บทที่ 425 ต่อกระดูกด้วยมือ
มณฑลตงหยางเป็นมณฑลที่มีสี่ฤดู ช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงเป็นช่วงที่ทำให้ผู้คนกังวลมาตลอด
ตอนใส่กางเกงลองจอนก็ร้อน แต่พอตกกลางคืน ไม่ทันไรอากาศก็กลับมาเย็นสบายอีกครั้ง ความแตกต่างของอุณหภูมิในช่วงกลางวันและกลางคืนเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
เวลาประมาณหกโมงกว่าซึ่งเป็นเวลาใกล้เลิกงาน ใครบางคนเดินวนไปวนมาอยู่ตรงประตูห้องหมอของแผนกฉุกเฉิน เขาเดินวนอยู่หลายรอบแล้ว ท่าทางลังเลอยู่พักใหญ่ก็ยังไม่กล้าเข้าไป
นางพยาบาลเสี่ยวหลินมองไปด้านนอก พูดกับฉางลี่น่าว่า “พี่น่า ด้านนอกมีคนอยู่ค่ะ แต่…นานแล้วก็ไม่เห็นเข้ามาสักที”
ฉางลี่น่าใจกล้ากว่าเสี่ยวหลิน เธอเป็นพวกกล้ารักกล้าชัง แม้เป็นคนพูดโผงผางอยู่บ้างแต่ก็มีนิสัยของหญิงแกร่งอยู่ด้วย!
หากใช้คำพูดของเสี่ยวหลินมาอธิบายก็คือ หากตอนนี้เป็นยุคโบราณ เธอคงเป็นนางโจรปล้นสะดม ไม่สิ! เป็นโจรสาวที่ปล้นคนรวยช่วยคนจนต่างหาก
ฉางลี่น่าได้ยินดังนั้นก็ถูกกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที พูดไปว่า “เดี๋ยวฉันไปดูหน่อยแล้วกัน”
ขณะพูดก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปนอกห้องโถงของแผนกฉุกเฉิน พอออกมาแล้วก็เจอคนเร่ร่อนเดินไปเดินมาอยู่หน้าประตู ท่าทางลังเล ตั้งนานแล้วก็ยังไม่ยอมเข้ามา
คนเร่ร่อนคนนี้สวมชุดเก่าๆ ขาดๆ อยู่ห่างไปสามเมตรห้าเมตรก็ยังได้กลิ่นไม่ดี เขาสวมเสื้อผ้าขาดๆ ทับกันหลายชั้น ผมเผ้ายุ่งเหยิง เขาลากของไร้ประโยชน์กองใหญ่มาด้วย เป็นพวกกระป๋อง กระดาษแข็ง ขวดน้ำ ดูเหมือนจะเป็นสมบัติทั้งหมดของเขา
คนที่เดินผ่านไปมาเห็นคนเร่ร่อนคนนี้ก็พากันหลีกเลี่ยง
เมื่อเห็นฉางลี่น่าเดินออกมา คนเร่ร่อนก็รีบหมุนตัวไปทันทีราวกับตกใจอย่างไรอย่างนั้น รีบลากของคิดจะเดินจากไป
ฉางลี่น่าชะงัก รีบร้องเรียกเอาไว้ “เดี๋ยว รอก่อนค่ะ!”
คนเร่ร่อนได้ยินเสียงเรียกก็เดินก้าวไปอย่างลังเลสองสามก้าวแต่สุดท้ายก็หยุดเดิน
ฉางลี่น่าตะโกนว่า “มีอะไรให้ช่วยไหมคะ”
อันที่จริงสถานการณ์เช่นนี้พบเห็นได้บ่อยในแผนกฉุกเฉิน ที่นี่มักมีขอทาน คนเร่ร่อน หรือคนบ้ามาปรากฏตัวอยู่ตรงประตูบ่อยๆ
ฉินไท่ซานยามประจำแผนกฉุกเฉินเห็นดังนั้นก็รีบเดินออกมาพูดกับคนเร่ร่อนว่า “มีธุระอะไรครับ ถ้าไม่มีอะไรก็กลับไปที่เดิมเถอะ นี่คือแผนกฉุกเฉิน อย่ายืนกีดขวางทางสัญจร”
คนเร่ร่อนได้ยินดังนั้นก็รีบพยักหน้าแล้วลากของของตนเดินไปด้านข้าง เพียงแต่ขณะเดินดูเหมือนแขนซ้ายจะยกไม่ค่อยขึ้น
ฉินไท่ซานส่ายหน้า เรื่องเช่นนี้เขายุ่งไม่ได้ ทำได้เพียงหลับตาข้างลืมตาข้างเท่านั้น
ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงแล้ว เป็นช่วงเวลาเลิกงาน ทำให้มีคนเยอะ คนกลุ่มหนึ่งเห็นคนเร่ร่อนก็พากันเดินอ้อมไป
ฉางลี่น่าเห็นเขาไม่ตอบก็ถอนใจออกมา เธอไม่คิดวุ่นวายให้มากเรื่อง ได้แต่กลับไปที่ห้องโถงของแผนกฉุกเฉิน
ฉินเยว่แลกเวรกับหวังเชียนแล้วก็เลิกงานตามปกติ เธอมองเฉินชางแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ!”
พอมาถึงห้องโถงของแผนกฉุกเฉินก็เห็นคนเร่ร่อนนอกประตูเดินย้อนกลับมาอีกครั้ง คราวนี้มามือเปล่า เหมือนจะวางของไว้ที่มุมหนึ่งแล้วก็เดินย้อนกลับมา กระนั้นเขาก็ยังยืนอยู่ตรงประตูไม่กล้าเข้ามา
ฉางลี่น่ารีบพูดขึ้นว่า “หมอเสี่ยวเฉิน คนคนนี้ยืนอยู่ตรงประตูนานแล้วค่ะ ฉันดูแล้วเหมือนแขนของเขาจะมีปัญหา”
เฉินชางได้ยินดังนั้นก็ลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็พูดกับฉินเยว่ว่า “รอสักครู่นะครับ”
พูดจบก็เดินออกไปด้านนอก
คนเร่ร่อนเห็นเฉินชางเดินออกมาก็รีบหลบทางไม่กล้ายืนขวาง แต่เฉินชางกลับเดินมาหาเขา
พอเดินเข้ามาใกล้อีกฝ่าย เฉินชางก็ถามขึ้นว่า “ผมเป็นหมอของโรงพยาบาลอันดับสองครับ คุณมีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับ”
คนเร่ร่อนหยิบซองบะหมี่กึ่งสําเร็จรูปออกมาจากกระเป๋าเสื้อของตน จากนั้นก็เปิดซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป พบว่ามีถุงพลาสติกสีขาวอยู่อีกถุงหนึ่ง ข้างในมีเศษเงินอยู่ห้าหยวนและเงินเหรียญอีกกองใหญ่ เฉินชางคำนวณดูคร่าวๆ คิดว่าน่าจะมีประมาณร้อยสองร้อยได้
คนเร่ร่อนส่งเงินให้เฉินชาง ปากก็เปล่งเสียงว่า “อาๆๆ …อือ…”
เฉินชางชะงักไป เป็นใบ้หรือ?
คนเร่ร่อนร้อนใจ เขาชี้ไปที่แขนของตนแล้วลองออกแรง ทำท่าทางให้รู้ว่าขยับไม่ได้
เฉินชางรีบถาม “คุณขยับแขนไม่ได้เหรอครับ”
คนเร่ร่อนพยักหน้า “อือๆๆ!”
เฉินชางลังเลอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงคิดพิจารณาไปตามความเคยชิน ต้องไปเอกซเรย์แล้วละ!
เฉินชางรีบพูด “ต้องเอกซเรย์ดูนะครับว่ากระดูกแตกหรือเปล่า”
คนเร่ร่อนสายหน้า ไม่ยอมเข้าไปเด็ดขาด จากนั้นก็ถอยหลังไปสองก้าวใช้นิ้วชี้ไปบนร่างกายราวกับจะบอกว่า ไม่ไปๆ ผมสกปรกมาก เดี๋ยวทำให้พื้นและอุปกรณ์สกปรกไปด้วย
ตอนนี้ฉินเยว่เดินออกมา คนเร่ร่อนก็ยิ่งเดินถอยห่างไปอีกหลายก้าวราวกับกลัวว่าจะทำให้ผู้หญิงคนนี้รังเกียจ
ฉินเยว่เห็นดังนั้นก็รีบเดินเข้าไป “พวกเราต้องดูแขนของคุณนะคะว่าวินิจฉัยถูกหรือเปล่า”
คนเร่ร่อนส่ายหน้า “อาๆ…อือๆ!”
เขาวาดไม้วาดมือแล้วดึงแขนลง
เฉินชางชะงัก จะบอกว่ากระดูกเคลื่อนหรือ
คิดถึงตรงนี้ เฉินชางก็คิดขึ้นมาได้ว่าตนเองมีทักษะจัดกระดูกอยู่ด้วยจึงพูดกับชายคนนั้นว่า “มา ให้ผมคลำดูหน่อยว่าเป็นอะไร ถ้าคุณเจ็บคุณก็ร้องออกมานะครับ”
คนเร่ร่อนลังเลครู่หนึ่ง ชี้ไปที่มือเฉินชางแล้วชี้มาที่แขนของตนก่อนส่ายหน้า จากนั้นก็วาดมือเป็นรูปถุงมือราวกับจะบอกว่า ‘ผมสกปรกมาก อย่าใช้มือจับ ไปใส่ถุงมือเถอะ’
เฉินชางอ่อนอกอ่อนใจไปโดยพลัน เขาส่ายหน้ายิ้มๆ “ผมไม่กลัว อีกเดี๋ยวค่อยไปล้างมือเอาก็ได้”
ชายคนนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง อยากถอดชุดคลุมด้านนอกออก แต่ผ่านไปนานแล้วก็ยังไม่ถอด ถึงอย่างไรแขนซ้ายก็กระดูกหลุดแล้วขยับไม่ได้ ส่วนแขนขวาก็ขยับอยู่นานแต่ก็จนปัญญา
ฉินเยว่เดินไปข้างหน้าเพื่อช่วยปลดกระดุมและถอดเสื้อนอกให้เขาโดยไม่รังเกียจว่าอีกฝ่ายสกปรก คนเร่ร่อนเห็นดังนั้นก็ส่งอืออาน้ำตาไหล แต่ก็ยังพูดอะไรไม่ได้
เมื่อเห็นแขนอีกฝ่าย ฉินเยว่ก็พูดกับเฉินชางว่า “ให้ฉันโทรหาเสวี่ยเลี่ยงแผนกออร์โธฯ (ศัลยกรรมกระดูก) ไหมคะ”
เฉินชางส่ายหน้า “เดี๋ยวผมดูก่อนนะครับ”
พูดจบก็ยื่นมือไปจับแขนชายคนนั้นขึ้นมาแล้วใช้มือบีบนวด พลางถามไม่หยุดว่าเจ็บไหม
เมื่อถกเสื้อขึ้นมาถึงบริเวณไหล่ เฉินชางก็เห็นว่าบริเวณไหล่ซ้ายของคนเร่ร่อนมีรอยบุ๋มอย่างชัดเจน นี่…เป็นลักษณะไหล่แบบเหลี่ยมตามตำรา เฉินชางใช้มือกดลงไปบริเวณรักแร้และใต้จะงอยบ่าเบาๆ สัมผัสได้ว่าต้นแขนเคลื่อนที่ได้ และ…ตรงข้อต่อว่างเปล่า!
นี่คงเป็น…กระดูกข้อต่อบริเวณไหล่หลุดสินะ
เฉินชางพิจารณาในใจ จากนั้นจึงจับมือซ้ายของเขาวางลงบนไหล่ขวา พบว่าวางมือไม่ได้ ผลทดสอบเป็นบวก!
ตอนนี้แน่ใจแล้วว่ามีอาการข้อต่อไหล่หลุด ส่วนเรื่องกระดูกแตก…ยังไม่แน่ใจ แต่ดูจากสภาพตอนนี้แล้วคงไม่ได้กระดูกแตก ถ้าหากต้องการข้อมูลที่แน่ชัดจะต้องเอกซเรย์ แต่คนเร่ร่อนนี้ตีให้ตายก็ไม่ยอมเข้าไปในโรงพยาบาล พอบอกว่าให้เข้าไปก็จะวิ่งหนี เฉินชางเองก็จนปัญญา
ต่อให้กลับเข้าที่ก็แล้วกัน!
คิดถึงตรงนี้เฉินชางก็ใช้มือวางลงบนตำแหน่งกระดูกหัวไหล่ให้มั่นคงแล้วใช้อีกมือหนึ่งจับบริเวณแขนซ้ายของผู้ป่วยเอาไว้ หมุนตามแนวอย่างอ่อนโยนจากนั้นก็ออกแรงดัน ฉับพลันนั้นก็มีเสียงดังออกมา!
เข้าแล้ว!
ทางด้านคนเร่ร่อนคล้ายชินกับอาการไหล่หลุดแล้วจึงไม่ได้มีท่าทีอะไรมาก ขณะคุยกันยังทำท่าจะขยับอีกด้วย เฉินชางจึงต้องรีบหยุดเอาไว้ ใช้เสื้อของชายคนนั้นผูกแขนคล้องกับคอเพื่อให้แขนอยู่นิ่งๆ
“ช่วงนี้ให้อยู่นิ่งๆ ไปก่อนสักหนึ่งเดือน อย่าขยับมั่วซั่วนะครับ”
คนเร่ร่อนเห็นดังนั้นก็รีบพยักหน้า ใช้มือขวาหยิบเงินร้อยสองร้อยหยวนมายัดใส่มือเฉินชาง เฉินชางรีบปฏิเสธ ส่วนฉินเยว่อยากช่วยชายคนนั้นสวมเสื้อ แต่อีกฝ่ายกลับวิ่งไปไกลแล้ว
ทำได้แค่ช่างมัน!
อย่างไรก็ตาม เมื่อชายเร่ร่อนวิ่งไปไกลประมาณเจ็ดแปดเมตรแล้วก็คุกเข่าลงกับพื้น โขกศีรษะให้เฉินชางและฉินเยว่ ชั่วขณะนั้นคนบนถนนที่พากันหยุดดูมีมากขึ้นเรื่อยๆ บางคนถึงกับยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายคลิป
เฉินชางและฉินเยว่เห็นดังนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปที่ห้องโถงของแผนกฉุกเฉิน