บทที่ 440 นี่คือ…สินสอดหรือ
ในขณะที่สหายเก่ากำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน หลี่เป่าซานคล้ายจะสัมผัสได้ถึงความรักอันร้อนแรงผ่านทางหน้าจอ!
ไม่เลว! ได้รับคำอวยพรจากทุกคนแล้ว!
คิดแล้วก็ตอบกลับใต้ข้อความของตนภายในครั้งเดียว “ตอบทุกคน: ขอบคุณมากครับ!”
จากนั้นก็เดินยิ้มออกไปด้านนอก
วันนี้ลมแรงจริงๆ!
หวังเซี่ยงจวินเห็นข้อความก็หนังตากระตุก เจ้าหลี่หน้าดำคนนี้นี่…เสแสร้งเก่งขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ใครเป็นคนสอนเขากัน
อย่างไรก็ตาม…เมื่อเขามองไปยังภาพวารสารการปลูกถ่ายตับที่เพื่อนส่งมาให้ก็ยังอดดีใจไม่ได้ เพียงแต่ดีใจก็ส่วนดีใจ อย่างไรก็มีความไม่พอใจอยู่บ้าง! ถึงกระนั้น…เมื่อหวังเซี่ยงจวินสำรวจดีๆ ก็ต้องแค่นเสียงหึออกมา
ผู้ประพันธ์บรรณกิจก็คือ ‘Chen Chang’
ทันใดนั้น หวังเซี่ยงจวินก็คิดถึงชื่อหนึ่งขึ้นมา! เฉินชาง!
ก็คือ…เสี่ยวเฉินคนนั้นหรือ
หวังเซี่ยงจวินเข้าใจกระจ่างขึ้นมาโดยพลัน
ไอ้แก่หลี่นี่ หน้าด้านจริงๆ เอาบทความที่คนอื่นเขียนมาอวด ขายหน้าจะตายแล้วมั้ง!
เหอะ!
ผมไม่พอใจ!
ใช่ อิจฉาโว้ย!
ก็อิจฉาไง จะทำไมล่ะ แค่อิจฉาก็ไม่ได้เหรอ
แต่หลี่เป่าซานก็เป็นผู้ประพันธ์อันดับแรก! ดังนั้นที่เขาพูดก็ถือว่าไม่ผิด
พอเอาเรื่องนี้มารวมกับคำพูดที่ว่า ‘ยุคสมัยนี้เป็นยุคสมัยของคนหนุ่มสาวจริงๆ พวกเราแก่แล้วละ!’ ก็ดูเหมือนจะลงตัวพอดีแล้ว!
หวังเซี่ยงจวินได้แต่ตบขาตัวเอง!
เป็นเฉินชางจริงๆ ด้วย วิทยานิพนธ์ของเสี่ยวเฉิน แต่ใส่ชื่อหลี่เป่าซานลงไปด้วย แถมยังใส่ตรงผู้ประพันธ์อันดับแรกอีกต่างหาก ความจริงคงจะเป็นเช่นนี้สินะ
เพียงพริบตาเดียว หวังเซี่ยงจวินก็คาดเดาเรื่องราวคร่าวๆ ได้แล้ว ในสมองของเขาพลันปรากฏภาพชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ท่าทางสะอาดสะอ้านคนนั้นขึ้นมาทันที ทุกครั้งที่เจออีกฝ่ายก็จะมีเรื่องทำให้เขาปลื้มอกปลื้มใจเสมอ
ครั้งแรกคือการผสมน้ำยาฟอกไตซึ่งทำให้หวังเซี่ยงจวินรู้สึกดีกับเฉินชางมาก
ครั้งที่สองคือการผ่าตัดด่วนในห้องฉุกเฉิน นี่ทำให้หวังเซี่ยงจวินแปลกใจ
ส่วนครั้งนี้ เฉินชางได้ตีพิมพ์วิทยานิพนธ์กับวารสารการปลูกถ่ายตับ!
หวังเซี่ยงจวินเงียบไป รู้สึกโศกเศร้าเสียใจจริงๆ!
เขาคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ สุดท้ายก็ไม่อาจกล้ำกลืนฝืนทน ตัดสินใจแล้วว่าพอถึงวันจันทร์จะสร้างแรงกดดันให้หมอในแผนกสักหน่อย เพราะยิ่งกดดันมาก แรงขับเคลื่อนก็จะมากตาม เขาคิดว่าศักยภาพของคนหนุ่มสาวไร้ขีดจำกัด หากไม่สร้างแรงกดดันให้พวกเขาบ้าง พวกเขาก็จะไม่รู้จักพัฒนา!
ไม่ใช่แค่หวังเซี่ยงจวินคนเดียวเท่านั้น หัวหน้าแผนกทั้งหลายต่างก็มองท่าทางโอ้อวดของหลี่เป่าซานออกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว ใจความสำคัญโครงการโอ้อวดครั้งนี้ก็คือ: ผมแก่ไม่เป็นไร แต่ผมมีลูกน้องเก่งๆ อยู่กลุ่มหนึ่ง นับถือผมหรือยังล่ะ
หัวหน้าแผนกเหล่านี้ต่างตัดสินใจแล้วว่าจะกลับไปสร้างแรงกดดันให้หมอในแผนกตนเอง เพื่อเป็นการกระตุ้นสักหน่อย!
เพียงพริบตาเดียว สุดสัปดาห์นี้ก็กลายเป็นสุดสัปดาห์สุดท้ายที่หมอในแผนกต่างๆ ของโรงพยาบาลหลายแห่งจะได้ใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลาย พวกเขาไม่ทราบเลยว่าเมื่อผ่านสุดสัปดาห์นี้ไปแล้วพวกตนจะต้องเผชิญหน้ากับอะไรใหม่ๆ บ้าง!
……
……
เมื่อสวีตงตงกลับมาถึงหอพักแล้วก็ตัดสินใจว่าจะศึกษาวิทยานิพนธ์ของเฉินชางให้ดีๆ เพื่อเป็นการเรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์
เพื่อนร่วมห้องอีกสามคนกำลังคุยเล่นกันอยู่ เมื่อเห็นว่าสวีตงตงกลับมาแล้วก็ถามออกไปว่า “ตงตง ทำไมเพิ่งกลับมาล่ะ พวกเราว่าจะไปกินข้าวด้วยกันนะ”
สวีตงตงยิ้ม “ผมเพิ่งอ่านบทความของอาจารย์เฉินมาน่ะครับ”
ชายคนหนึ่งอดถามไม่ได้ว่า “อาจารย์เฉินหรือ อ้อ คุณหมายถึงเฉินชางเหรอครับ พวกเราอยู่ในห้องไม่ได้อยู่ข้างนอกสักหน่อย ไม่เห็นต้องเรียกอาจงอาจารย์อะไรเลย อีกอย่าง ดูแล้วคงอายุพอๆ กับเราละมั้ง!”
ชายอีกคนหนึ่งก็พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้ว อย่าประเมินเขาสูงไปหน่อยเลย เขาก็มีดีแค่ประสบการณ์ทางด้านคลินิกที่ค่อนข้างมาก แต่คุณเองก็มีประสบการณ์ทางด้านงานคลินิกมาสามปีเหมือนกันนี่ ต่างกันไม่มากหรอกครับ! แต่ว่าพื้นฐานกลับต่างกันมากอยู่ เพราะเขาจบแค่ปริญญาตรี ส่วนคุณจบปริญญาโท”
สวีตงตงได้ยินประโยคนี้ก็อดยิ้มไม่ได้ “ชั่วชีวิตนี้ผมคงไล่ตามความสำเร็จของอาจารย์เฉินไม่ทันหรอก!”
เมื่อเขากล่าวออกมาเช่นนี้ ทุกคนก็ชะงักไปทันที!
หมายความว่าอย่างไร
ชายคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “ตงตง เคารพก็ส่วนเคารพ แต่อย่ากดตัวเองให้ต่ำสิครับ! ตอนเรียนปริญญาโทคุณก็ได้ตีพิมพ์วิทยานิพนธ์กับวารสารของมหาวิทยาลัยปักกิ่งถึงสองเล่มเลยนี่ครับ คนธรรมดาทำไม่ได้หรอก”
สวีตงตงส่ายหน้า “เมื่อกี้ผมเพิ่งรับพัสดุให้อาจารย์เฉิน พวกคุณรู้หรือเปล่าว่ามันคืออะไร”
ทุกคนส่ายหน้า สีหน้าสับสน “อะไรล่ะ”
สวีตงตงยิ้ม “เป็นวารสารฉบับหนึ่งครับ วารสารชื่อว่าการปลูกถ่ายตับ!”
รอยยิ้มของทุกคนเลือนหายไปโดยพลัน
สวีตงตงพูดต่อไป “ตอนแรกผมนึกว่าเป็นวารสารที่อาจารย์เฉินสั่งจองไว้ แต่สรุปว่าไม่ใช่ มันเป็นวิทยานิพนธ์ที่เขาได้ตีพิมพ์กับวารสารการปลูกถ่ายตับ ทางวารสารก็เลยส่งตัวอย่างกลับมาให้”
ประโยคนี้ทำให้อีกสามคนเบิกตากว้าง รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ! ลมหายใจกระชั้นถี่!
เฉินชางเก่งขนาดนั้นเลยหรือ ได้ตีพิมพ์กับวารสารการปลูกถ่ายตับด้วยหรือ!
สวีตงตงยิ้ม “ผมไม่ได้กดตัวเองให้ต่ำลงนะครับ แค่คิดว่าควรเรียนรู้จากพวกเขาให้ดีๆ วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีหมอในแผนกฉุกเฉินของพวกเราเป็นผู้มีส่วนร่วมด้วยนะครับ ก็คือฉินเยว่ที่คุณติดตามอยู่ แล้วก็อาจารย์เฉินปิ่งเซิงที่คุณติดตามอยู่ ผมว่าพวกเราอาจเรียนรู้อะไรได้มากเลยนะครับ!”
คำพูดของสวีตงตงทำให้ทุกคนพากันเงียบไป
……
……
คืนวันศุกร์ ฉินเยว่กลับมาบ้านด้วยท่าทางดีอกดีใจและตื่นเต้น มือทั้งสองซ่อนที่อยู่ด้านหลังถือตัวอย่างวิทยานิพนธ์ที่เฉินชางถ่ายเอกสารมาให้เอาไว้ เธอเดินยิ้มมาข้างกายผู้เป็นมารดา พูดอย่างเบิกบานใจว่า “แม่คะ ดูสิคะ นี่เป็นของขวัญที่เฉินชางให้หนูค่ะ!”
เหล่าฉินมองฉินเยว่ด้วยท่าทางสงสัย “อะไรล่ะ ทำท่าทางลับๆ ล่อๆ!”
ฉินเยว่ยิ้มบอก “ของดี!”
จี้หรูอวิ๋นยิ้ม เธอคิดว่าความรักทำให้โลกนี้กลายเป็นสีชมพู ไม่ว่าอีกฝ่ายให้อะไรมาก็คงดีใจทั้งนั้น อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นว่าสิ่งที่ฉินเยว่ถืออยู่ในมือเป็นเพียงกระดาษสองสามแผ่นก็อดยิ้มไม่ได้ “จดหมายรักเหรอลูก”
ฉินเยว่ได้ยินคำว่าจดหมายรักก็ชะงักไปทันที ดวงตาทอประกายแวววาว!
เธอลดกระดาษในมือลงแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา พิมพ์ลงในบันทึกช่วยจำว่า ‘เฉินชางเขียนจดหมายรักให้เธอหนึ่งฉบับ!’
บันทึกช่วยจำพวกนี้ถือเป็นบันทึกประจำวันเล็กๆ ของฉินเยว่ เธอจะเขียนความต้องการเล็กๆ ของตัวเองลงไปในนั้น เช่นว่า ‘เฉินชางสารภาพรักกับตน’ หรือ ‘เฉินชางพาไปนั่งรถไฟเหาะ’ เป็นต้น…ส่วนใหญ่จะเป็นเป้าหมายเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งตอนนี้มีเพิ่มอีกหนึ่งอย่างแล้ว!
ฉินเสี้ยวหยวนแอบดึงกระดาษพวกนั้นมาแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ไหน ดูหน่อยซิว่าเนื้อหาน้ำเน่าขนาดไหน…”
ทว่าเพิ่งหยิบขึ้นมาดู สีหน้าก็ต้องเปลี่ยนไปโดยพลัน! เขารีบพลิกดูอีกสองหน้า จากนั้นก็ชะงักไป
ไอ้หนุ่มนั่น…ของขวัญชิ้นนี้ไม่เลวเลย!
ล้ำค่ายิ่งกว่าแหวนเพชรซะอีก!
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีค่ามากกว่าแหวนเพชรสองกะรัตอีก!
อาจประเมินค่าไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
คำพูดนี้ไม่ถือว่าเกินจริงแม้แต่น้อย วิทยานิพนธ์ที่วารสารการปลูกถ่ายตับสั่งพิมพ์ให้โดยเฉพาะ ย่อมมีค่าสูงมาก! ยิ่งเนื้อหาสอดคล้องกับความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของเสี่ยวฉินด้วยแล้วก็ยิ่งเป็นสิ่งที่เงินทองทดแทนไม่ได้ ดูอย่างจางโหย่วฝูเถอะ เขาขาดเงินหรือ ทำไมถึงไม่จ้างพิมพ์สักเล่มล่ะ! นี่ไม่เกี่ยวกับเรื่องเงิน!
คิดแล้วเหล่าฉินก็เบิกตากว้างมองลูกสาวของตนเอง คิดว่าเฉินชางนี่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!
จี้หรูอวิ๋นเห็นเหล่าฉินมีสีหน้าเปลี่ยนไปก็อดแปลกใจไม่ได้ ตกลงกระดาษพวกนั้นมันคืออะไรกันแน่
คิดแล้วเธอก็รีบแย่งกระดาษหลายแผ่นนั่นมาจากมือเหล่าฉิน เอามาสำรวจอย่างละเอียด จากนั้นก็ต้องตกตะลึงจนนิ่งไป!
นี่…เป็นของล้ำค่า!
ของขวัญนี้ สำหรับคนอื่นอาจมีค่าไม่ถึงหนึ่งหยวน แต่สำหรับคนเป็นหมอ คุณค่าของมันย่อมไม่ธรรมดา วิทยานิพนธ์ฉบับนี้เพียงพอที่จะทำให้ฉินเยว่ผ่านการสมัครและตรวจสอบคุณสมบัติเพื่อเข้ารับการศึกษาระดับปริญญาเอกโดยไม่ต้องเข้ารับการทดสอบด้วยซ้ำ
คิดแล้วจี้หรูอวิ๋นก็มองฉินเยว่ พูดยิ้มๆ ว่า “เยว่เยว่ ของพวกนี้คือสินสอดที่เสี่ยวเฉินให้ลูกเหรอ”
ฉินเยว่ได้ยินดังนั้นใบหน้าพลันแดงระเรื่อ!
“แม่คะ แม่พูดอะไรเนี่ย!”
แม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่ในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความสุข ดีใจยิ่งกว่าได้กินของอร่อยเสียอีก
จี้หรูอวิ๋นยิ้ม “ว่าไงลูก แม่ควรตอบรับเขาไปดีหรือเปล่า!”