บทที่ 459 เจ้าเล่ห์ดี?
ณ สถานที่จัดงานอันกว้างใหญ่ เฉินชางสวมชุดที่ได้รับความอนุเคราะห์มาจากฉินเสี้ยวหยวนทั้งตัวโดยไม่กระสับกระส่ายเลยแม้แต่น้อย!
ถือซะว่าได้รับคำอวยพรจากพ่อตาก็แล้วกัน
บนไหล่ของเขาแบกรับความหวังของครอบครัวว่าที่ภรรยาเอาไว้ทั้งครอบครัว วันนี้จะต้องทำให้ดีสักหน่อยแล้ว
เขาเงยหน้าขึ้นมองฉินเยว่ในชุดกี่เพ้าสง่างาม จู่ๆ ก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา! แต่…เมื่อคิดถึงเวลาห้าสิบนาทีของยัยฉินตัวร้าย เฉินชางพลันรู้สึกถึงความกดดันอันหนักหน่วง
ไม่ได้ขึ้นเวทีนานแล้ว จะต้องขัดเกลาให้ดีๆ มิฉะนั้นคงขึ้นสนิมหมด! ก็เหมือนกับการเตรียมอาวุธก่อนออกรบนั่นแหละ!
เฉินชางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาทบทวนคำพูดไม่หยุดหย่อน ฝึกฝนทักษะการแสดงออกของตนให้ดียิ่งขึ้น เข้าทำนองที่ว่าในเวลาปกติไม่ยอมเตรียมเนื้อเตรียมตัวให้ดี พอจวนตัวก็รีบทำอย่างเร่งร้อน (เมื่อครู่คิดวนเวียนอยู่กับตัวเองไปแค่สามนาทีเอง)
……
……
เมื่อจี้หรูอวิ๋นทำอาหารกลางวันให้ฉินเสี้ยวหยวนเสร็จแล้วก็ได้แต่อยู่บ้านเฉยๆ ว่างจนไม่มีอะไรทำจึงนอนอยู่บนโซฟาอย่างเกียจคร้าน
เธอหยิบกระจกขึ้นมาส่องดูริ้วรอยบนใบหน้าของตน จู่ๆ ก็พูดขึ้นว่า “เหล่าฉิน คุณว่าถ้าฉันให้เสี่ยวเฉินทำศัลยกรรมให้ต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสมคะ”
ฉินเสี้ยวหยวนแย้มยิ้ม “ปกติราคาเท่าไหร่ก็ให้เท่านั้นแหละครับ ยังไม่ได้แต่งงานกันก็คิดจะเอาเปรียบแล้วเหรอ อีกอย่าง…เงินอยู่ในมือเฉินชางจะต่างอะไรกับอยู่ในมือลูกสาวเราล่ะครับ”
ประโยคนี้ทำให้จี้หรูอวิ๋นถึงกับกลอกตาใส่ ตาเฒ่านี่ชั่วร้ายจริงๆ!
จี้หรูอวิ๋นส่ายหน้า “โธ่ ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ช่างเถอะค่ะ พูดไปคุณก็ไม่เข้าใจ!”
เมื่อทั้งสองเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว จู่ๆ จี้หรูอวิ๋นก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “เฮ้อ คุณว่าต่อไปถ้าลูกสาวเราแต่งงานแล้ว เราสองคนอยู่บ้านกันแบบนี้จะมีความหมายอะไรคะ ฉันว่ารีบเกษียณออกมาหาอะไรทำดีไหมคะ”
ทันใดนั้นฉินเสี้ยวหยวนก็หยุดงานในมือ เขาหันไปมองจี้หรูอวิ๋นแล้วพูดว่า “อ่า ที่รัก ถ้างั้นวันนี้พวกเราไปงานสัมมนาประจำปีของสมาคมศัลยกรรมตับและถุงน้ำดีกันดีไหมครับ”
จี้หรูอวิ๋นกลอกตาใส่ “คุณนี่ประสาทหรือเปล่า วันหยุดสุดสัปดาห์ไม่ยอมพักผ่อน ยังจะไปร่วมงานสัมมนาอีกหรือคะ”
ฉินเสี้ยวหยวนรีบเดินมานั่งลงบนโซฟา “ไม่ใช่นะครับ พวกเราก็ไปดูฉินเยว่กับเสี่ยวเฉินไง คุณไม่อยากเห็นลูกตอนเป็นพิธีกรเหรอครับ คุณไม่อยากเห็นท่าทางเจ้าหนุ่มเฉินนั่นตอนขึ้นพูดบนเวทีเหรอครับ”
เมื่อฉินเสี้ยวหยวนพูดเช่นนี้ ดวงตาพลันจี้หรูอวิ๋นเปล่งประกาย!
ใช่แล้ว!
เป็นความคิดที่ดี!
คิดถึงเรื่องนี้ จู่ๆ จี้หรูอวิ๋นก็ปั้นปึ่งใส่ฉินเสี้ยวหยวน “คุณนี่เจ้าเล่ห์ดีจริงๆ!”
พูดจบก็รีบลุกขึ้นไปแต่งหน้าแต่งตัว
ทางด้านฉินเสี้ยวหยวนที่นั่งอยู่บนโซฟา แม้จะถูกภรรยาชื่นชมแล้วมอบค้อนของขวัญให้อย่างหนึ่ง…แต่อย่างไรก็รู้สึกเหมือนไม่ได้กำลังชมอยู่ดี
เจ้าเล่ห์หรือ
คำบรรยายนี้…ทำไมเขาถึงรู้สึกว่ามันเหมือนเป็นคำด่ามากกว่าล่ะ!
ทั้งสองแต่งตัวอย่างเร่งรีบ เสร็จแล้วก็ออกเดินทาง
หากเทียบกันแล้ว จี้หรูอวิ๋นยังคาดหวังมากกว่าเหล่าฉินเสียอีก เธอให้เหล่าฉินนำกล้องถ่ายรูปไปด้วย คิดว่าต้องถ่ายรูปสวยๆ มาให้ได้
……
……
เวลาแปดโมงครึ่ง จางโหย่วฝูขึ้นไปกล่าวปราศรัยบนเวทีในฐานะที่เขาเป็นหนึ่งในผู้รับผิดชอบงานนี้
งานสัมมนาในครั้งนี้เชิญหัวหน้าแผนกและผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับศัลยกรรมตับและถุงน้ำดีภายในมณฑลตงหยางมาหลายคน รวมไปถึงผู้เชี่ยวชาญจากเมืองหลวงจำนวนหนึ่งด้วย
ในความเป็นจริง งานสัมมนาทุกปีจะได้รับความช่วยเหลือจากบริษัทยา เพราะจะอย่างไรก็เป็นกิจกรรมที่ต้องใช้ทุนมหาศาล
หากเชิญผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้มาบรรยายต้องมีงบประมาณอยู่ที่สามถึงห้าพันหยวนต่อหนึ่งคาบ ซึ่งค่าตัวจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งทางวิชาการ โดยปกติหมอที่มีชื่อเสียงระดับประเทศจะต้องใช้เงินจ้างประมาณคาบละห้าพันหยวน หากมีตำแหน่งเป็นนักวิชาการ ค่าตัวก็อาจจะเพิ่มขึ้นอีก
นอกจากค่าบรรยายแล้วจะต้องจัดแจงห้องพักระดับเพรซซิเดนเชิลสวีทให้อีกด้วย ราคาคืนละหมื่นสองหมื่น อย่างไรเสียคนใหญ่คนโตเหล่านี้ก็อายุมากแล้ว ส่วนใหญ่จึงพาผู้ช่วยมาด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ ค่าใช้จ่ายสำหรับการจัดงานสัมมนาครั้งหนึ่งจึงมากมายมหาศาล
ทว่าเหล่าบริษัทยาไม่สนใจเงินเหล่านี้สักนิด ทั้งยังแย่งกันมาช่วยจัดงานสัมมนาลักษณะนี้อีกด้วย หากคุณมีฐานะไม่สูงพอ คุณก็ไม่มีคุณสมบัติมาช่วยจัดงาน!
สำหรับบริษัทยาแล้ว หากได้สนับสนุนงานสัมมนาที่มีลักษณะเฉพาะทางเช่นนี้ก็ถือเป็นการโฆษณาที่ดีอย่างหนึ่ง เพราะหากพูดว่าผลิตภัณฑ์ยาของคุณสนับสนุนงานสัมมนาประจำปีของสมาคมศัลยกรรมตับและถุงน้ำดีแห่งมณฑลตงหยาง ก็จะแสดงให้เห็นว่าคนอื่นยอมรับคุณ เป็นประโยชน์ต่อการเติบโตในอนาคต
……
เมื่อจางโหย่วฝูกล่าวเปิดงานเสร็จแล้ว ก็เริ่มแนะนำแขกรับเชิญในวันนี้เป็นลำดับต่อไป ซึ่งความพิเศษของเฉินชางก็คือได้รับการจัดให้ขึ้นพูดเป็นคนแรก
จางโหย่วฝูกล่าวยิ้มๆ “ขอเสียงปรบมือต้อนรับเฉินชางขึ้นเวทีด้วยครับ”
เฉินชางยิ้ม จากนั้นจึงโค้งให้ทุกคนโดยไม่ได้แสดงท่าทางดีอกดีใจจนเกินเหตุ จากนั้นจึงเริ่มกล่าวถึงหัวข้อสำหรับวันนี้
“วันนี้ผมจะมาแบ่งปันวิธีการผ่าตัดที่ผมปรับปรุงให้ดีขึ้นทั้งหมดสองวิธีนะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะครับ วิธีแรกก็คือการผ่าตัดไส้ติ่งแบบแผลเล็กที่ผมปรับปรุงให้ดีขึ้นแล้ว ช่วงหลายปีมานี้ ไส้ติ่ง…”
เฉินชางเริ่มบรรยายด้วยน้ำเสียงฉะฉาน คนที่อยู่ด้านล่างเวทีแสดงท่าทางแตกต่างกันไป บ้างก็ให้ความสำคัญ บ้างก็ไม่ใส่ใจนัก
ถึงอย่างไรหลายคนยังคงมองว่าการผ่าตัดไส้ติ่งเป็นการผ่าตัดที่เป็นพื้นฐานที่สุดของแผนกศัลยกรรม ไม่มีค่าให้ปรับปรุงมากนัก อีกทั้งตอนนี้โรงพยาบาลใหญ่ๆ ก็ใช้วิธีการผ่าตัดด้วยการส่องกล้องกันหมดแล้ว อยู่ดีๆ ใครจะไปใช้วิธีการผ่าตัดแบบแผลเล็กกันล่ะ
แต่กับคนบางคนอาจมีความหมายแตกต่างออกไป!
โรงพยาบาลระดับอำเภอที่ยังไม่นิยมใช้วิธีการผ่าตัดด้วยการส่องกล้องเห็นการผ่าตัดนี้แล้วต่างก็เพ่งสมาธิฟังอย่างตั้งใจ ความคิดของพวกเขาก็เหมือนกับต้วนปัวของโรงพยาบาลประชาชนแห่งอำเภอหลัน พวกเขานำวิธีนี้มาใช้เพื่อชดเชยข้อเสียที่ใช้การผ่าตัดด้วยการส่องกล้องไม่ได้!
ยิ่งไปกว่านั้น ค่าใช้จ่ายของการผ่าตัดแบบแผลเล็กยังถูกกว่าการผ่าตัดด้วยการส่องกล้องอย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่ง! ย่อมได้รับการตอบรับจากประชาชนทั่วไปเป็นอย่างดี
ดังนั้นเมื่อเฉินชางบรรยายการผ่าตัดแบบแรกจบ การตอบรับของคนข้างล่างจึงแตกต่างกันออกไป อันที่จริงหลายคนมองเฉินชางแล้วก็คิดว่ามันเป็นเพียงการผ่าตัดที่ไอ้หนุ่มคนหนึ่งปรับปรุงขึ้นมาเท่านั้น จะมีผลดีได้ขนาดไหนกันเชียว นี่เป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน
ทุกคนเข้าถึงความคิดของเฉินชาง แต่ก็ใช่ว่าจะยอมรับ
เฉินชางบรรยายจบก็ฉายภาพภาพหนึ่งขึ้นจอ “นี่เป็นบทความที่เพิ่งได้รับการตอบรับจากวารสาร BJS ครับ นี่คือหนังสือตอบรับ บางทีอีกไม่นานทุกคนคงได้เห็นบทความนี้เผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต อันที่จริงการผ่าตัดแบบแผลเล็กได้รับการปรับปรุงมาอย่างต่อเนื่องจนเป็นวิธีที่ใช้แทนการผ่าตัดด้วยการส่องกล้องได้แล้วครับ”
“ข้อดีของการผ่าตัดด้วยการส่องกล้องนั้นไม่เป็นที่สงสัยแน่นอน แต่มันก็มีจุดอ่อนชัดเจนเช่นกัน หากเป็นการผ่าตัดไส้ติ่ง การผ่าตัดแบบแผลเล็กจะดีกว่าการผ่าตัดด้วยการส่องกล้อง ทั้งยังช่วยชดเชยข้อด้อยของการผ่าตัดด้วยการส่องกล้องได้อีกด้วย ถือว่าเป็นวิธีการที่มีค่าครับ ตอนนี้ผมและหัวหน้าต้วนของโรงพยาบาลประชาชนแห่งอำเภอหลันนำวิธีการผ่าตัดไส้ติ่งแบบแผลเล็กฉบับปรับปรุงนี้ไปดำเนินการทางคลินิกได้ระยะหนึ่งแล้วครับ ซึ่งเห็นผลชัดเจน”
ต้วนปัวได้ยินก็ดีใจมาก! เพราะการได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของหัวข้องานวิจัยทำให้เขารู้สึกประสบความสำเร็จ
ในตอนที่เขาได้ยินเฉินชางบอกว่าบทความนี้ได้รับการยอมรับจากวารสาร BJS ก็นิ่งอึ้งไปทันที!
ในตอนที่เขาเห็นรายชื่อผู้ประพันธ์ลำดับแรกบนหนังสือตอบรับของเฉินชางที่มีชื่อตนอยู่ด้วยก็ยิ่งตื่นเต้นดีใจ!
เขา ต้วนปัว มีความสามารถระดับไหนกัน การตีพิมพ์งานวิชาการกับวารสารระดับโลกเช่นนี้เป็นเรื่องที่กระทั่งหัวหน้าแผนกของโรงพยาบาลระดับมณฑลก็ยังทำไม่ได้
ต้วนปัวมองเฉินชางอีกครั้ง ในแววตาเต็มไปด้วยความพึงพอใจและซาบซึ้งใจ