บทที่ 431 พวกเด็กหลังห้องไม่คู่ควรเข้าร่วมสมการนี้!
แต่ละคนก็มีความคาดหวังแตกต่างกัน!
เฉินชางย่อมตั้งความหวังกับอาจารย์เมิ่งที่อยากเป็นปรมาจารย์แพทย์สูงมาก! แต่…ตอนนี้เฉินชางคิดถึงยัยขี้ประจบฉินมากๆ ยัยคนนั้นเรียนรู้เร็ว เรียนผ่านตัดไส้ติ่งแบบแผลเล็กจากตนไปไม่กี่รอบก็เป็นแล้ว
แต่อาจารย์เมิ่งในตอนนี้…
เฮ้อ!
เฉินชางอดถอนใจไม่ได้ เมื่อเห็นอาจารย์เมิ่งลอกพังผืดส่วนสุดท้ายออกอย่างระมัดระวัง ก็อดพูดไม่ได้ว่า “อาจารย์เมิ่ง เมื่อกี้ผมบอกไปกี่รอบแล้วครับ บริเวณนี้คุณต้องสนใจเส้นประสาทกระบังลมให้มาก เส้นประสาทกระบังลมน่ะรู้จักไหม นี่เป็นส่วนที่เสียหายได้ง่าย! เฮ้อ ทำไมคุณไม่มีสมองแบบนี้นะ…”
เฉินชางพบว่า หลังจากอธิบายไปสิบกว่ารอบแล้วอีกฝ่ายยังจำไม่ได้ สิ่งที่เรียกว่าความอดทนจะหายไปจนไม่เหลือร่องรอย และถูกแทนที่ด้วยโทสะ!
ใช่แล้ว!
เขาได้สัมผัสประสบการณ์ของพ่อแม่ที่ต้องสอนการบ้านลูกอย่างลึกซึ้งเลยทีเดียวเชียว
ปกติอาจารย์เมิ่งเป็นหมอที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง ทำไม…ความทรงจำถึงแย่ล่ะ ไม่มีสมองเอาไว้จำเลยหรือไง
เมิ่งซีได้ยินคำสั่งสอนของเฉินชางก็ไม่โกรธแม้แต่น้อย ถึงกับหน้าแดงก่ำ พูดอย่างอัดอั้นตันใจว่า “ขอโทษค่ะ!”
เฉินชางทอดถอนใจ ได้แต่ส่ายหน้าแต่ไม่พูดอะไร
ทางด้านวิสัญญีแพทย์ก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่ เหงื่อท่วมตัวจนเสื้อเปียกไปหมดแล้ว…
เฉินชางให้หัวหน้าเมิ่งกินยาอะไรไปหรือเปล่า ทำไมวันนี้หัวหน้าเมิ่งถึงดูแปลกไปแบบนี้!
‘ขอโทษค่ะ’ คำพูดนี้ ใช่คำที่เธอควรพูดเหรอ
คิดถึงตรงนี้ วิสัญญีแพทย์ที่ยังอายุน้อยก็รู้สึกเหมือนทัศนคติของตนถูกทำร้าย
หัวหน้าเมิ่งคนนี้ เทพธิดาเมิ่งคนนี้ก็มีท่าทีแบบนี้ด้วยหรือ
เทพธิดาที่องอาจผ่าเผย เชื่อมั่นในตัวเองและรอบรู้คนนั้นไปไหนล่ะ
……
……
การผ่าตัดใช้เวลาไปประมาณหนึ่งชั่วโมงก็จบลง เฉินชางรู้สึกไม่สบายคอเล็กน้อย! นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าแนะนำคนอื่นผ่าตัดหนึ่งเคสยังเหนื่อยกว่าผ่าตัดเองสองเคสอีก!
หลังจากเมิ่งซีเย็บปิดเรียบร้อยแล้วก็มองเฉินชางอย่างกังวล ในดวงตาเต็มไปด้วยความอับอาย
ตอนนี้เอง เฉินชางพลันทอดถอนใจออกมา “อันที่จริงคุณทำได้ไม่เลวแล้ว แต่เป็นผมใจร้อนเกินไป อาจารย์เมิ่ง คุณก็กลับไปทบทวนคำพูดผมให้ดีนะครับ”
เมิ่งซีพยักหน้า “ค่ะ ขอบคุณมากเสี่ยวเฉิน!”
เมิ่งซีคิดในใจว่า เธอควรเรียกอีกฝ่ายว่าอาจารย์เฉินหรือเปล่า
คิดถึงตรงนี้ เมิ่งซีก็รีบสลัดความคิดนี้ออกไป ยังอายคนอื่นไม่พอหรือไง ถูกนักเรียนตัวเองสั่งสอนจนมีสภาพแบบนี้แล้ว!
เฮ้อ…
เมื่อออกมาจากห้องผ่าตัด ทั้งสองก็ไปล้างมือด้วยกัน
เฉินชางคิดไปคิดมาก็พูดขึ้นว่า “อาจารย์เมิ่ง ผมว่าคุณควรทำลายกรอบความคิดเดิมๆ และวิธีผ่าตัดแบบเดิมของคุณให้ได้นะครับ ถึงขั้นตอนนี้มันจะยาก แต่มีแค่ทำแบบนี้ถึงจะพัฒนาได้!”
ความจริงไม่ใช่ว่าเมิ่งซีโง่หรืออะไร แต่การผ่าตัดก็เหมือนการทำอาหาร ต้องทำลายกรอบความเคยชินแบบเดิมๆ ของตัวเองไปให้ได้ เพื่อค้นหาสิ่งที่ตนยังขาดและพัฒนาฝีมือต่อไป
สิ่งที่เฉินชางแนะนำ เมิ่งซีคงค้นพบด้วยตัวเองไม่ได้ แต่ในเมื่อเฉินชางแนะนำออกมาแล้ว เธออาจเปลี่ยนแปลงมันโดยไม่รู้ตัว ซึ่งขั้นตอนนี้ก็ยากมากจริงๆ!
ความก้าวหน้า เดิมทีก็ไม่ใช่ขั้นตอนที่จะหยุดนิ่งอยู่กับที่
เมิ่งซีไม่เหมือนหัวหน้าแผนกเถามี่ เถามี่มีประสบการณ์การผ่าตัดจริงมากมาย เพียงแค่เฉินชางแนะนำเล็กน้อย เขาก็เอาไปเพิ่มพูนและต่อยอดได้แล้ว ด้วยเหตุนี้ ความก้าวหน้าของเถามี่จึงค่อนข้างมั่นคงและรวดเร็ว
เมิ่งซีได้ยินคำปลอบใจของเฉินชางก็พูดยิ้มๆ ว่า “อืม รู้แล้ว ขอบคุณมากเสี่ยวเฉิน!”
ยอมรับข้อด้อยของตนเองอย่างใจกว้างและปรับเปลี่ยนอย่างถ่อมตน นี่ก็ถือเป็นความสามารถอย่างหนึ่ง
เฉินชางยิ้ม กำลังจะหมุนตัวเดินไปก็เหลือบไปเห็นเสื้อผ่าตัดสีเขียวตัวเล็กของอาจารย์เมิ่งเสียก่อน บริเวณคอเสื้อค่อนข้างกว้าง ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะเป็นอะไรที่ควรมอง หรือไม่ควรมอง เฉินชางก็เห็นไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่ขาดทุนเลยสักนิด เมื่อปะทะสายตาเข้ากับเมิ่งซีก็รีบหันหน้าหนีอย่างกระอักกระอ่วน
เมิ่งซีเห็นดังนั้นก็หัวเราะออกมา
เฉินชางกระแอม ทำได้แค่ยิ้มแห้ง
จู่ๆ เมิ่งซีก็ถามอย่างนึกสนุกว่า “เสี่ยวเฉิน คุณมีแฟนหรือยังคะ”
เฉินชางชะงักไป ดูถูกใครกัน ถึงผมจะดูเป็นแบบนี้ แต่…เรื่องแฟนสาวก็ยังมี อีกอย่าง ผมไม่ได้ตั้งใจมองสักหน่อย
“มีแน่นอน!”
เมิ่งซีเห็นเฉินชางหน้าแดงก็ยิ้มออกมาทันที เธอไม่ได้มีความหมายอื่น เพียงแต่เห็นท่าทางหน้าเขียวหน้าแดงของเฉินชางแบบนั้นแล้วมันดูตลกดี
เมิ่งซีเรียนที่อเมริกาตั้งแต่อายุสิบสอง จากนั้นก็ไปเรียนมหาวิทยาลัยที่สวีเดน ความรู้และวัฒนธรรมของชาติตะวันตกที่เธอได้รับมาค่อนข้างเปิดกว้างกว่าวัฒนธรรมและความคิดดั้งเดิมของชาวจีน แน่นอนว่า…สิ่งเหล่านี้หยุดอยู่แค่ความคิดเท่านั้น ยังไม่ลามไปถึงร่างกาย! เพราะจะอย่างไร มารดาของเมิ่งซีก็เป็นหญิงชาวจีนหัวโบราณคนหนึ่ง
เมิ่งซีหัวเราะออกมา “อ้อ! เป็นแฟนที่เพิ่งคบกันสินะคะ”
เฉินชางชะงัก เห็นได้ชัดขนาดนั้นเลยหรือ
เฉินชางถามอย่างแปลกใจ “อาจารย์เมิ่ง คุณรู้ได้ยังไงครับ”
เมิ่งซีหัวเราะเสียงดัง เดินก้าวมาข้างหน้า เพียงแต่…สายตาปรายมองลงไปที่ท่อนล่างของเฉินชาง…
เฉินชางก้มหน้า หน้าพลันแดงก่ำ…เดิมทีคิดว่าตนผ่าตัดเสริมหน้าอกได้อย่างยอดเยี่ยม เห็นความอลังการมานับไม่ถ้วน แต่สุดท้ายก็ยากจะหลีกหนีชะตา! ยิ่งเห็นรอยยิ้มของอาจารย์เมิ่ง เฉินชางก็ยิ่งกระอักกระอ่วน ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินชางพบว่าอาจารย์เมิ่งคนนี้…ไม่เหมือนสิ่งที่เธอแสดงออกมาเลย!
ท่าทางเชี่ยวชาญแบบนี้มันแฝงไปด้วยความ…(คิดเอาเอง)
เฉินชางทอดถอนใจ เดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย พบว่าเมิ่งซีกำลังยืนรอตนอยู่ที่หน้าประตูห้องผ่าตัด
เฉินชางยิ้มกระอักกระอ่วน เมิ่งซีก็ยิ้มตาม ผ่านไปหลายนาที…ทั้งสองสบตากัน อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้
ความรู้สึกนี้เหมือนกับเป็นเพื่อนกันแล้ว!
มิฉะนั้นคงโดนด่าว่าบ้าไปแล้ว!
ไม่กล่าวไม่ได้ว่าการผ่าตัดในวันนี้ทำให้ความสัมพันธ์ของเฉินชางและอาจารย์เมิ่งแปรเปลี่ยนจากศิษย์อาจารย์เป็นสหายไปแล้ว ลดระยะห่างระหว่างกันได้ไม่น้อย
เดิมทีก็อายุต่างกันไม่มากอยู่แล้ว หากจะคบกันแบบลูกศิษย์และอาจารย์ให้เคร่งครัดเหมือนวัฒนธรรมโบราณย่อมเป็นไปไม่ได้
ทั้งสองเดินเคียงกันไป พูดคุยยิ้มแย้มต่อกัน เรื่องเมื่อครู่เป็นเพียงเรื่องตลกระหว่างเพื่อนเท่านั้น ไม่มากไปกว่านั้น
เมื่อกลับมาถึงห้องพักหมอ พวกเก่อฮว๋ายก็ยังทำงานอยู่!
ตอนนี้สองทุ่มกว่าแล้ว
เฉินชางแปลกใจมาก วันนี้เป็นวันทำโอทีแห่งชาติหรือไง
เก่อฮว๋ายเห็นอาจารย์เมิ่งกลับมาแล้วก็รีบพูดขึ้นว่า “อาจารย์เมิ่ง จัดการประวัติคนไข้เรียบร้อยแล้วครับ คุณมาเซ็นชื่อเลยได้หรือเปล่าครับ”
เมิ่งซีกำลังอารมณ์ดี ขณะมองเก่อฮว๋ายก็ยังมีรอยยิ้มให้ “ลำบากคุณแล้วหมอเก่อ เอาไว้พรุ่งนี้แล้วกันค่ะ ตอนนี้ดึกแล้ว ฉันกลับก่อนนะ”
เก่อฮว๋ายดีใจจนตัวแทบลอย
วันนี้เมิ่งซีสวมชุดออกกำลังกาย ให้ความรู้สึกสดใสดั่งวัยหนุ่มสาว
เมิ่งซีกลับไปก่อน ส่วนเฉินชางยังอยู่ต่ออีกหลายนาที
เห็นท่าทางดีอกดีใจเช่นนั้นของเก่อฮว๋าย เฉินชางก็อดถอนใจไม่ได้ “อาจารย์เก่อ คุณคงไม่ได้ชอบอาจารย์เมิ่งหรอกนะครับ”
ประโยคนี้ทำเอาหมอดีกรีปริญญาเอกอีกสองคนที่อยู่ในห้องหูตั้ง เก่อฮว๋ายถูกเฉินชางพูดจาแทงใจเช่นนี้ก็หน้าแดงจนทนไม่ไหว
“อย่าพูดเหลวไหล! มีเรื่องแบบนั้นที่ไหนกัน!” เก่อฮว๋ายพูดกลบเกลื่อน
เฉินชางอดพูดไม่ได้ว่า “อาจารย์เก่อ คุณทำแบบนี้ไม่ถูกเลยนะครับ!”
เก่อฮว๋ายได้ยินดังนั้นก็มองเฉินชางอย่างแปลกใจ หรือว่า…หัวหน้าเมิ่งกับเสี่ยวเฉินจะแอบคุยอะไรกันตอนผ่าตัด
คิดถึงตรงนี้ เก่อฮว๋ายก็รีบถามว่า “อ้อ เสี่ยวเฉิน คุณมีอะไรจะแนะนำเหรอ”
เฉินชางดีดนิ้ว พูดยิ้มๆ ว่า “จะพูดว่าแนะนำก็ไม่ได้หรอกครับ แต่…มีอะไรจะเสนอจริงๆ!”
เก่อฮว๋ายดวงตาเปล่งประกาย “อะไร!”
เก่อฮว๋ายเพิ่งพูดจบก็รู้สึกเหมือนถูกขนาบข้าง ทำให้เขาโมโหจนหน้าแดง “พวกคุณเข้ามาทำไม!”
หมอดีกรีปริญญาเอกหนึ่ง “คุณไม่ได้ชอบอาจารย์เมิ่งสักหน่อย ทำไมพวกเราจะฟังไม่ได้!”
หมอดีกรีปริญญาเอกสอง “ใช่แล้ว! สู้กันอย่างเท่าเทียมสิครับ อีกอย่าง ว่ากันด้วยความน่าจะเป็นทางสถิติ ถ้า u1 = หัวหน้าเมิ่งชอบคุณ u2 = อาจารย์เมิ่งไม่ชอบคุณ ภายใต้สถานการณ์นี้ จะต้องสร้างการวิเคราะห์ทางสถิติขึ้นมา ตามกฎการวิเคราะห์ของไคสแควร์ คุณจำเป็นต้องรู้ค่า p!”
เก่อฮว๋ายได้ยินดังนั้นก็ไม่พอใจ “คุณพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะครับ จะสร้างสมมติฐานแบบนี้ไม่ได้ การวิเคราะห์ตามกฎไคสแควร์ใช้กับเรื่องนี้ไม่ได้! พวกเราแข่งกันสามคน แบบนี้ก็จะต้องแบ่งกลุ่มไปวิเคราะห์ ดังนั้นจึงต้องใช้ค่า F ไม่เกี่ยวกับค่า P!”
หมอดีกรีปริญญาเอกร่วมการต่อสู้ “ไม่ถูก ค่า F ไม่เป็นรูปธรรม พวกเราจะต้องพิจารณาถึงข้อผิดพลาดหนึ่งและข้อผิดพลาดสองด้วย ถ้าใช้การวิเคราะห์แบบ meta ผมว่าจะต้องเพิ่ม…ดูสิ พวกเราสร้างสมการล่วงหน้าได้แบบนี้ จากนั้นก็…”
เฉินชางมองการแข่งจีบหญิงที่กลายเป็นการแข่งขันทางสถิติไปแล้วตาปริบๆ ถึงกับตกตะลึงเล็กน้อย…
หรือว่า…โลกของนักเรียนเทพมันมีสีสันขนาดนั้นจริงๆ
หาแฟนก็ต้องใช้การวิเคราะห์แบบเมตาด้วย?
ทันใดนั้น เฉินชางก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่เป็นแฟนกับยัยขี้ประจบฉินก่อนเรียนปริญญาเอก มิฉะนั้น…ต่อไปคงจีบยากแล้ว ถ้าอีกฝ่ายมาถามว่าค่า P เท่ากับเท่าไหร่จะทำยังไง
ผมไม่คู่ควรที่จะเข้าร่วมสงครามระดับสูงแบบนี้หรอก!
ช่างเถอะ ช่างเถอะ!
เห็นคนระดับปริญญาเอกคุยกันเช่นนั้น จู่ๆ เฉินชางก็รู้สึกอิจฉา
คนมีความรู้หาแฟนจะต้องใช้วิธีการวิเคราะห์ทางสถิติจริงๆ ด้วย…
เฉินชางมองสถานการณ์เบื้องหน้า ดูเหมือนทั้งสามจะสนทนากันไปถึงนิสัย งานอดิเรก รูปร่าง และเอามาแปลงเป็นตัวเลขเข้ากระบวนการวิเคราะห์ทางสถิติแล้ว ทำได้ดีทีเดียว…
เฮ้อ!
จริงสิ แล้วคำแนะนำของผมล่ะ
ทำไมไม่มีใครฟัง
คิดถึงตรงนี้เฉินชางก็พูดว่า “อาจารย์เก่อ ผมมีคำแนะนำ…”
เก่อฮว๋ายหมดความอดทนแล้ว “ไสหัวไป! อย่ามารบกวนการคำนวณของผม!”
หมอดีกรีปริญญาเอกสองพยักหน้า!
หมอดีกรีปริญญาสามเห็นด้วย!
พวกเขาคิดว่าไม่มีคำแนะนำอะไรดีไปกว่าสมมติฐานทางวิทยาศาสตร์และข้อมูลทางสถิติอีกแล้ว!
ถูกต้อง ความรักก็คือสมการ
พวกเด็กหลังห้องไม่คู่ควรเข้าร่วมสมการนี้!