเธอทั้งตกใจและดีใจ!
แต่มือก็เกือบไปถึงจุดยุทธศาสตร์แล้ว คิดไปคิดมานี่ก็เป็นของของตัวเอง หากเสียหายไปละก็…คงไม่ดีกับตัวเองแน่ คิดได้ดังนั้นก็เลยช่างมันเถอะ ถือว่ายกผลประโยชน์ให้แล้วกัน!
เฉินชางหวาดผวาหนัก รู้สึกเหมือนมีความเย็นยะเยือกแล่นขึ้นมาจากเท้า หัวใจส่งเสียงดังกึกก้อง
ทำไมผู้หญิงสมัยนี้ถึงได้รุนแรงแบบนี้นะ เป็นสาวเป็นนางไม่ยอมเรียนศาสตร์ศิลป์การเรือน วันๆ เอาแต่เรียนศิลปะป้องกันตัวอะไรก็ไม่รู้…
คิดได้ดังนี้เฉินชางก็เริ่มกังวลกับอนาคตของตนแล้ว แต่…การกอดนี่มันดีจริงๆ …ยังอยากกอดอยู่เลย!
คิดถึงตรงนี้เฉินชางก็ตัดสินใจแกล้งตาย กอดให้นานอีกหน่อย!
“ยังไม่ปล่อยอีก!” ฉินเยว่ที่ถูกเฉินชางกอดกล่าวเสียงเย็น
เฉินชางหน้าเปลี่ยนสี รีบปล่อยมือทันที จากนั้นก็เดินตาลอยไปนั่งบนเตียงข้างๆ
ฉินเยว่ชะงักไป อดบ่นกับตัวเองไม่ได้ว่า ‘ตาทึ่มเอ๊ย บอกให้ปล่อยก็ปล่อยหรือไง โง่จริง!’
แต่เมื่อเห็นเฉินชางนั่งลงบนเตียงด้วยท่าทางคล้ายหวาดผวา ฉินเยว่ก็เกิดกังวลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน…เธอจำได้ว่าเคยมีผู้ป่วยอวัยวะสืบพันธุ์ถูกกระทบกระเทือน ตอนนั้นผู้ป่วยตกใจแทบสิ้นสติ…
คิดถึงตรงนี้ ฉินเยว่ก็ใจเต้นแรง ตานี่คงไม่ถูกเธอทำให้ตกใจจนสติหลุดไม่มีวันหาย…หรอกนะ
คิดแล้วฉินเยว่ก็กระแอมออกมา ปรายตามองไปยังท่อนล่างของเฉินชางแล้วเอ่ยว่า “คุณ! ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ”
เฉินชางถอนใจ มองฉินเยว่แล้วพูดด้วยท่าทางน่าสงสาร “ให้ผมกอดหน่อยก็ไม่เป็นไรแล้วครับ”
ฉินเยว่เห็นท่าทางหน้าด้านไร้ยางอายของเฉินชางแล้วก็ต้องกลอกตาใส่ “หึ งั้นเหรอคะ”
เฉินชางดวงตาเป็นประกาย คิดได้คืบจะเอาศอก รีบพยักหน้าทันที “ได้ไหมครับ”
ฉินเยว่เห็นท่าทางกวนประสาทของเฉินชางก็รู้สึกอยากกระทืบจริงๆ วอแวเว่อร์!
เธอดูออก เฉินชางเป็นสัตว์ร้ายห่มหนังแกะชัดๆ ตอนไม่สวมเสื้อกาวน์นี่วอแวไม่ไหว!
ฉินเยว่ถอดเสื้อกาวน์ออกแล้วเดินไปนั่งบนเก้าอี้ ถอนใจออกมายาวๆ มองเฉินชางด้วยใบหน้าบูดบึ้ง “คุณออกไปกินของอร่อยข้างนอกแล้วไม่ห่อมาเผื่อฉันเลยนะคะ!”
เฉินชางยิ้ม “ตอนเที่ยงกินน้อยหน่อย เดี๋ยวตอนกลางคืนจะพาคุณไปกินหม้อไฟ! แถวโรงพยาบาลตงต้ามีร้านหม้อไฟกระดูกแพะเปิดใหม่ ตกแต่งร้านสวยดี คืนนี้เราไปลองกินกันเถอะ!”
พอได้ยินคำว่าหม้อไฟ ฉินเยว่ก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกฮีลจนเลือดเต็มหลอด ถ้าตอนนี้ได้ชานมอีกสักแก้ว พลังมานา (SPหรือค่าพลังเวท) คงเต็มหลอดไปด้วย เธอรีบพูดด้วยท่าทางดีอกดีใจทันที “ตกลงค่ะ!”
ตอนนี้เอ งเฉินชางรีบหยิบชานมที่ซ่อนไว้ข้างหลังออกมา “แต่นแตนแต๊น! นี่อะไรเอ่ย!”
ชั่วขณะที่ฉินเยว่เห็นชานม ดวงตาก็แทบจะเปล่งแสงออกมา!
เธอกะพริบตาปริบๆ ในดวงตาเต็มไปด้วยความยินดี!
“ขอบคุณค่ะ!”
ฉินเยว่จุ๊บลงบนแก้มของเฉินชางเบาๆ ด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ! จากนั้นก็แย่งชานมไปแล้ว!
เฉินชางชะงักไปทันที รู้สึกเหมือนมีสายลมหอมกรุ่นพัดผ่าน จากนั้นชานมก็หายไปแล้ว
เฉินชางดีใจ แต่…กลับตีหน้าขรึม “ตัวตะกละน้อยตัวแสบ มาทำเจ้าชู้ใส่ผมเหรอ! แล้วยังขโมยชานมของผมไปอีก”
พูดจบเฉินชางก็ตีหน้าเศร้า ท่าทางน่าสงสาร มองฉินเยว่ด้วยน้ำตาคลอเบ้า
ฉินเยว่ตาค้างไปแล้ว จะอย่างไรเธอก็คิดไม่ถึงว่า…เฉินชางจะไร้ยางอายขนาดนี้
“ยางอายของคุณล่ะ”
เฉินชางเปลี่ยนท่าทีกลับเป็นปกติแล้วหัวเราะออกมา จากนั้นก็หันแก้มขวามาให้แล้วพูดว่า “ตรงนี้! อีกครั้งสิครับ!”
ฉินเยว่ผลิยิ้ม กล่าวอย่างเป็นกันเองว่า “ไสหัวไปค่ะ!”
เฉินชางส่งเสียงชิชะ จากนั้นก็ตบลงบนเตียง พูดเจือเสียงหัวเราะว่า “มา มานั่งนี่สิครับ ใกล้กันหน่อย”
ฉินเยว่ได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้ปฏิเสธอีก เดินไปนั่งข้างเฉินชางอย่างเชื่อฟังแล้วเอนศีรษะซบลงบนไหล่ของเฉินชาง ซึ่งก็ซบได้อย่างพอดิบพอดี
เธอมีความสุขจริงๆ ในอินเทอร์เน็ตบอกว่าความสูงระดับนี้เป็นความสูงที่เหมาะสมและสมบูรณ์ที่สุดสำหรับคู่รัก ซึ่งก็คือผู้หญิงซบไหล่ผู้ชายได้พอดีนั่นเอง
อืม…สบายจริงๆ!
ฉินเยว่เป็นผู้หญิงอายุยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดที่ยังมีหัวใจของสาวน้อย หลายปีมานี้เธอไม่เคยมีแฟนเลย มีชีวิตเสมือนอยู่บนหอคอยงาช้างมาตลอด จนกระทั่งเรียนจบแล้วมาทำงานที่โรงพยาบาลอันดับสอง ซึ่งที่นี่ก็เป็นเหมือน ‘เขตอิทธิพล’ ของบิดาเธอ ดังนั้นจึงใช้ชีวิตมาอย่างสะดวกสบาย
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เฉินชางก็เป็นแฟนคนแรกของเธอในรอบยี่สิบกว่าปีนี้
สมัยเรียนเธอเคยแอบรักคนอื่นอยู่บ้าง แต่เธอก็เติบโตขึ้นทีละน้อย เธอพบว่าเธอแค่ชอบบางสิ่งที่ไม่จีรังของพวกเขาเท่านั้น เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป ชื่อแซ่ของคนเหล่านี้ก็ถูกลืมเลือน
สำหรับฉินเยว่ ความรักทั้งศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ เธอเต็มไปด้วยจินตนาการเรื่องความรักอย่างที่สาวน้อยทุกคนมี
เธอซบอยู่บนไหล่ของเฉินชาง คาบหลอดไว้ในปาก ดูดชานมเป็นบางครั้ง จู่ๆ ก็รู้สึกว่านี่คงเป็นสิ่งที่เรียกว่าความสุข!
หากเวลาไหลเวียนเปลี่ยนผันไปอย่างเชื่องช้า พวกเขาก็คงเติบโตและแก่ชราไปอย่างเชื่องช้า แม้กระนั้นนี่ก็เป็นความสุข
แน่นอนว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องเกิดขึ้นระหว่างที่ไม่มีใครเปิดประตูเข้ามา
ในขณะที่ฉินเยว่คิดไปถึงเรื่องที่ว่าจะให้ลูกเรียนโรงเรียนอนุบาลไหนดี…ก็ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กดังขึ้น คนคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง
ฉินเยว่ตกใจเหมือนกระต่ายตื่นตูม รีบลุกขึ้นยืน ถือชานมเดินไปนั่งบนเก้าอี้ด้านข้าง ตีหน้าซื่อ ทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หวังเชียนเดินเข้ามา เขาชะงักไปเล็กน้อย “หือ คุณอยู่ที่นี่ทั้งคู่เลยเหรอ! ทำไมไม่บอกกันบ้างล่ะ”
ฉินเยว่กลอกตา “ฉันเข้าเวรค่ะ! ไม่ให้ฉันอยู่ที่นี่แล้วจะไปอยู่ที่ไหน”
เฉินชางถอนใจ “กว่าผมจะกินข้าวเสร็จก็บ่ายสองโมงแล้ว ไม่มีที่ไปเลยมานอนเล่นที่ห้องเวรน่ะครับ”
หวังเชียนร้องอ้อออกมา “ทำไมไม่งีบสักครู่ล่ะครับ”
เฉินชางถอนหายใจยาว “มีผู้หญิงอยู่ด้วย ผมกลัวว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นคนอื่นจะคิดว่าผมสมยอม!”
หวังเชียนแทบจะสำลักน้ำลาย ส่วนฉินเยว่ก็เกือบสำลักชานม จ้องเฉินชางเขม็ง ส่งสายตาขู่ไปว่า รนหาที่ตาย!
เฉินชางส่งสายตากลับ ไม่โกรธนะครับ ไม่โกรธ นี่เป็นแผนถ่วงเวลา ขัดตาทัพ!
หวังเชียนมองบนใส่เฉินชาง “ชางเอ๋อร์ ผมว่านะคุณนี่หน้าหนาจริงๆ! ถ้าผมเป็นฉินเยว่คงจับคุณตอนไปแล้ว!”
ฉินเยว่ได้ยินดังนั้นก็กล่าวตามน้ำ “ใช่ค่ะ ระวังตัวไว้เถอะ!”
หวังเชียนแค่เดินมาครู่เดียวก็จะไปแล้ว แต่ฉินเยว่ไม่กล้านั่งข้างเฉินชางอีก ถึงอย่างไร…เธอก็ยังไม่อยากให้คนอื่นรู้…
จู่ๆ เฉินชางก็ถามอย่างแปลกใจว่า “ทำไมคุณชอบชานมขนาดนั้นล่ะครับ”
ฉินเยว่ชะงักไปทันที อืม ดูเหมือนจะไม่มีเหตุผลนะ “คุณเดาดูสิคะ”
เฉินชางคิดครู่หนึ่ง ไม่ทันไรก็มีความคิดอันเฉลียวฉลาดแล่นเข้าหัว “เติมสิ่งที่ขาด?”